ตอนที่ 49 คนหน้าเงิน

ด้วยเหตุนี้ลูกบ๊วยจึงขายหมดในไม่ช้า

เมื่อช่วงเช้าผ่านพ้น แสงแดดยิ่งแผดเผาแรงกล้า เหล่าพ่อค้าแม่ค้าต่างพากันหลบอยู่ใต้ร่มเงาของชายคาสองข้างทาง ผู้คนที่ออกมาจับจ่ายซื้อของเริ่มบางตา

เหอยาโถวนั่งยอง ๆ เพื่อนับเหรียญทองแดงอยู่บนพื้นด้วยสีหน้าตื่นเต้น

“เชวี่ยเอ๋อ! วันนี้พวกเราขายได้หนึ่งร้อยสิบเหรียญ” เขาเงยหน้าขึ้นหลังจากนับเงินเสร็จ ดวงตาเปล่งประกายสีทอง

 หยุนเชวี่ยพูดอย่างมีความสุข “ขายหมดถือเป็นการเริ่มต้นที่ดี!”

 “หญ้าหยินตานไม่ต้องใช้เงิน ไม่รวมค่าใช้จ่ายในการซื้อลูกบ๊วย น้ำตาลและเกลือ สำหรับให้ลูกค้าชิมสองห่อ ให้เถ้าแก่หูอีกหนึ่งห่อ ซึ่งเท่ากับกำไรแปดสิบเหรียญ” หยุนเชวี่ยคำนวณ “เจ้ามีหุ้นอยู่ครึ่งหนึ่ง เท่ากับสี่สิบเหรียญ แต่ตอนนี้ยังแบ่งไม่ได้ เราต้องไปหาพี่เย่เอ๋อเพื่อซื้อลูกบ๊วยมาเพิ่ม”

“อืม! คราวหน้าต้องได้มากกว่านี้! วันละสี่สิบเหรียญ หนึ่งเดือนก็จะได้หนึ่งพันสองร้อยเหรียญ! ข้ากำลังจะรวยแล้วจริง ๆ”

หยุนเชวี่ยไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี…

“เอ๊ะ! ลูกบ๊วยยังเหลืออยู่ครึ่งถุง” เหอยาโถวพลิกตะกร้า “ข้าจะลองส่วนที่เหลือ”

“วันนี้เจ้าเหนื่อยจากการตะโกนขายของมาทั้งวันแล้วใช่หรือไม่?” หยุนเชวี่ยหยิบบ๊วยขึ้นมาหนึ่งลูกแล้วยัดใส่ปากของเขา “รีบกินจะได้ชุ่มคอ”

“เชวี่ยเอ๋อ เจ้าใจดีที่สุด” เหอยาโถวรวบผมของเขาขึ้น ดวงตาเป็นประกาย “เมื่อมีอะไรดี ๆ เจ้ามักจะนึกถึงข้าเสมอ”

ทั้งสองกำลังก้มจัดเสื้อผ้าให้สะอาดเรียบร้อย และวางแผนจะไปร้านขายของชำเพื่อซื้อเกลือกับน้ำตาลสำหรับใช้ในครั้งหน้า ทันใดนั้นก็มีรองผ้าซาตินสีฟ้าคู่หนึ่งมาหยุดตรงหน้าพวกเขา

เมื่อหยุนเชวี่ยเงยหน้าขึ้นมอง ก็พบกับเด็กชายตัวอ้วนผิวขาว แก้มแดง เขาสวมเสื้อคลุมผ้าทอมีลวดลาย พุงเล็ก ๆ ของเขามีเข็มขัดคาดและมีจี้หยกมรกตห้อยอยู่รอบเอวของเขา

“เจ้านี่เอง!” เมื่อสบตากัน เด็กน้อยตัวอ้วนรู้สึกมีความสุขยิ่งนัก

“คุณชายน้อยเฉียน” หยุนเชวี่ยเอียงศีรษะ

“เจ้ามาที่นี่เพื่อขายอะไรอีกหรือ?” เด็กอ้วนเฉียนชะโงกศีรษะเข้าไปดูในตะกร้าราวกับเจอเพื่อนเก่า

“บ๊วยดองน้ำตาลที่ข้าทำเอง” หยุนเชวี่ยยื่นอีกครึ่งหนึ่งที่เหลือให้เขา “ข้าให้เจ้าลองชิมดู”

เด็กอ้วนเฉียนกลืนน้ำลาย กลิ่นหวานอมเปรี้ยวจาง ๆ ลอยอยู่ที่ปลายจมูกของเขา

“ลูกบ๊วยนี้ราคาเท่าไหร่หรือ?” ต้าจี๋ผู้ดูแลตัวน้อยที่ยืนอยู่ข้างหลังล้วงเงินออกมาจากแขนเสื้อ

“เหลือแค่ครึ่งถุง ข้าไม่คิดเงิน” หยุนเฉี่ยวพูดอย่างไม่ใส่ใจ “หากเจ้าชอบก็เอาไปกินเถิด”

“ทำเช่นนั้นได้อย่างไร!” เด็กอ้วนเฉียนยื่นมือของเขาออกไปและไม่ฟังสิ่งที่นางพูด “ข้าไม่ควรกินดื่มของผู้อื่นเปล่า ๆ”

“คุณชายน้อยของข้าเป็นนักปราชญ์” ต้าจี๋เงยหน้าขึ้นและยกนิ้วโป้งอย่างเห็นด้วย

หยุนเชวี่ยอดหัวเราะออกมาไม่ได้

เด็กน้อยตัวอ้วนดูท่าทางร่ำรวยฟู่ฟ่า แต่เขาไม่สามารถคิดอย่างคนธรรมดาทั่วไปได้

“ไม่เป็นไร ในเมื่อเหลือเพียงครึ่งถุง…” นางชูนิ้วขึ้นมาสองนิ้ว “เช่นนั้นก็จ่ายข้าเพียงสองเหรียญ!”

เด็กอ้วนเฉียนหยิบบ๊วยขึ้นมาชิมหนึ่งลูก นัย์ตาเล็ก ๆ ของเขาหรี่ลงจนเป็นขีด “อร่อยมาก นี่เจ้าทำเองหรือ? ”

เมื่อเห็นว่าเขาชอบกินของหวานนี้มาก นี่อาจจะเป็นสาเหตุของความอ้วน หยุนเชวี่ยก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม

“เจ้าชื่ออะไรหรือ?” เด็กอ้วนถามโดยที่ลูกบ๊วยยังอยู่ในปาก

“หยุนเชวี่ย หยุนคือก้อนเมฆ เชวี่ยเฉี่ยวคือนกกระจาบ” หยุนเชวี่ยสะพายตะกร้าเปล่าไว้บนหลัง แล้วหันมามองเขาอีกครั้ง “เจ้าล่ะ?”

“เฉียนจินเป่า” เขาเลียริมฝีปากและสะบัดเสื้อคลุม “เฉียนคือเงิน จินคือทอง และเป่าที่แปลว่าสมบัติ”

เป็นชื่อที่รวยจริง ๆ …

หยุนเชวี่ยกระพริบตาราวกับมีภูเขาสีทองกองอยู่ข้างหน้า

เด็กอ้วนเฉียนเอ่ยถามขึ้น “เจ้ากำลังจะกลับหรือ? บ้านของเจ้าอยู่ที่ใด?”

“หมู่บ้านไป๋ซี อยู่ห่างออกไปสิบห้าลี้” นางชี้ไปทางทิศตะวันออกด้วยท่าทีสบาย ๆ “ไม่ไกลหรอก ใช้เวลาเพียงสองเค่อก็ถึงแล้ว”

“แล้วเจ้าจะมาอีกเมื่อไหร่?”

“วันพรุ่งนี้ข้าจะเข้าเมืองเพื่อนำเนื้อสัตว์ป่าที่พ่อข้าหาได้จากหลังภูเขามาส่งให้ลูกค้า”

“โอ้” เด็กอ้วนเฉียนเดินตามนางไปสองสามก้าว แล้วถามขึ้นอีก “หากเจ้ามาแล้ว จะมาที่นี่อีกหรือไม่?”

“แน่นอน ถึงอย่างไรหน้าร้านของเถ้าแก่หูก็เป็นทำเลการค้าที่ดี”

“ดีเลย” เด็กน้อยตัวอ้วนกล่าวอย่างดีใจ “วันนี้สายแล้ว ข้าต้องรีบไปเรียนกับท่านอาจารย์ ครั้งหน้าข้าจะพาเจ้าไปกินเหลียงเกาเย็น ๆ”

แม้ว่าพวกเขาจะเสียเหงื่อมากมายใต้แสงแดดที่แผดเผา แต่เมื่อได้เงินมา ทั้งสองคนต่างมีความสุขในใจ

“เชวี่ยเอ๋อ บ๊วยดองน้ำตาลห้าจินของพวกเราขายหมดในเวลาเพียงครึ่งวัน” เหอยาโถวร้อนรนจนทนแทบไม่ไหว “คราวนี้เราขอให้พี่รองเอามาเพิ่มอีกดีหรือไม่?”

“ตกลง บ่ายวันนี้เราไปหาพี่รองที่บ้านกัน”

“เอาเท่าไหร่ดี? ยี่สิบจิน? หรือว่า… ห้าสิบจิน?”

“เราต้องคำนวณอีกที…”

 “ขายห้าจิน ได้กำไรสี่สิบเหรียญ ถ้าเป็นห้าสิบจิน…” เหอยาโถวโบกมือทั้งสองข้างอย่างตื่นเต้น “ได้กำไรตั้งสี่ร้อยเหรียญ!”

หยุนเชวี่ยมองเขาอย่างขบขับ “เหตุใดข้าถึงไม่เคยรู้มาก่อนว่าเจ้าเป็นคนหน้าเงินเช่นนี้?”

 เหอยาโถวกล่าวอย่างมีความสุข “เจ้าไม่คิดว่ามันแปลกหรือ ที่ผ่านมาพี่สาวแอบยัดเงินให้ข้ามากกว่านี้อีก แต่ข้ากลับไม่เคยดีใจขนาดนี้้เลย…”

ณ หมู่บ้านไป๋ซี

รถลากคันใหญ่ถูกผูกไว้ใต้ต้นหลิวตรงทางเข้าลานบ้านตระกูลหยุน

หยุนเชวี่ยเหลือบมองอย่างสงสัยก่อนจะเดินเข้าประตูไป

“ท่านแม่ ข้ากลับมาแล้ว!”

“เงียบหน่อย พูดเบา ๆ อย่าตะโกน” แม่นางเหลียนกล่าวพลางเหลือบมองไปทางห้องโถงใหญ่

“…” หยุนเชวี่ยเอียงคอมองตาม

เนื่องจากอากาศร้อนอบอ้าว ประตูหน้าต่างของห้องโถงใหญ่จึงถูกเปิดกว้าง

นอกจากผู้เฒ่าหยุนและหยุนลี่จง ยังมีชายหญิงอีกสองคนอยู่ในห้อง

หนึ่งในนั้นมีหญิงสาวสวมเสื้อผ้าสีสันสดใส นางคือแม่สื่อผู้มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่รู้จักทั่วแว่นแคว้น

“พวกเขามาสู่ขอหยุนซิ่วเอ๋ออีกครั้งหรือ?”

หยุนเยี่ยนวางขนมปังข้าวโพดนึ่งที่เพิ่งทำเสร็จไว้บนโต๊ะ ก่อนจะลากนางกลับมา “อย่ามอง คนพวกนั้นมาจากตระกูลหยู”

 “เจ้าของร้านขายของชำ?” หยุนเชวี่ยนั่งยอง ๆ เพื่อล้างมืออยู่ตรงสวนด้านข้าง ก่อนจะเอ่ยถามขึ้น “ไม่ใช่ว่าราคาสินสอดยังตกลงกันไม่ได้และท่านย่าของข้ายังไม่พอใจหรอกหรือ?”

 “ใครจะไปรู้เล่า” หยุนเยี่ยนส่ายหัวและแอบกระซิบเบา ๆ “ข้าเพิ่งได้ยินมาว่าคราวนี้ตระกูลหยูได้เตรียมของขวัญทั้งหมดสำหรับท่านย่าแล้ว”

 “ชู่ว!” หยุนเชวี่ยยักไหล่ “ท่านย่าต้องการทั้งเงินและที่ดิน โลภมากไม่รู้จักพอ แต่ด้วยเหตุใดจู่ ๆ ตระกูลหยูถึงยินยอมล่ะ?”

“เจ้ายังเด็ก จะไปรู้อะไร” แม่นางเหลียนวางอาหารอย่างดี ก่อนจะใช้มือเคาะหน้าผากของลูกสาวคนที่สอง “วิ่งออกไปตั้งแต่เช้า รีบกินเถิด”

“เหตุใดจะไม่เข้าใจ?” หยุนเชวี่ยนั่งลงก่อนจะเบะปากออกมา “ตระกูลหยูคงได้ยินว่าฤดูใบไม้ร่วงที่จะมาถึงนี้ท่านลุงมีโอกาสสอบได้ถึงเก้าในสิบ นี่คงเป็นเหตุผลที่พวกเขามาเยือนถึงประตู”

 “ใช่แล้ว ไม่ต้องคาดเดา” แม่นางเหลียนมองอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนจะคีบเนื้อใส่ในชามข้าวของนาง “กินซะ ปากของเจ้าจะได้ไม่ว่าง”

หยุนเชวี่ยยิ้มและแลบลิ้นออกมา

“เมื่อเช้าเชวี่ยเอ๋อกับเหอยาโถวไปไหนกันมาหรือ?” หยุนเยี่ยนถามขึ้น

หยุนเชวี่ยยิ้มกว้างอย่างเจ้าเล่ห์

“ดูท่าทางเจ้าเล่ห์นี่เถิด” แม่นางเหลียนอดหัวเราะไม่ได้ ยิ่งมองหน้าลูกสาวตัวน้อยของนางก็ยิ่งชอบใจ

 “ท่านพ่อ ท่านแม่ พี่สาว ข้ามีของดีจะให้ดู” หยุนเชวี่ยเลิกคิ้วขึ้น ก่อนจะล้วงมือเล็ก ๆ เข้าไปในแขนเสื้อ เพื่อหยิบถุงเงินที่อัดแน่นออกมาเขย่า