ตอนที่ 48 เหล่าเหนียง*เป็นผู้ชาย
วันต่อมา
หยุนเชวี่ยและเหอยาโถวถือห่อบ๊วยดองมุ่งหน้าเข้าเมืองตั้งแต่เช้าตรู่ด้วยความตื่นเต้นยินดี
“เชวี่ยเอ๋อ เจ้าคิดว่าวันนี้เราจะขายของพวกนี้หมดหรือไม่?” เหอยาโถวถูมือของเขาอย่างคาดหวัง
“ข้าก็ไม่อาจทราบ…”
“แล้วเราจะไปขายที่ไหนกันดี?”
“ลองไปดูตรงหน้าร้านสารพัดแล้วกัน” ที่ตอบอย่างนั้นเพราะนางคิดเรื่องนี้ไว้แล้ว ประการแรกเพราะนางคุ้นเคยกับที่นั่นและสองคือมีผู้คนสัญจรผ่านตลอดเวลา
ภายในเมืองเวลาเช้าตรู่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย ทั้งพ่อค้าแม่ค้าต่างกุลีกุจอกับการตั้งแผงขายของ ถนนทั้งเส้นถูกปกคลุมไปด้วยเสียงตะโกนบอกสรรพคุณสินค้า
“เรามาเริ่มขายกันเลยดีหรือไม่?” เหอยาโถวกล่าวถามพร้อมกับมองไปรอบ ๆ และวางตะกร้าลง
เด็กหญิงตัวน้อยสองคนปะปนไปกับพ่อค้าแม่ค้ามากประสบการณ์ที่ริมถนน ความไร้เดียงสาของทั้งสองคนทำให้ดูน่าขบขันยิ่ง
“อืม พวกเราเองก็ต้องตะโกนเช่นกัน” หยุนเชวี่ยกระแอมในลำคอเตรียมพร้อม
แต่ก่อนที่นางจะทันได้ตะโกนออก เสียงของเหอยาโถวพลันดังขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว “บ๊วยดองน้ำตาลเจ้าค่า! บ๊วยดองน้ำตาลหวาน ๆ! เข้ามาเลือกดู เลือกซื้อได้เลย ไม่หวานไม่คิดเงิน!”
ตอนนี้เหอยาโถวอยู่ในช่วงวัยแตกเนื้อหนุ่ม เสียงจึงแตกพร่าจนทำให้เขาคล้ายกับขันทีตัวน้อย
“สาวน้อย! เป็นเจ้าอีกแล้ว คราวนี้เจ้ามาขายอะไรหรือ?” เถ้าแก่หูมองตามเสียงอย่างกระตือรือร้น
“มันคือบ๊วยดองน้ำตาลที่ข้าทำเอง รสหวานอมเปรี้ยวช่วยดับกระหาย… เถ้าแก่ลองชิมดูก่อน” หยุนเชวี่ยหยิบยกขึ้นมาอย่างใจกว้าง
“อืม!” เถ้าแก่หูรับบ๊วยดองน้ำตาลมาหนึ่งชิ้นพร้อมลิ้มรสมันทันที รสหวานอมเปรี้ยวสร้างความสดชื่นทันทีที่แตะลิ้น กลิ่นหอมที่ผ่านโพรงจมูกทำให้เขาสดชื่นจนดวงตาเบิกกว้าง “สาวน้อย… เจ้าขายมันอย่างไรหรือ?”
“ห่อละห้าเหรียญ ราคาเดียวทั้งร้าน!”
“งั้นเอาให้ข้าสองห่อ” เถ้าแก่หูล้วงเหรียญทองแดงออกมาจากแขนเสื้อพร้อมเอ่ยปากชม “สาวน้อย พวกเจ้าขยันดีเสียจริง”
“โอ้ เถ้าแก่… ท่านเป็นลูกค้าคนแรกของข้า” หยุนเชวี่ยฉีกยิ้มกว้างจนตาหยี ไม่ว่าใครได้เห็นก็เป็นต้องเอ็นดูไม่น้อย “อ้อ ข้าใช้พื้นที่ของท่านอีกแล้ว อย่างนั้นข้าจะแถมให้ท่านอีกหนึ่งห่อเพื่อตอบแทน”
ความประหลาดใจพลันก่อเกิด เถ้าแก่มองหยุนเชวี่ยก่อนจะกล่าวตอบ “สาวน้อย เจ้าทำให้ข้าประหลาดใจอีกแล้ว ช่างเป็นเด็กที่น่าประทับใจยิ่ง!”
“เถ้าแก่…” ลูกจ้างในร้านตะโกนออกเรียก “นายท่านมาถึงร้านแล้วขอรับ!”
“โอ้… ข้าจะไปเดี๋ยวนี้” เถ้าแก่หูตะโกนตอบพร้อมหันมากล่าวกับเด็กน้อยทั้งสอง “เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน แล้วก็ขอให้กิจการของพวกเจ้าทั้งสองรุ่งเรืองนะ”
“ขอบคุณเถ้าแก่หู!”
“นี่! สาวน้อยทั้งสอง เหตุใดพวกเจ้าไม่อยู่บ้านทำหน้าที่ของตัวเอง ออกมาค้าขายแข่งกับผู้ใหญ่ได้อย่างไร?” ทันทีที่เถ้าแก่หูก้าวเท้าหลังเข้าไปในร้าย ชายวัยกลางคนที่แต่งตัวเหมือนพ่อค้าก็เดินเข้ามาและหยิบของออกมาวางข้าง ๆ
“หาได้ขัดขวางอันใดท่านเสียหน่อย” เหอยาโถวบ่นงึมงำ
“ใครบอกว่าไม่ขัดขวางข้า?” พ่อค้าหาบเร่ผู้นั้นถกแขนเสื้อขึ้น “ข้าขายลูกบ๊วย เจ้าสองคนก็ขายลูกบ๊วย นี่นับว่าขัดขวางการหาเงินของข้า!”
“ท่านลุง อย่าล้อเล่นสิ” หยุนเชวี่ยเหลือบมองคานหาบของเขาและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ถนนสายนี้มีร้านที่ขายของเหมือนกันมากมาย”
“ผู้อื่นข้าไม่สน หากพูดถึงบ๊วยดองน้ำตาล ข้าคือเจ้าแรกในเมืองนี้!” พ่อค้าหาบเร่โบกมืออย่างสุดทนราวกับปัดแมลงวัน “สาวน้อยทั้งสอง พวกเจ้าออกไปซะ!”
“อะไรกัน! ไร้เหตุผลสิ้นดี” เหอยาโถวกลอกตาอย่างหงุดหงิด หน้าอกของเขาพองขึ้น “ข้าไม่ไป! ที่นี่ไม่ใช่ที่ของท่านสักหน่อย!”
“เหตุใดพวกเจ้าต้องมาแย่งชิงการค้ากับข้าด้วย? ข้าว่าพวกเจ้าสองคนควรกลับไปอยู่บ้านรอคนมาสู่ขอเถิด!” เมื่อเขามองเห็นเด็กสาวมีผิวพรรณผุดผ่องและดวงตางดงาม ก็อดไม่ได้ที่จะหรี่ตาลงและยิ้มกรุ้มกริ่ม “ไม่อย่างนั้นก็กลับไปที่บ้านข้า ไปเป็นอนุของข้าดีหรือไม่?”
“เจ้าคนพาล! ไร้ยางอาย! ถุย!” เหอยาโถวโกรธจัดด้วยวาจาไร้สาระ เขากระทืบเท้าและชี้นิ้วเรียวยาวดุจกล้วยไม้ไปที่จมูกของพ่อค้าหาบเร่ก่อนจะก่นด่าออกมา “จงลืมตาสุนัขของเจ้าดูให้ชัด ๆ เหล่าเหนียง*เป็นผู้ชาย!”
พ่อค้าหาบเร่ตกตะลึง!
“ไร้สาระกว่านี้ ข้าก็ตะโกนได้!” เหอยาโถวไม่ยอมให้อภัย ทำท่าทางราวกับไก่ชนหัวเชิด ลำคอเหยียดตรงและเปล่งเสียงกรีดร้อง “เร่เข้ามา! เข้ามาดูกันเถิด กลางวันแสก ๆ มีคนคิดจะลวนลามเด็กสาวที่ยังไม่แต่งงาน!”
เสียงโวยวายนี้ทำให้พ่อค้าหาบเร่แทบจะร้องไห้ออกมา จากนั้นไม่นานเหล่าบรรดาพ่อค้าแม่ค้าและคนที่มาซื้อของต่างหันมามองเป็นตาเดียวกัน
หยุนเชวี่ยแทบอยากจะเอาหน้ามุดดินหนี
พ่อค้าหาบเร่เพียงแค่ต้องการหาเงิน แต่ดันมาเจอผู้หญิงปลอมแสนหยาบคาย ภายใต้สายตาของผู้คนมากมาย เขารีบหาบของแล้ววิ่งหนีไป
“เจ้าคนเลวทราม คิดจะรังแกพวกข้าหรือ? ไม่มีทางซะหรอก” เหอยาโถวโบกมือ “หากเขาไม่รีบวิ่งหนีไป ข้าคงได้ข่วนหน้าเขาสักที!”
หยุนเชวี่ยขมวดคิ้ว “ไปกันเถิด…”
“อืม” เหอยาโถวยักคิ้วหลิ่วตา จากนั้นก็หันกลับไปตะโกนขายของต่อด้วยน้ำเสียงราวกับขันทีน้อยของเขา “ลูกบ๊วยหวานอร่อย ๆ เร่เข้ามา เร่เข้ามา ลองดูก่อนได้ ไม่หวานไม่คิดเงิน”
เขาตะโกนขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยคำพูดสรรพคุณมากมาย จากนั้นไม่นานก็กลมกลืนไปกับพ่อค้าแม่ค้าที่อยู่บริเวณใกล้เคียง
“หากลูกบ๊วยของเจ้าไม่หวาน จะไม่คิดเงินจริง ๆ หรือ?” มีบางคนเห็นว่าพวกนางยังเด็กจึงเข้ามาถามด้วยความสนใจ
“จริงเจ้าค่ะ” หยุนเชวี่ยยื่นถุงออกมาอย่างรวดเร็ว “ท่านลุงลองชิมดูก่อนแล้วค่อยซื้อก็ได้”
ในวันที่อากาศแห้งแล้งและร้อนจัดเช่นนี้ ลูกบ๊วยที่เต็มไปด้วยกลิ่นหญ้าหยินตาน* ควบคู่กับรสเปรี้ยวอมหวาน ช่วยดับกระหายได้เป็นอย่างดี
ชายผู้นั้นเลิกคิ้ว “ไม่เลว”
“รับสักห่อหรือไม่?” หยุนเชวี่ยหยิบถุงออกจากตะกร้าและพูดด้วยรอยยิ้ม “ห่อละห้าเหรียญ ช่วยให้คลายร้อน ทั้งอร่อยและราคาไม่แพง”
ชายผู้นั้นหัวเราะและหยิบเหรียญทองแดงออกมาถือไว้ในมือ “สาวน้อย ข้ารู้สึกคุ้นหน้าเจ้ายิ่งนัก”
“ท่านลุงความจำยอดเยี่ยม” หยุนเชวี่ยยื่นลูกบ๊วยใส่มือของเขา “เมื่อไม่มีกี่วันก่อนข้ามาขายเนื้อสัตว์ป่าที่ครอบครัวข้าหามาเองที่นี่ หากท่านลุงต้องการ ข้าสามารถส่งไปให้ที่บ้านได้”
“ไม่น่าแปลกใจ” ชายผู้นั้นมองดูนางอย่างละเอียดอีกครั้ง “อายุยังน้อย แต่กล่าววาจาได้ดียิ่งนัก แม้แต่เถ้าแก่หูยังยกย่อง”
“ท่านชมเกินไปแล้ว” หยุนเชวี่ยพูดอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน
“บ๊วยนี้ขายอย่างไรหรือ?” ท่านป้าที่เดินผ่านไปมาถามขึ้น
เหอยาโถวเป็นคนเฉลียวฉลาด เขารีบหยิบถุงขึ้นมาทันที “ห่อละห้าเหรียญ ท่านป้าลองชิมดูก่อนได้ สดชื่นคลายร้อน หากไม่หวานข้าไม่คิดเงิน!”
“พี่สะใภ้หลิว ท่านลองซื้อลูกบ๊วยมาชิมดู อร่อยยิ่งนัก” ท่านลุงใช้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้เพื่อช่วยเหลือ
จากที่มีเพียงคนผ่านไปมา หน้าร้านก็เริ่มมีลูกค้าเยอะขึ้น
ทั้งสองแบ่งงานกันอย่างชัดเจน หยุนเชวี่ยรับผิดชอบในการเก็บเงิน ส่วนเหอยาโถวทำหน้าที่ตะโกนและหยิบบ๊วยเพื่อให้ลูกค้าได้ลองชิมม
“สาวน้อย เอามาให้ข้าอีกถุง”
“อร่อยดีนะ กินแล้วสดชื่นยิ่ง”
“โอ้! สาวน้อยคนนี้มาอีกแล้วหรือ? เมื่อไหร่จะเอากระต่ายสองตัวไปส่งที่บ้านข้าล่ะ?”
“…”
*หญ้าหยินตานคือใบสะระแหน่
*เหล่าเหนียง คือ กู/ข้า แบบหยาบคาย (ผู้หญิง)