ตอนที่ 47 ดูถูกเหยียดหยาม
เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากหยุนเชวี่ยรับประทานอาหารเสร็จ เหอยาโถวก็วิ่งหน้าตั้งมาหานางที่บ้านราวกับมีเรื่องสำคัญบางอย่าง
หยุนเชวี่ยรีบลากตัวเหอยาโถวไปทางปีกตะวันตกของบ้านทันที
เหอยาโถวฉีกยิ้มอย่างมีความสุข แต่แสร้งทำทีราวกับมีความลับปิดบัง “ข้ามีข่าวดีจะบอก แต่เจ้าต้องทายมาก่อนว่ามันคือเรื่องไหน?”
“ข้าเดาว่า…” หยุนเชวี่ยรู้สึกตลกกับท่าทีของเหอยาโถว แต่นางก็ยังเล่นไปตามน้ำและแสร้งทำเป็นใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง “คนส่งสินค้าของพี่เยี่ยเอ๋อกลับมาแล้ว!”
“เฮ้ ทำไมเจ้าถึงรู้ล่ะ!” เหอยาโถวตัดพ้อด้วยความเบื่อหน่าย ก่อนก้มลงพลางใช้เท้าเตะหินพร้อมพึมพำ “ไม่สนุกเลย”
“ฮ่าฮ่าฮ่า! เอาล่ะ” หยุนเชวี่ยกล่าวอย่างมีความสุข “วันนี้เราจะไปหาเงินกัน อย่าลืมเก็บแรงไว้ด้วยล่ะ”
เมื่อได้ยินคำว่าหาเงิน ดวงตาของเหอยาโถวก็เปล่งประกายทันที
ตระกูลเหอร่ำรวยกว่าตระกูลหยุนมากโข เหอยาโถวคือลูกชายคนเล็กที่ถูกเลี้ยงแบบทะนุถนอมราวกับไข่ในหิน ไม่ว่าเขาต้องการสิ่งใด ทุกคนจะหามาให้ทันที
เหอยาโถวเคยชินกับการทำตัวเป็นเศษฟืน ไม่เคยดิ้นรนทำงานหาเงินด้วยตนเองเลย จนในที่สุดก็มีโอกาสหาเงิน เหอยาโถวจึงรู้สึกตื่นเต้นเป็นพิเศษ!
“เราไปบ้านพี่รองกันเถอะ!”
เหอยาโถวจับมือของหยุนเชวี่ยและเดินออกจากบ้านไป ระหว่างทางขณะที่ทั้งสองเดินผ่านสวนผัก พวกเขาบังเอิญเดินชนหยุนซิ่วเอ๋อโดยไม่ตั้งใจ
“พวกเจ้าทำอะไรอยู่? ตาบอดหรือ? เวลาเดินหัดดูทางบ้างสิ!” หยุนซิ่วเผยสีหน้าบูดบึ้งพลางจับไปที่ปิ่นปักผมพร้อมเลิกคิ้วขึ้น “นี่คือปิ่นปักผมจากร้านขึ้นชื่อในเมือง มีราคาตั้งสองตำลึงเชียวนะ! หากมันเสียหายหรือหัก เกรงว่าพวกเจ้าจะไม่มีปัญญาจ่ายคืน!”
ขณะเดียวกันเหอยาโถวพลันนึกถึงเสียงอันน่ารำคาญเวลาที่เหรียญทองแดงกระทบกัน ก่อนกลอกตาด้วยความเบื่อหน่ายพลางคิดในใจว่ามันก็แค่ปิ่นปักผมเก่า ๆ
“มองอะไร!” หยุนซิ่วเอ๋อตะโกนเสียงดังจนเส้นเอ็นที่คอปูดโปน
หยุนเชวี่ยผลักเหอยาโถวให้ยืนข้างหลังก่อนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ท่านอาปักปิ่นแล้วสวยมากเจ้าค่ะ สวยกว่าหญิงสาวในเมืองเสียอีก!”
“เด็กสาวที่ไม่เคยเผชิญโลกภายนอกอย่างเจ้า อย่าทำเป็นพูดดีหน่อยเลย” หยุนซิ่วเอ๋อยืนเท้าเอวพลางกล่าวเหน็บแนม
หยุนเชวี่ยรู้สึกสนุกที่ได้แกล้งนางจึงแสร้งพยักอาเห็นด้วยก่อนโน้มตัวไปกระซิบ “ท่านอา ข้าคิดว่าท่านอาเหมาะสมที่จะเป็นนายหญิงยิ่งกว่าหยุนเยว่เสียอีก”
ปกติแล้วหยุนซิ่วเอ๋อมักเลียนแบบการแต่งกายและท่าทางทุกอิริยาบถของหยุนเยว่ ทว่ายิ่งนางต้องการเลียนแบบหยุนเยว่มากเท่าไร มันก็ยิ่งน่าขันมากเท่านั้น
คำพูดเยินยอของหยุนเชวี่ยช่างถูกใจนางยิ่งนัก
หยุนซิ่วเอ๋อเชิดหน้าขึ้นก่อนสะบัดผ้าเช็ดหน้าด้วยท่าทีหยิ่งยโสพลางยกชายกระโปรงขึ้นและฮัมเพลงเบา ๆ “สาวบ้านนอก”
“อาของเจ้าชอบดูถูกคนสินะ” หลังเดินออกจากสวน เหอยาโถวจึงกล่าวขึ้น “ฟังนางดูถูกเราสิ คอยดูเถอะอีกไม่นานเราจะหาเงินได้มากกว่าสองตำลึงอีก อวดดีอะไรนักหนา!”
“หากคราวนี้ท่านลุงสอบติดขุนนางสำเร็จ นางคงจะได้เป็นนายหญิงสมใจ และเมื่อถึงตอนนั้นนางจะไม่อวดดีกว่านี้หรือ?” หยุนเชวี่ยกล่าวอย่างตรงไปตรงมา
ท่านย่ามักร้องไห้และตัดพ้อว่าครอบครัวตนเองยากจนทุกวัน แต่ก็ยังเอาแต่ซื้อเสื้อผ้าหรือของกินแพง ๆ ให้ลูกสาวคนโปรดทุกครั้ง
“ข้าได้ยินท่านแม่พูดว่าตระกูลหยูที่เป็นเจ้าของร้านขายของชำในเมืองกำลังจะมาสู่ขออาของเจ้า” เหอยาโถวกระซิบ “เป็นความจริงหรือ?”
หยุนเชวี่ยส่ายศีรษะแทนคำตอบ
“เกิดอะไรขึ้น?”
“ท่านย่าคิดว่าสินสอดที่ตระกูลหยูเสนอยังน้อยเกินไป อีกทั้งท่านลุงกำลังจะสอบเข้าเป็นขุนนาง สินสอดแค่นั้นจึงไม่เหมาะสมกับฐานะของท่านอา…”
ขบวนขนส่งสินค้านำลูกพลัมกลับมาให้พวกเขาห้าจิน หากอ้างอิงจากราคาของลูกพลัมที่ขายในตลาดแล้ว ลูกพลัมหนึ่งจินต้องจ่ายสามเหรียญ ดังนั้นลูกพลัมห้าจินจึงต้องจ่ายสิบห้าเหรียญ
“ลูกพลัมจากทางใต้นั้นมีราคาถูก เรื่องเงินจึงถือว่าเล็กน้อยมาก อีกทั้งเจ้าทั้งสองยังเป็นน้องของข้า ดังนั้นพวกเจ้าเก็บเงินไว้เถิด” เหอเยี่ยเอ๋อกล่าว
“ข้าเคยพูดไปแล้วว่าไม่ว่าลูกพลัมจะราคาแพงหรือไม่ ข้าจะจ่ายเงินซื้อ พี่เยี่ยเอ๋ออย่าปฏิเสธเลยเจ้าค่ะ” แม้จะเป็นเพียงธุรกิจเล็ก ๆ แต่ก็ไม่ควรละเว้นค่าใช้จ่ายให้นาง เนื่องจากหยุนเชวี่ยตั้งใจทำธุรกิจนี้มาก “ข้าต้องจ่ายเงินให้พี่เยี่ยเอ๋อสิบห้าเหรียญ ซึ่งเราจะจ่ายหลังจากขายลูกบ๊วยพรุ่งนี้เจ้าค่ะ”
“ตกลง ๆ ตามใจพวกเจ้าทั้งสองเถอะ!” เหอเยี่ยเอ๋อโบกมืออย่างไม่ใส่ใจราวกับทั้งสองเป็นเด็กน้อยที่กำลังเล่นขายของ
ทั้งสองคนแบกตะกร้าลูกพลัมจากหมู่บ้านหลิ่วชู่กลับไปยังหมู่บ้านไป่ซี
“เก็บไว้ที่บ้านของเจ้าก่อนเถอะ” หยุนเชวี่ยกล่าวแนะนำ “ข้าไม่อยากได้ยินท่านย่าด่า และอีกอย่างอาสะใภ้สามต้องมาขโมยลูกพลัมไปกินแน่”
“อืม!”
ขณะที่แม่ของเหอยาโถวกำลังตากเสื้อผ้าอยู่ตรงหลังบ้าน นางเห็นเด็กทั้งสองคนเดินเข้าบ้านมาอย่างเร่งรีบจึงกล่าวทักทาย “นั่นคืออะไรน่ะ?”
“ลูกพลัมขอรับ ข้าขอให้พี่รองสั่งมันมาจากทางใต้” เหอยาโถวปาดเหงื่อพลางถอดเสื้อคลุมวางไว้บนตะกร้า
“ลูกพลัมฤดูนี้เปรี้ยวเข็ดฟันยิ่ง พวกเจ้าจะเอามันไปทำอะไรล่ะ?” แม่ของเหอยาโถวมองทั้งสองคนอยู่ครู่หนึ่งก่อนหันกลับไปตากผ้าอีกครั้ง
หลังจากตากเสื้อผ้า ให้อาหารสุกร เย็บผ้า ปักผ้า และทำงานมากมายในสวนจนเวลาล่วงเลยจนถึงบ่าย นางก็ยังเห็นเด็กทั้งสองคนกำลังง่วนอยู่กับอะไรบางอย่าง
เหอยาโถวตัดก้านลูกพลัมและล้างจนสะอาดอย่างพิถีพิถัน ก่อนส่งต่อให้หยุนเชวี่ยนำไปหมักด้วยเกลือแล้วใส่ลงในไหดินเผา
“เหตุใดต้องใส่เกลือเวลาดองลูกพลัมด้วยล่ะ?”
“ใส่เพื่อแก้ฝาดน่ะ การขนส่งลูกพลัมจากทางใต้มาที่นี่ใช้เวลาอย่างน้อยสามวัน หากผลของมันแก่ได้ที่คงเน่าไปนานแล้ว ส่วนลูกที่แก่ไม่เต็มที่จะมีรสฝาด” หยุนเชวี่ยอธิบาย “ดังนั้นเราต้องหมักเกลือไว้ประมาณสองถึงสามชั่วโมงเพื่อกำจัดรสฝาด จากนั้นใส่น้ำตาลลงไปจะทำให้รสชาติของมันดีขึ้น”
เหอยาโถวพยักหน้าด้วยแววตาใสซื่อ “มันคงเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมากใช่หรือไม่? เพราะคราวก่อนข้าซื้อมาจากตลาดช่างไม่อร่อยเอาเสียเลย”
“ยกไหไปไว้ที่ห้องใต้ดินกันเถอะ” หยุนเชวี่ยลุกยืนขึ้นพลางปัดกระโปรง “พอถึงเวลากลางคืนเราจะใส่น้ำตาลลงไปและโรยสะระแหน่สองกำมือ และวันรุ่งขึ้นเราสามารถนำมันไปขายได้เลย”
“เราจะตั้งราคาขายเท่าไรดีล่ะ?” เหอยาโถวเป็นกังวลกับเรื่องนี้มากที่สุด
“ประมาณห้าเหรียญ” หยุนเชวี่ยยกนิ้วขึ้นนับก่อนกล่าวต่อ “ลูกพลัมห้าจิน บรรจุขายยี่สิบห้าห่อ ซึ่งหนึ่งห่อขายในราคาห้าเหรียญ หากขายหมดเกลี้ยง เราจะได้เงินหนึ่งร้อยยี่สิบห้าเหรียญ และเมื่อหักต้นทุนแล้วเราจะได้กำไรประมาณหนึ่งร้อยเหรียญ”
“หนึ่งร้อยเหรียญ…” เหอยาโถวครุ่นคิดพลางกลืนน้ำลายอึกใหญ่ “เชวี่ยเอ๋อ ข้ายังไม่เคยทำงานหาเงินด้วยตนเองเลย!”
“หากได้เงินมาแล้ว เจ้าจะเอาไปทำอะไร?” หยุนเชวี่ยเอ่ยถาม
เหอยาโถวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนส่ายศีรษะ “ไม่รู้สิ ข้าแค่อยากฟังเฉียนเซียงเอ๋อร้องเพลง หรือจะพาเจ้าไปกินอาหารที่ภัตตาคารหลงชิงดีหรือไม่? ไม่เช่นนั้นก็ไปฟังเพลงที่หอนางโลมซิ่วเซียงดีนะ?”
“นายน้อยเหอ ท่านช่างวางแผนชีวิตได้ดี” หยุนเชวี่ยกลอกตา
“ฮ่าฮ่าฮ่า!” เหอยาโถวระเบิดหัวเราะอย่างมีความสุข “แล้วเชวี่ยเอ๋อล่ะ? จะเก็บเงินไว้เป็นสินเดิมหรือ?”
“ข้าอยากเก็บออมเงินไว้ แต่ไม่ใช่เพื่อเป็นสินเดิมหรอก ข้าเพียงอยากเก็บไว้ให้เยอะที่สุด จากเหรียญทองแดงเป็นเหรียญเงินแล้วกลายเป็นธนบัตรจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ” หยุนเชวี่ยนั่งพักใต้ต้นไม้พลางแกว่งขาไปมาก่อนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เมื่อถึงเวลานั้น ข้าจะกลายเป็นเศรษฐี…”