อันที่จริงเสียงระเบิดนั้นคือเสียงขณะอู่หยาร่อนลงบนเวที ด้วยน้ำหนัก 600 จิน กระดูก และกล้ามเนื้อที่แข็งแกร่งของเธอ การกระโดดลงมาจากที่สูงขนาดนั้นจะไม่ทำให้เกิดแรงปะทะที่รุนแรงได้อย่างไร? คนอื่นๆ มักจะกระโดดขึ้นไปอย่างว่องไวและเงียบเชียบ แต่เธอกลับตัดสินใจทำในทางตรงกันข้าม แน่นอนว่านั่นทำให้เกิดผลลัพธ์ที่น่าทึ่ง ในช่วงเวลานั้นเธอจึงสามารถดึงดูดความสนใจของทุกคนมาไว้ที่ตัวเอง รวมถึงกลุ่มตัวเต็งทั้ง 4 และแขกระดับสูงจำนวนมากในคราเดียว
เครื่องแบบของกลุ่มนักรบเฟยหลี่เป็นสีเขียวเข้มและปักด้วยด้ายสีทอง เครื่องแบบของพวกเขาแตกต่างจากอาณาจักรจ้งเทียนเพราะพวกเขาปักตราสัญลักษณ์ของอาณาจักรเฟยหลี่ซึ่งก็คือดาบไขว้เอาไว้ที่อกด้านซ้าย
ขณะนั้นแม้แต่ผู้ตัดสินบนเวทีก็ยังตกใจเพราะแรงกระโดดของอู่หยา และเมื่อมองไปยังรอยแยกเล็กๆ บนพื้นเวทีที่ทำจากเพชรผสมไทเทเนียม ริมฝีปากของเขาก็กระตุกขึ้นเล็กน้อย
ในขณะนั้น กลุ่มนักรบอาณาจักรเหมี่ยวก็ขึ้นเวทีมาแล้วเช่นกัน
เขาเป็นเด็กหนุ่มตัวสูงที่มีรูปร่างสมส่วน ในตอนแรกเขาขยับตัวออกไปในเวลาเดียวกันกับอู่หยา แต่เมื่ออู่หยากระโดดลงมาถึงพื้น เขาก็ต้องตกใจจนเสียการทรงตัว เมื่อมองไปยังเด็กผู้หญิงตรงหน้าเขาซึ่งมีรูปร่างใหญ่โตและมีกล้ามเนื้อบึกบึน สมาชิกรุ่นเยาว์จากอาณาจักรเหมี่ยวคนนี้ก็อดไม่ได้ที่จะมีสีหน้าแปลกๆ ใบหน้าของเขาพลันเปลี่ยนไปเป็นระแวดระวังเมื่อสัมผัสได้ถึงอันตรายบางอย่าง
โจวเหว่ยชิงยังคงนั่งอยู่อย่างผ่อนคลายในเรือนพักรับรองด้วยสีหน้าพึงพอใจ คล้ายนักคิดอัจฉริยะที่วางแผนทุกอย่างมาเป็นอย่างดีและทุกๆ อย่างก็อยู่ในมือของเขาเรียบร้อยแล้ว แน่นอนว่าเขามีเหตุผลในการวางลำดับผู้เข้าประลองเช่นนี้; ไม่ว่ากลุ่มใดก็ตาม ทุกคนมักจะวางเดิมพันในการต่อสู้ครั้งแรกไว้สูงมาก เพราะท้ายที่สุดแล้วการเริ่มต้นที่ดีก็เป็นลางดีเช่นกัน มันสามารถปลุกขวัญกำลังใจให้กับคนในกลุ่มและเป็นประโยชน์ต่อกลุ่มมาก ด้วยเหตุนี้สมาชิกคนแรกจึงเป็นหนึ่งในสมาชิกที่แข็งแกร่งที่สุด นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมโจวเหว่ยชิงจึงมอบหมายให้อู่หยาออกไปประลองเป็นคนแรก เขามั่น ใจในความสามารถของอู่หยามาก ไม่ว่าในแง่ของร่างกาย ความแข็งแกร่ง หรือทักษะการต่อสู้ เธอจะสามารถทำให้ฝ่ายตรงข้ามตกตะลึงได้อย่างแน่นอน
โดยปกติสมาชิกคนที่ 2 ที่ถูกส่งออกไปมีแนวโน้มที่จะอ่อนแอกว่าคนแรกเล็กน้อย แต่ถึงอย่างไรก็มีการต่อสู้ทั้งหมดถึง 5 ครั้ง สำหรับการส่งเย่เป่าเปาออกไปเป็นสมาชิกคนที่ 2 นั้น โจวเหว่ยชิงคาดว่าจะมีโอกาสชนะอย่างน้อย 7 ใน 10 ส่วน เมื่อรวมกับความจริงที่ว่าเขามั่นใจในการประลองครั้งที่ 3 เป็นอย่างยิ่งเนื่องจากทั้งเขาและอู่หยาออกไปต่อสู้ ดังนั้นแม้ว่าเย่เป่าเปาจะแพ้การประลองครั้งที่ 2 เขาก็จะลงแข่งในรอบที่ 4 เพื่อจบเรื่องทั้งหมดเอง
บนเวทีประลอง ผู้ตัดสินกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ทั้งสองฝ่ายแนะนำตัวเอง”
อู่หยาพูดด้วยท่าทีสบายๆ “กลุ่มนักรบเฟยหลี่ อู่หยา”
สมาชิกฝ่ายตรงข้ามกล่าวอย่างเคร่งขรึม “กลุ่มนักรบเหมี่ยว อู๋เจิ้งหยาง”
ผู้ตัดสินกล่าวต่อว่า “กฎนั้นง่ายมาก เจ้าทั้งคู่สามารถโจมตีได้ตามต้องการโดยไม่มีข้อจำกัดเกี่ยวกับอาวุธ ส่วนปรมาจารย์อสูรไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ศาสตรามณียุทธ์และทักษะกักเก็บ หากมีคนขอยอมแพ้ จะไม่มีใครได้รับอนุญาตให้โจมตีต่อ เข้าใจหรือไม่?”
เมื่อทั้งสองฝ่ายพยักหน้าเห็นด้วย ผู้ตัดสินจึงให้สัญญาณเริ่มต้นการประลองอย่างรวดเร็ว ในที่สุดการต่อสู้ครั้งแรกของกลุ่มนักรบเฟยหลี่ก็ได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ
อู๋เจิ้งหยาง สมาชิกกลุ่มนักรบเหมี่ยวตะโกนออกมาเสียงดังลั่นทันที เขาปลดปล่อยมณีสวรรค์ออกมา ทุกคนจึงสามารถเห็นหยกน้ำแข็งจำนวน 4 ก้อนปรากฏอยู่รอบๆ ข้อมือขวาของเขาได้อย่างชัดเจน
เมื่อมองไปที่มณียุทธ์ของเขา ปากของโจวเหว่ยชิงก็กระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มเปี่ยมสุข สำหรับอู่หยา ศัตรูที่รับมือยากที่สุดคือจ้าวมณีสวรรค์ประเภทความว่องไวที่มีความสามารถในการรุกสูงเช่นเดียวกับสี่น้อย แต่เนื่องจากอู๋เจิ้งหยางผู้นี้เป็นจ้าวมณีสวรรค์ประเภทความแข็งแกร่ง ดังนั้นเขาจะแข่งความแข็งแกร่งกับอู่หยาได้อย่างไร? ถึงอย่างไรเจ้านั่นก็ไม่ใช่โจวเหว่ยชิงเสียหน่อย!
อู่หยาปลดปล่อยมณีสวรรค์ของตัวเองออกมาเช่นกัน เมื่อหยกน้ำแข็ง 3 ดวงและทับทิมแดงดารา 3 ดวงปรากฏขึ้นรอบข้อมือของเธอ เสียงร้องของผู้ชมก็ดังขึ้นเซ็งแซ่ด้วยความประหลาดใจ
ร่างของอู่หยาสูงใหญ่เกินไป และถึงแม้ว่าชุดของเธอจะถูกตัดเย็บขึ้นเป็นพิเศษ แต่มันก็ยังไม่อาจต้านทานจิตวิญญาณการต่อสู้ของหญิงสาวคนนี้ได้ ขณะที่เธอพับแขนเสื้อขึ้นเพื่อเตรียมต่อสู้ มณีธาตุของเธอก็โผล่ออกมาให้ทุกคนได้เห็นโดยไม่ได้ตั้งใจ
ในครั้งแรก เมื่อทุกคนได้เห็นว่าอาณาจักรเฟยหลี่ส่งสมาชิกมาเพียง 4 คน พวกเขาก็คาดเอาไว้แล้วว่าอาณาจักรเฟยหลี่ต้องเตรียมตัวมาเป็นอย่างดีแน่ แต่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าสมาชิกคนแรกที่ออกมาต่อสู้จะเป็นเพียงจ้าวมณีสวรรค์ระดับ 3 ชุด เพราะไม่ว่าเธอจะดูกล้าหาญหรือแข็งแกร่งเพียงใด ท้ายที่สุดแล้วในโลกจ้าวมณีสวรรค์ ขนาดของร่างกายก็ไม่ได้ส่งผลต่อชัยชนะอยู่ดี
เมื่อได้เห็นมณี 3 ชุดของอู่หยา อู๋เจิ้งหยางก็ชะงักไปทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งมณีธาตุของเธอที่ไม่ได้มีความพิเศษอะไร เห็นด้ชัดว่าเป็นเพียงธาตุไฟธรรมดาๆ เขาจึงอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา “เจ้ามาที่นี่เพื่อหยอกล้อผู้อื่นหรือไง!”
อู่หยายิ้มและพูดว่า “หึๆ หากข้ามาเพื่อกำราบพวกเจ้าล่ะ?” เมื่อเธอพูดจบ เธอก็ก้าวไปข้างหน้าและพุ่งเข้าหาอู๋เจิ้งหยางทันที
อู๋เจิ้งหยางส่งเสียงหึในลำคอ มณียุทธ์ทั้ง 4 ดวงรอบข้อมือขวาของเขาสว่างวาบขึ้นทันที แม้ว่าอู่หยาจะมีมณีเพียง 3 ชุด แต่อู๋เจิ้งหยางก็ไม่ได้ประมาท กว่าเขาจะมาเป็นตัวแทนของกลุ่มนักรบเหมี่ยวได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการถูกส่งออกมาคนแรก เขาย่อมต้องมีความพิเศษกว่าคนอื่นแน่นอน ไม่ว่าจะในแง่ของระดับพลัง ประสบการณ์การต่อสู้ หรือความเฉลียวฉลาด เขาล้วนแล้วแต่โดดเด่นทั้งหมด
ดาบหนักที่กว้างครึ่งฉื่อและยาวเกือบ 1.5 เมตรปรากฏขึ้นในมือของเขาทันที ในเวลาเดียวกัน โล่อีกชิ้นก็ปรากฏขึ้นในมืออีกข้างพร้อมกับเกราะไหล่และเกราะอก ประกายแสงสีเงินส่องแสงวูบวาบพร้อมกับไอหมอกน้ำแข็งที่ลอยออกมาจากศาสตรามณียุทธ์ 4 ชิ้นของเขา เห็นได้ชัดว่าอย่างน้อย 3 ชิ้นนั้นก็มาจากศาสตรามณียุทธ์ชุดเดียวกัน
ทันทีที่ศาสตรามณียุทธ์ของเขาหลอมรวมกับร่างกาย กลิ่นอายและจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของอู๋เจิ้งหยางก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก เขาก้าวไปข้างหน้า เหวี่ยงดาบหนักออกไปด้วยแขนข้างเดียวโดยมีจุดมุ่งหมายที่ศีรษะของอู่หยา
เมื่อเผชิญหน้ากับอู่หยาที่ไม่ได้เรียกศาสตรามณียุทธ์ออกมาแม้แต่ชิ้นเดียว อู๋เจิ้งหยางก็ไม่ได้รีบร้อนใช้ทักษะกักเก็บของตนเช่นกัน ในกลุ่มนักรบเหมี่ยว เขามีพลังมากที่สุดเป็นอันดับสอง มีเพียงหัวหน้าของพวกเขาเท่านั้นที่สามารถเอาชนะเขาได้ ด้วยเหตุนี้ จึงมีความเป็นไปได้ว่าเขาจะต้องออกไปประลองแบบคู่อีกครั้ง ดังนั้นเขาจึงไม่ควรใช้พลังมากเกินไปโดยไม่จำเป็น อย่างน้อยตอนนี้เขาก็จะต้องตรวจสอบพลังที่แท้จริงของอู่หยาก่อน
สำหรับจ้าวมณีสวรรค์ประเภทแข็งแกร่งที่มีมณี 4 ชุดคนหนึ่ง นอกเหนือจากพลังของดาบศาสตรามณียุทธ์แล้ว แรงขณะที่ฟันดาบออกไปก็ค่อนข้างน่าทึ่งมาก เกิดเสียงร้องโหยหวนขณะที่ดาบพุ่งเสียดสีกับอากาศทันที ดูจากความแข็งแกร่งของอู๋เจิ้งหยาง ประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นจากพลังของศาสตรามณียุทธ์ พร้อมกับลีลาการเคลื่อนไหวที่ลื่นไหลทรงพลัง การโจมตีของอู๋เจิ้งหยางจึงอาจกล่าวได้ว่าใกล้สมบูรณ์แบบเต็มที เขายังคงถือโล่ในมือซ้ายไว้เพื่อป้องกันตัวเองในขณะที่โจมตีออกไปด้วย นี่เป็นกลยุทธ์ที่ดีที่สุดในการทดสอบพลังที่แท้จริงของใครสักคน นอกจากนี้ ตำแหน่งที่เขาอยู่ยังสามารถปลดปล่อยการโจมตีออกไปได้อย่างต่อเนื่องด้วย เขาจึงมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าตนจะสามารถจบการแข่งขันระหว่างเขากับหญิงสาวผู้มีระดับพลังปราณต่ำกว่าผู้นี้ได้อย่างรวดเร็ว
ความจริงการตัดสินใจและกลยุทธ์ของอู๋เจิ้งหยางนั้นไม่ได้ผิดพลาดอะไร แต่น่าเสียดายที่เขาประเมินอู่หยาต่ำเกินไป เพราะถึงอย่างไรเขาก็ไม่น่าจะด่วนตัดสินเธอจากระดับพลังปราณเพียงอย่างเดียว อู่หยาใช่คนธรรมดาๆ เสียที่ ไหน?
เมื่อมองไปยังดาบหนักที่กำลังพุ่งเข้าหาเธอ อู่หยาก็หยุดนิ่งไปทันที ทักษะและความสามารถในการต่อสู้ของอู่ หยายังคงฝังแน่นอยู่ในสายเลือดอย่างแยกไม่ออก และเมื่อเธอยกมือซ้ายขึ้นอย่างรวดเร็ว พริบตานั้นเธอก็สามารถใช้มือเปล่าคว้าดาบหนักเอาไว้ได้ทันที ยิ่งไปกว่านั้นคือเธอถึงกับใช้มือเปล่าคว้าเข้าที่ปลายมีด!
ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร อู๋เจิ้งหยางก็ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าอู่หยาจะคว้าดาบของเขาเอาไว้ได้เช่นนั้น! *กึกก* เสียงหนึ่งดังขึ้นกึกก้องขณะที่เขารู้สึกราวกับว่าดาบหนักของเขาถูกหนีบไว้ด้วยคีมเหล็ก แม้จะเร่งใช้พละกำลังและพลังปราณสวรรค์อย่างเต็มที่ แต่ก็ไม่มีท่าทีว่าดาบจะขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย อีกทั้งมือของอู่หยาเองก็ไม่เคลื่อนไหวเช่นกัน ด้านอู่หยา เธอกำลังมองอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า มือที่ยังคงจับดาบหนักอยู่ดูผ่อนคลายลงโดยสิ้นเชิง
การเคลื่อนไหวของอู่หยานั้นเรียบง่ายและตรงไปตรงมาเสมอ หากการกระทำเรียบง่ายสามารถแก้ปัญหาได้ เธอก็จะไม่ใช้วิธีการที่ซับซ้อนเด็ดขาด ขณะที่มือซ้ายของเธอยังคงจับดาบหนักของคู่ต่อสู้ ขาขวาของเธอตวัดเตะออกไปอย่างโหดเหี้ยม แม้ว่าจะมีดาบหนักขนาดใหญ่กั้นขวางอยู่ระหว่างพวกเขา แต่อู่หยาก็สามารถโยกดาบขึ้นหลบ จากนั้นขายาวๆที่ล่ำหนาและทรงพลังของเธอฟาดออกมาเป็นเส้นตรง พุ่งเข้าใส่โล่ของอู๋เจิ้งหยางอย่างแรง
*ปั่ก*!
ขากรรไกรของผู้ชมทุกคนตกลงที่พื้นขณะที่อู๋เจิ้งหยางบินถลาออกไปเหมือนลูกปืนใหญ่เมื่อถูกอู่หยาเตะ ร่างของเขาพร้อมกับศาสตรามณียุทธ์ทั้ง 4 ชิ้นลอยหวือออกจากเวที บินผ่านเรือนรับรองหลายหลัง ก่อนที่จะพุ่งกระแทกพื้นลานจัตุรัสอย่างแรง
ด้วยเหตุนี้ การต่อสู้ครั้งแรกระหว่างกลุ่มนักรบเฟยหลี่และกลุ่มนักรบเหมี่ยวจึงสิ้นสุดลงทันที การ “ต่อสู้” ทั้งหมดใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น!
ตกตะลึง ทุกคนต่างตกตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก แม้แต่เหล่าผู้ทรงพลังที่นั่งอยู่บนแท่นนั่งของผู้ชมชนชั้นสูงก็จ้องมองมาที่เวทีพร้อมกับอ้าปากค้าง เป็นดังคำกล่าวที่ว่า ‘ต่อหน้าความแข็งแกร่งขั้นสุดยอด เล่ห์เหลี่ยมใดๆ ก็ไร้ผล’ และอู่หยาก็แสดงสิ่งนี้ให้ทุกคนได้ประจักษ์อย่างแท้จริง
ขณะที่อู่หยาเตะโล่ของอู๋เจิ้งหยาง เสียงที่ดังตามมาก็ส่งผลให้หัวใจหลายดวงกระตุกแน่นและบีบเกร็ง ราวกับว่าเจ้าของของพวกมันถูกเตะเสียเอง
ร่างของอู๋เจิ้งหยางกระแทกลงบนพื้นอย่างแรง เขาตกตะลึงจนไม่อาจลุกขึ้นยืนได้ โล่ศาสตรามณียุทธ์ของเขามีรอยแตกขนาดเล็กหลายจุด และสิ่งนี้ยังเป็นศาสตรามณียุทธ์ชิ้นที่ 4 ของเขาอีกด้วย! อีกฝ่ายต้องมีพละกำลังที่น่าหวาดกลัวขนาดไหนถึงจะทำเช่นนี้ได้! เพราะถึงอย่างไรเขาก็เป็นถึงจ้าวมณีสวรรค์ประเภทความแข็งแกร่ง!
อู่หยายืนอยู่กลางเวทีอย่างภาคภูมิใจ มือของเธอเท้าเอวขณะที่เอ่ยออกมาอย่างมีเลศนัยว่า “เจ้าหนุ่มหน้าหยกตัวน้อยนั่นลืมกินข้าวมาหรือไร! มาอีก! คนต่อไป!”
ไม่นานผู้ตัดสินก็ฟื้นสติกลับคืนมาได้ เขากระแอมไออย่างสุภาพ ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาว่า “เกี่ยวกับเรื่องนั้น…ผู้เข้าประลองอู่หยา ทุกคนสามารถต่อสู้ได้ในการประลองแบบเดี่ยวได้ครั้งเดียวเท่านั้น”
อู่หยาชะงักไป จากนั้นก็เกาหัวอย่างเขินอาย “โอ้! ใช่แล้ว ข้าลืมเรื่องนั้นไปซะสนิทเลย งั้นผลการประลองของข้าคือชนะใช่ไหม?”
ผู้ตัดสินทำได้เพียงจ้องมองไปยังอู่หยาอย่างหมดหนทาง ก่อนจะพยักหน้าอย่างรวดเร็วและพูดว่า “การต่อสู้ครั้งแรก กลุ่มนักรบเฟยหลี่ชนะ”
อู่หยายิ้มออกมา เธอคำนับผู้ตัดสินก่อนจะกระโดดลงจากเวที คราวนี้หลายคนหลับตารอขณะที่เธอกระโดดลงข้างล่างพร้อมเสียงแผ่นดินสะเทือน ผู้หญิงคนนี้มีนิสัยแปลกประหลาดจริงๆ!
โจวเหว่ยชิงยังคงนั่งอยู่ในเรือนพักของพวกเขา รอยยิ้มขบขันกำลังแต่งแต้มอยู่บนริมฝีปาก อู่หยารู้วิธีแสดงละครจริงๆ! ในการต่อสู้เมื่อสักครู่ ตอนแรกเธอทำตัวไร้เดียงสาและอ่านออกง่ายมาก เมื่อรวมกับร่างกายที่ใหญ่โตของเธอแล้ว คนอื่นจึงมองว่าเธอเป็น ‘นักกล้ามไร้สมอง’ ได้ไม่ยาก
แน่นอนว่าหากใครคิดเช่นนั้น พวกเขาย่อมต้องคิดผิด สุดท้ายก็จะตกหลุมพรางของเธอโดยไม่รู้ตัว เห็นได้ชัดว่าก่อนหน้านี้ขณะที่โจวเหว่ยชิงพนันกับสี่น้อย อู่หยาและเซียวเอี๋ยนก็ไม่ได้เข้าร่วมด้วย ดังนั้นภายใต้หน้ากากซื่อๆ และอ่านง่ายของอู่หยา เธอก็เป็นคนที่เฉลียวฉลาดมากคนหนึ่ง แน่นอนว่าทักษะการแสดงของเธอดีมากพอจะสร้างความประทับใจให้กับโจวเหว่ยชิงเลยทีเดียว
อู๋เจิ้งหยางถูกพาตัวกลับไปที่เรือนพักโดยสมาชิกคนอื่นในกลุ่ม ในที่สุดเมื่อได้หายใจออกมา เขาก็อดไม่ได้ที่จะอาเจียนออกมาเป็นเลือด สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำทันที นั่นไม่ใช่เพราะเขาได้รับบาดเจ็บหนัก แต่เป็นเพราะเขารู้สึกทุกข์ทรมานกับการพ่ายแพ้ครั้งนี้มากเกินไป เขายังไม่ทันได้ใช้พลังออกไปเต็มที่ด้วยซ้ำ แต่เขากลับพ่ายแพ้ไปเช่นนี้เสียแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น เขายังไม่ได้ใช้ทักษะกักเก็บแม้แต่อย่างเดียว! นี่มันเรื่องบ้า…
น่าเสียดายที่พ่ายแพ้ก็คือพ่ายแพ้ เมื่อเขาร่วงลงจากเวที นั่นก็นับว่าเขาพ่ายแพ้และไม่อาจแก้ไขอะไรได้อีกแล้ว ไม่นานผู้ตัดสินก็ตะโกนออกมาว่า “การต่อสู้รอบที่ 2 การประลองแบบเดี่ยว ทั้งสองฝ่ายเตรียมตัวให้พร้อม โปรดส่งสมาชิกในกลุ่มของท่านออกมาตามลำดับ”
เย่เป่าเปาลุกขึ้นยืนและจัดชุดของเขาอย่างสง่างาม ในขณะที่เดินขึ้นไปบนเวที เมื่อเทียบกับอู่หยาแล้วเขาดูปกติกว่ามาก