บทที่ 73.1 คู่ต่อสู้ที่ทรงพลังอย่างคาดไม่ถึง (1)

Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา

สำหรับการประลองครั้งที่ 2 เย่เป่าเปาเป็นตัวแทนกลุ่มนักรบเฟยหลี่ในขณะที่ตัวแทนกลุ่มนักรบเหมี่ยวเป็นเด็กที่มีรูปร่างผอมแห้งคนหนึ่ง เมื่อทั้งคู่ขึ้นไปบนเวที เขาก็เหลือบมองไปที่เย่เป่าเปาอย่างระมัดระวัง ทันทีที่เห็นว่าเย่เป่าเปาไม่เหมือนอู่หยา เขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก แน่นอนว่าฉากเมื่อสักครู่นี้ยังคงตราตรึงอยู่ในใจของเขา

“กลุ่มนักรบเฟยหลี่ เย่เป่าเปา”

“กลุ่มนักรบเหมี่ยว จู้เฮยซาน”

ผู้ตัดสินตะโกนออกมาทันที “การประลองรอบที่ 2 เริ่มได้!” เนื่องจากการประลองทั้งหมดในวันนี้มีมากถึง 12 ครั้ง ดังนั้นพวกเขาไม่มีเวลาให้โอ้เอ้

เย่เป่าเปาสะบัดข้อมือของเขาออกมา จากนั้นไม้คฑาศาสตรามณียุทธ์ก็ปรากฏขึ้นในมือของเขา สำหรับจู้เฮยซาน เขาพุ่งเข้าหาเย่เป่าเปาทันทีโดยมีกริชศาสตรามณียุทธ์สีดำสนิทอยู่ในมือขวา เขาเคลื่อนไหวได้รวดเร็วมาก ไม่กี่ก้าวก็เข้าถึงตัวเย่เป่าเปาได้แล้ว

มณียุทธ์ของเย่เป่าเปาคือหยกเหลืองที่เป็นประเภทความทนทานและมีไว้ใช้สำหรับป้องกันเป็นหลัก เมื่อเผชิญหน้ากับฝ่ายตรงข้าม เขาจึงยกมือซ้ายขึ้นอย่างใจเย็นและโล่ศาสตรามณียุทธ์ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขาทันที

เมื่อเทียบกับหลินเทียนอ้าวแล้ว โล่ของเขาอ่อนแอและเล็กกว่ามาก มันเป็นเพียงโล่กลมที่มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 1 ฉื่อเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ด้านหน้าของโล่กลับมีไพลินที่ส่องประกายแวววาวบรรจุอยู่ในหลุม มันก็คือมณีธาตุของเขานั่นเอง

*ติ๊ง* เสียงของแข็งกระทบกระทั่งกันดังขึ้นแผ่วเบาเมื่อทั้งสองปะทะกันเป็นครั้งแรก บางทีกลุ่มนักรบเหมี่ยวอาจรู้สึกกังวลหลังจากการพ่ายแพ้ไปในครั้งแรก พวกเขาจึงส่งจ้าวมณีสวรรค์ที่มีมณี 4 ชุดออกมาอีกครั้งในการประลองครั้งที่ 2 ยิ่งไปกว่านั้น มณียุทธ์ของจู้เฮยซานผู้นี้ยังเป็นหยกหินมังกรซึ่งเป็นมณียุทธ์ประเภทความว่องไวอีกด้วย

แม้ว่าการโจมตีครั้งแรกของจู้เฮยซานจะถูกโล่ศาสตรามณียุทธ์ของเย่เป่าเปาสกัดเอาไว้ได้ แต่การโจมตีของเขาก็ไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่นั้น ในขณะที่เขากำลังพุ่งเข้าพัวพันกับอีกฝ่าย แสงสีเขียวก็พลันส่องสว่างออกมาจากข้อมือซ้ายของเขา จู่ๆ ร่างของเขาก็กลายเป็นสายฟ้าที่เกรี้ยวกราด กระหน่ำโจมตีเย่เป่าเปาจากทุกทิศทาง

กลับมาที่เรือนรับรองของกลุ่มเฟยหลี่ ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ร้องออกมาด้วยความประหลาดใจ “จ้าวมณีสวรรค์ประเภทความว่องไวขั้นสุดยอด!” แท้จริงแล้วจู้เฮยซานเป็นจ้าวมณีสวรรค์ประเภทความว่องไวขั้นสุดยอดเช่นเดียวกับซ่างกวนปิงเอ๋อร์ เขามีทั้งราชันทุรมาลินและหยกหินมังกรอยู่ภายในตัว

“ไม่ต้องกังวลมากขนาดนั้นหรอก” โจวเหว่ยชิงกล่าวอย่างใจเย็น “ในบรรดาระดับพลังปราณขั้นล่างๆ จ้าวมณีธาตุน้ำมีพลังควบคุมที่แข็งแกร่งที่สุด โชคของเราค่อนข้างดีจริงๆ”

ทันทีที่โจวเหว่ยชิงพูดจบ ฉากในสนามรบก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีที่ปั่นป่วนวุ่นวายราวลมพายุของจู้เฮยซาน เย่เป่าเปาก็รู้ดีว่าเขาย่อมไม่อาจหลบหลีกพวกมันพ้น เขาจึงสะบัดไม้เท้าในมือออกไปทันที โล่น้ำแข็งพลันก่อตัวขึ้นมาป้องกันบริเวณด้านหลังและด้านข้างของเขา สำหรับโล่กลมเล็กๆ ที่อยู่ในมือซ้าย เขาก็ยังคงขยับมันอย่างรวดเร็วเพื่อป้องกันการโจมตีของจู้เฮยซานจากทางด้านหน้า

เนื่องจากมีมณียุทธ์ประเภทการป้องกัน เย่เป่าเปาจึงมีความเชี่ยวชาญในการโจมตีระยะไกลและการป้องกันระยะใกล้เป็นอย่างดี ยิ่งไปกว่านั้น ก่อนหน้านี้เขายังพยายามรับฟังเซียวเอี๋ยนอย่างนอบน้อม เขาจึงได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ อีกมากมาย ทั้งการฝึกควบคุมพลังปราณสวรรค์ การใช้ทักษะกักเก็บ และวิธีการต่อสู้ทั่วไป ทั้งหมดนั้นทำให้พลังโดยรวมของเขาเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด

จู้เฮยซานแสดงทักษะความเร็วออกมาอย่างเต็มที่โดยใช้ประโยชน์จากทักษะพายุพัดของเขา ร่างกายของเขาจึงดูเหมือนควันสีเขียวที่ลอยวูบวาบไปมาในขณะที่เขาเร่งความเร็วขึ้นเรื่อยๆ การโจมตีของจู้เฮยซานคล้ายจะไหลลื่นไปได้ทุกทิศทาง อนิจจา การโจมตีของเขาดูเหมือนจะถูกขัดขวางหรือตอบโต้ได้อย่างน่าประหลาดทุกครั้ง เย่เป่าเปาไม่ได้ขยับตัวเร็วนัก แต่การป้องกันของเขากลับมั่นคงด้วยทักษะโล่น้ำแข็งและโล่ศาสตรามณียุทธ์ในมือซ้าย ด้วยเหตุนี้เขาจึงสามารถสกัดกั้นการโจมตีระรอกแล้วระรอกเล่าของอีกฝ่ายเอาไว้ได้

โดยธรรมชาติแล้วจู้เฮยซานมักต้องเผชิญปัญหาเดียวกับซ่างกวนปิงเอ๋อร์ ในฐานะจ้าวมณีสวรรค์ประเภทความว่องไวขั้นสุดยอด จุดอ่อนที่สำคัญที่สุดของพวกเขาคือการขาดพลังโจมตีที่มีประสิทธิภาพ เย่เป่าเปาที่มีมณียุทธ์ประเภทป้องกันจึงสามารถปักหลักป้องกันการโจมตีทั้งหมดของเขาเอาไว้ได้ ด้วยเหตุนี้จู้เฮยซานจึงไม่อาจทะลวงเกราะป้องกันของเขาเพื่อสร้างความเสียหายให้อีกฝ่ายได้

ผู้ชมส่วนใหญ่ไม่ทราบว่าเมื่อทั้งสองต่อสู้และปะทะกันอย่างต่อเนื่อง หมอกน้ำแข็งบางๆ ก็ค่อยๆ ไหลเอื่อยออกมาจากเท้าของเย่เป่าเปา สำหรับคนนอก สิ่งนั้นอาจดูเหมือนหมอกจากโล่น้ำแข็ง แต่จริงๆ แล้วหมอกนี้กำลังกระจายออกไปอย่างช้าๆและแนบติดอยู่กับพื้นตลอดเวลา ดังนั้นในช่วงเวลาที่การต่อสู้ดำเนินต่อไป มันก็กระจายออกไปในรัศมี 10 หลารอบๆ ตัวคนทั้งคู่แล้ว

เมื่อการโจมตีที่บ้าคลั่งของจู้เฮยซานหยุดลงเพียงชั่ววินาทีเพื่อพักฟื้นลมหายใจ หมอกน้ำแข็งก็ผุดขึ้นมาจากพื้นอย่างเงียบๆทันที จู่ๆ จู้เฮยซานก็รู้สึกว่าอุณหภูมิรอบตัวกำลังลดลงฮวบฮาบ ขณะที่เขากำลังคิดจะล่าถอย เขาก็ได้ยินเย่เป่าเปาเอ่ยขึ้นมาเบาๆ “สนามเยือกแข็ง!”

ในช่วงเวลานั้น หมอกน้ำแข็งก็พวยพุ่งออกมาทันที จู้เฮยซานรู้สึกราวกับว่าร่างกายของเขาถูกล้อมรอบไปด้วยเกล็ดน้ำแข็งจำนวนนับไม่ถ้วน พวกมันเกาะติดอยู่กับร่างกายของเขาพร้อมกับความหนาวเย็นเสียดกระดูก นั่นทำให้ร่างกายของเขา ลึกไปจนถึงเส้นชีพจรกำลังแข็งตัวจับตัวเป็นก้อน

ในช่วงเวลาที่สำคัญเช่นนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าใครมีไพ่เหนือกว่ากันแล้ว จู้เฮยซานโบกมือขวาขึ้นมาอย่างไม่ลังเล แสงสีเขียว 3 ดวงพุ่งออกมาจากมือของเขาลอยขึ้นไปในอากาศทันที นี่คือลูกดอก 3 ลูก โดยแต่ละลูกเต็มไปด้วยพลังจากหยกหินมังกรของเขา

ใครจะคิดว่าในบรรดามณียุทธ์ทั้ง 4 ดวงของจู้เฮยซาน กว่า 3 ดวงในนั้นเป็นอาวุธชนิดเดียวกัน และจริงๆ ก็เป็นแค่ลูกดอกปาเป้าเท่านั้น!

ในขณะที่ลูกดอกทั้ง 3 ทะยานขึ้นไปบนฟ้า พวกมันก็พุ่งเข้าหากันกลางอากาศและหลอมรวมเข้าด้วยกันทันที ท่ามกลางประกายแสงสีเขียวเข้มข้น ดูเหมือนว่าพวกมันจะรวมตัวกันกลายเป็นลูกดอกขนาดใหญ่เพียง 1 ดอก ทว่าความเร็วที่บ้าคลั่งของมันก็ไม่ได้ลดลงในขณะที่พุ่งออกไปสะบัดตัวโค้งกลางอากาศกลายเป็นเส้นแสงสีเขียวที่งดงามบนท้องฟ้า พริบตาเดียวก็พุ่งไปที่อกขวาของเย่เป่าเปาทันที

แน่นอนว่าในฐานะจ้าวมณีสวรรค์ประเภทความว่องไวขั้นสุดยอด จู้เฮยซานรู้ดีว่าตัวเองไม่มีพลังโจมตีที่สูงส่งอะไร ทว่าลูกดอกทั้ง 3 ของเขาก็เป็นชุดประสานศาสตรามณียุทธ์เช่นเดียวกับโล่ของหลินเทียนอ้าว ด้วยเหตุนี้มันจึงให้ผลลัพธ์ที่คล้ายคลึงกันด้วย แต่ทว่าในกรณีของเขา ลูกดอกนี้ถูกใช้เพื่อโจมตีและมันก็ทำจากมณีเพียง 3 ดวงเท่านั้น เมื่อรวมกับพื้นฐานความแรงในการโจมตีของเขาที่ไม่ได้สูงมากอยู่ก่อนแล้ว พลังของมันจึงยังอ่อนแอมากหากเทียบกับโล่ของหลินเทียนอ้าว

แต่ถึงกระนั้น นั่นเป็นเพียงการเปรียบเทียบกับผู้อื่น ดังนั้นไม่ว่าอย่างไรการผสานลูกดอกทั้ง 3 เข้าด้วยกันก็ไม่ใช่สิ่งที่สามารถมองข้ามได้อย่างแน่นอนเพราะนั่นสามารถช่วยเพิ่มพลังโจมตีของจู้เฮยซานได้เป็นอย่างดี เมื่อรวมกับการที่มันพุ่งเข้าหาด้วยความเร็วสูง เย่เป่าเปาจึงไม่อาจตอบสนองได้ทันเวลา

ภายในเรือนรับรอง สีหน้าของโจวเหว่ยชิงเปลี่ยนไปทันที ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วเกินไป แม้แต่เขาก็ไม่สามารถยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือได้แม้ว่าจะต้องการก็ตาม

ทว่าในช่วงเวลาที่กำลังจะเกิดอันตรายร้ายแรง คนที่สงบเยือกเย็นที่สุดกลับเป็นเย่เป่าเปา เพราะก่อนหน้านี้ขณะที่จู้เฮยซานกวาดมือขวามาทางเขา เย่เป่าเปาก็ได้เริ่มเตรียมการรับมือเอาไว้ก่อนแล้วเช่นกัน

เย่เป่าเปาก็รู้ดีว่าหมอกน้ำแข็งที่เขาปล่อยออกมาก่อนหน้านี้พร้อมกับทักษะสนามเยือกแข็งส่งผลกระทบต่อจู้เฮยซานเป็นอย่างมาก อย่างน้อยพวกมันก็ช่วยจำกัดความเร็วของอีกฝ่ายลง แน่นอนว่าจู้เฮยซานเพิ่งจะใช้ทักษะโจมตีใส่เขาก่อนที่ตนเองจะถูกควบคุมเอาไว้ได้อย่างเต็มที่ ความจริงสัญชาตญาณการต่อสู้ของเย่เป่าเปาก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าคนอื่นเช่นกัน ดังนั้นก่อนหน้านี้เขาจึงพยายามบังคับให้คู่ต่อสู้เดินตามหมากที่เขาวางเอาไว้

*สวบ* ลูกดอกที่ผสานร่างเข้าด้วยกันพุ่งเข้าใส่อกขวาของเย่เป่าเปาทันที ทว่าเย่เป่าเปากลับไม่ได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย เพราะในช่วงเวลานั้นกลับมีเย่เป่าเปาคนที่ 2 ปรากฏตัวขึ้นบนเวทีด้วย!

ทักษะสนับสนุนธาตุน้ำระดับ 7 ดาว ทักษะภาพสะท้อน เจ้าของสามารถใช้พลังปราณสวรรค์ธาตุน้ำสร้างภาพลวงตาซึ่งเหมือนกับร่างกายของพวกเขาเองขึ้นมาได้ ในขณะเดียวกันเมื่อใช้ทักษะนี้ ความสามารถของทักษะธาตุน้ำทั้งหมดจะถูกยกระดับขึ้น ระดับมณี 4 ชุดของเย่เป่าเปาในปัจจุบันจะช่วยเพิ่มความสามารถให้ธาตุน้ำของเขาได้เกือบ 2 ใน 10 ส่วน

แม้ว่าเขาจะเตรียมพร้อมและปลดปล่อยทักษะภาพสะท้อนออกไปด้วยความเร็วที่เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่เขาก็ยังทำได้เพียงแค่หลบการโจมตีครั้งใหญ่ของคู่ต่อสู้เท่านั้น แท้จริงแล้วเย่เป่าเปาก็กำลังหวาดกลัวจนเหงื่อแตกเช่นกัน พลังของจู้เฮยซานนั้นยิ่งใหญ่เกินกว่าที่เขาคาดเอาไว้เสียอีก

ลูกดอกประสานศาสตรามณียุทธ์ทั้ง 3 พลาดเป้าไปอย่างน่าเสียดายและถูกส่งกลับไปยังมือของจู้เฮยซานอย่างรวดเร็ว ทว่าหลังจากนี้เย่เป่าเปาย่อมไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายโจมตีเขาได้อีกต่อไป

ด้วยทักษะหมอกน้ำแข็งและทักษะสนามเยือกแข็งที่ได้รับการส่งเสริมโดยทักษะภาพสะท้อน พลังของพวกมันจึงแข็งแกร่งขึ้นมาก ยิ่งไปกว่านั้น เนื่องจากความเร็วของจู้เฮยซานถูกจำกัดและถูกเขาควบคุมเอาไว้ได้เกือบทั้งหมด จู้เฮยซานจึงรู้สึกราวกับว่าร่างทั้งร่างของเขากำลังถูกแช่แข็งเอาไว้

โล่น้ำแข็งที่ดูเรียบๆ กำลังกดแนบเข้ากับลำตัวและแขนของจู้เฮยซานอย่างแรง ทำให้เขาไม่สามารถปลดปล่อยลูกดอกออกไปได้อีกครั้ง เมื่อเขาพยายามจะถอยกลับ จู่ๆ ก็พบว่าโล่น้ำแข็งอีก 3 ชิ้นกำลังกดทับเขาจากด้านหลัง ขังให้เขาติดอยู่กับที่ ไม่สามารถขยับไปไหนได้เลย

เมื่อหอกน้ำแข็งค่อยๆ ก่อตัวขึ้นในมือของเย่เป่าเปา น้ำเสียงเย็นชาของผู้หญิงก็คนหนึ่งดังออกมาจากกลุ่มนักรบเหมี่ยว “พวกเราขอยอมรับความพ่ายแพ้”

เย่เป่าเปาไม่ได้โจมตีต่ออีก แม้ว่าการโจมตีด้วยลูกดอกประสานศาสตรามณียุทธ์ของจู้เฮยซานก่อนหน้านี้จะน่าตกใจมาก แต่อีกฝ่ายก็เล็งไปที่หน้าอกด้านขวา ไม่ใช่ที่หัวใจของเขา พวกเขาทั้งคู่ทั้ไม่ได้เกลียดชังอะไรกัน ดังนั้นการโจมตีและทำร้ายคู่ต่อสู้อย่างรุนแรงจึงไม่จำเป็นอย่างยิ่ง ทั้งยังถือเป็นเรื่องโง่เขลาด้วยซ้ำ

เย่เป่าเปาสลายหอกน้ำแข็งของเขาและปล่อยจู้เฮยซานออกจาก ‘คุก’ หมอกน้ำแข็งและโล่น้ำแข็งอย่างรวดเร็ว เขาโค้งคำนับน้อยๆ และยิ้มให้จู้เฮยซาน “ครั้งนี้ท่านปล่อยให้ข้าชนะเสียแล้ว”

จู้เฮยซานพูดอย่างหงุดหงิดเล็กน้อย “อืม ข้าแพ้แล้ว ข้าควรจะปล่อยของที่มีออกไปให้หมดและใช้ชุดประสานศาสตรามณียุทธ์ทั้ง 3 ชิ้นของข้าตั้งแต่เริ่มต้น บางทีข้าอาจมีโอกาสชนะมากกว่านี้….”

จริงๆ แล้วในแง่ของพลังต่อสู้โดยรวม จู้เฮยซานไม่ได้ด้อยไปกว่าเย่เป่าเปาเลยด้วยซ้ำ แต่เพราะเขาไม่ต้องการเปิดเผยพลังของตัวเองออกมาเร็วเกินไปและเย่เป่าเปาก็แข็งแกร่งกว่าที่เขาคาดเอาไว้ ด้วยเหตุนี้อีกฝ่ายจึงคว้าชัยชนะไปได้อย่างรวดเร็ว มิฉะนั้นการแข่งขันคงจะสูสีมากกว่านี้ และผลลัพธ์ก็คงจะยังไม่แน่นอน

ผู้ตัดสินประกาศผลผู้ชนะว่าเป็นกลุ่มนักรบเฟยหลี่อีกครั้ง ทั้งสองฝ่ายก็โค้งคำนับให้กันและกันอย่างสุภาพก่อนที่จะเดินลงจากเวที

นั่นเป็นการต่อสู้ที่ค่อนข้างธรรมดา ทุกคนจึงไม่ได้ตื่นเต้นมากนัก แต่ก่อนที่ผู้ชมจะได้ทันตั้งตัว ร่างขนาดมหึมาของอู่หยาก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งอย่างน่าตกใจ

แน่นอนว่าเธอกลับมาบนเวทีเพื่อการประลองครั้งที่ 3 การประลองแบบคู่!

เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวขึ้นอีกครั้งขณะอู่หยากระโจนขึ้นไปเหยียบบนเวที โจวเหว่ยชิงยิ้มและผ่อนคลายกล้ามเนื้อ เขายืดเส้นยืดสายก่อนที่จะเดินขึ้นไปบนเวทีเช่นกัน

“อ้วนน้อย ระวังตัวด้วยนะ” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กล่าวอย่างเป็นห่วง ก่อนหน้านี้ลูกดอกประสานศาสตรามณียุทธ์ทั้ง 3 ชิ้นทำให้เธอตกใจเล็กน้อย อันที่จริงงานประลองมณีสวรรค์นี้เป็นสถานที่ที่รวบรวมคนรุ่นเยาว์ที่มีความสามารถเอาไว้จำนวนมาก เนื่องจากไม่มีใครล่วงรู้ความลับหรือทักษะพิเศษที่คนอื่นมี จึงไม่มีใครสามารถประเมินพลังที่แท้จริงของพวกเขาได้เลย

โจวเหว่ยชิงยิ้มและพูดว่า “ไม่ต้องห่วง เจ้าก็รู้คติของข้า ปลอดภัยไว้ก่อน!”

เมื่อเห็นว่าอู่หยาขึ้นเวทีเป็นครั้งที่ 2 อู๋เจิ้งหยางก็เดินออกมาอีกครั้งอย่างไม่ลังเล เขารู้สึกแย่มากกับการพ่ายแพ้ครั้งแรก ดังนั้นเขาจึงต้องการจะกลับไปเผชิญหน้ากับอู่หย่าอีกครั้ง ไม่เช่นนั้นเขาคงละอายใจที่จะอยู่ในกลุ่มต่อไป

ด้านหลังอู๋เจิ้งหยางมีหญิงสาวคนหนึ่งติดตามมาจากกลุ่มนักรบเหมี่ยว เธอมีอายุราวๆ 25 ปี รูปร่างเล็กและบอบบาง หน้าตาของเธอสูงกว่าค่าเฉลี่ย ทว่ามีสีหน้าเย็นชาขณะที่ตรวจสอบอู่หยาด้วยสายตาระมัดระวัง

อู่หยามองไปที่โจวเหว่ยชิงและถามขึ้นมาเบาๆ “พวกเราจะเอายังไง?”

โจวเหว่ยชิงหุบยิ้มในขณะที่เขาพูดว่า “พวกเราจะเอายังไง? แล้วเจ้าคิดยังไงล่ะ? หาคู่นอนกันดีไหม? พวกเราแยกกันจัดการแต่ละคน เจ้าหนุ่มหน้าหยกนั่นเป็นของเจ้า ส่วนสาวงามคนนั้นเป็นของข้า เช่นนี้เป็นอย่างไร?”

“ก็ได้” อู่หยาพยักหน้าเห็นด้วยทันที