ภาคที่ 2 บทที่ 229 หมั้นอย่างเป็นทางการ

มู่หนานจือ

ไม่เพียงแต่เงินทองที่แวววาวเหล่านั้น แม้แต่ขนมมงคลก็ตั้งใจทำอย่างพิถีพิถันเช่นกัน

กล่องกระดาษปิดทองสีแดงเข้ม บนลายมังกรกับหงส์พิมพ์ลายมงคลว่า ‘บุปผางามพระจันทร์เต็มดวง[1]’ ใช้เชือกผ้าไหมผูก โดยผูกเป็นเงื่อนสมปรารถนา ประณีตจนดูเหมือนกล่องใส่เครื่องประดับ

ฮูหยินฉีเห็นแล้วก็เอ่ยกับแม่นมที่ติดตามอยู่ข้างกายว่า “ข้าเพิ่งเคยเห็นขนมมงคลที่พิถีพิถันเช่นนี้เป็นครั้งแรก ตระกูลหลี่จะต้องลงแรงไปมากอย่างแน่นอน”

ขนมมงคลนี้เป็นสิ่งที่ครอบครัวสามีนำมามอบให้ครอบครัวภรรยาใช้เลี้ยงแขก และเป็นหน้าตาของครอบครัวสามี

แม่นมคนนั้นพยักหน้าไม่หยุด

ฮูหยินฉีหยิบชิ้นหนึ่งไปให้ฮูหยินฝางดู

ฮูหยินฝางพอใจมาก และเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าก็เพิ่งเคยเห็นการใช้กล่องกระดาษใส่ขนมมงคลเป็นครั้งแรกเหมือนกัน และกล่องกระดาษนี้ก็แข็งแรงมาก กินขนมมงคลหมดแล้ว กล่องกระดาษนี้ยังสามารถใส่ของอื่นได้อีก ต่อไปอาลวี่ของพวกเราแต่งงาน ข้าใช้กล่องกระดาษใส่ขนมมงคลแบบนี้บ้างดีกว่า สวยกว่าใช้กระดาษหนังวัวห่อ ติดตัวอักษรคำว่า ‘มงคล’ สีแดง และใช้เชือกป่านผูกมากเลย”

ก็มีแต่ตระกูลอย่างตระกูลเจียงกับตระกูลหลี่เท่านั้นที่จะมีเงินทองทำแบบนี้

ฮูหยินฉีคิดอยู่ในใจ พลางยื่นรายการสินสอดที่ตระกูลหลี่ส่งมาให้ฮูหยินฝาง และเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ตระกูลหลี่ยังทำเครื่องประดับทองหนึ่งพันตำลึง กับเงินห้าร้อยตำลึงให้ท่านหญิงด้วย”

ฮูหยินฝางประหลาดใจเล็กน้อย

หากเอ่ยถึงเครื่องประดับทอง ชิ้นที่ดีที่สุดในใต้หล้าก็แทบจะอยู่ที่วังหลังหมดแล้ว

มีของรางวัลจากไทฮองไทเฮากับไทฮองไทเฟ่ย ตระกูลหลี่ก็ไม่จำเป็นต้องทำให้ยุ่งยากเช่นนี้

“ข้าดูหน่อย!” ฮูหยินฝางเปิดรายการสินสอด “ปิ่นระย้าอัญมณีนานาชนิดทองคำบริสุทธิ์หนึ่งคู่ ปิ่นปักผมรูปก้อนเมฆสานทองคำบริสุทธิ์หนึ่งคู่ ปิ่นปักผมทองดอกบัวลูกท้อทองคำบริสุทธิ์หนึ่งคู่ ปิ่นปักผมสมปรารถนาลายมงคลทองคำบริสุทธิ์หนึ่งคู่…”

ในที่สุดฮูหยินฉีก็เข้าใจแล้ว ในเครื่องประดับเงินทองที่ตระกูลหลี่ส่งมานั้น ส่วนใหญ่เป็นทองคำบริสุทธิ์หรือฝังอัญมณีนานาชนิด ทองคำบริสุทธิ์นั้นไม่ต้องพูดถึงแล้ว แค่มีทองก็พอ ส่วนฝังอัญมณีนานาชนิดนั้นหมายถึงฝังอัญมณีสีต่างๆ ในเมื่อฝังอัญมณีสีต่างๆ แล้ว ขนาดของอัญมณีเหล่านี้ก็จะไม่ใหญ่เกินไป จะไม่เหมือนกับเครื่องประดับที่ไทฮองไทเฮามอบให้เจียงเซี่ยน มีปิ่นปักผมลายก้อนเมฆเคลื่อนที่ฝังทับทิมหนึ่งคู่ ปิ่นปักผมฝังมรกตหนึ่งชิ้น การฝังชิ้นเดียวแบบนี้ อย่างน้อยที่สุดอัญมณีก็ต้องมีขนาดเท่าไข่นกกระทาเช่นกัน อัญมณีเหล่านี้คนอื่นได้มาเม็ดหนึ่งต่างก็จะเก็บสะสมเป็นของล้ำค่าที่สืบทอดกันภายในตระกูล เป็นสิ่งที่มีเงินก็ซื้อไม่ได้

และวันนั้นที่นางช่วยฮูหยินฝางจัดเครื่องประดับด้วยกัน นางเคยเห็นปิ่นปักผมหยกชิ้นหนึ่งด้วยตาของตนเอง สิ่งที่ฝังบนหยกเหอเถียนที่ดีที่สุดคือพลอยไพฑูรย์ มีขนาดเท่าไข่ห่าน ว่ากันว่าเป็นหนึ่งในสินเดิมของตระกูลหวัง ตอนที่ไทฮองไทเฮาแต่งงาน ตอนนั้นนางยังคิดอยู่ว่า มิน่าเล่าตอนที่เหล่าสตรีชนชั้นสูงในเมืองหลวงสวมเครื่องประดับออกไปต้องมีคนติดตามอยู่ข้างกายโดยเฉพาะ เผื่อเครื่องประดับร่วงหล่นไปจะได้เก็บขึ้นมา…

สินเดิมของเจียงเซี่ยนกับสินสอดของตระกูลหลี่เทียบกันแล้วอีกไม่นานก็จะปรากฏออกมาว่าอันไหนมากกว่า!

ฮูหยินฉีอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ

แต่ฮูหยินฝางกลับคิดในใจว่า ตระกูลหลี่ก็ถือว่ารู้ความเช่นกัน รู้จักแลกเปลี่ยนทองใหม่และทำเครื่องประดับธรรมดาให้เจียงเซี่ยน สวมออกไปไม่ได้ ทว่าให้เป็นรางวัลแก่คนอื่นกลับมีหน้ามีตาเล็กน้อย

นางกับฮูหยินฉีไปที่ห้องข้างที่เจียงเซี่ยนพักด้วยกัน

เจียงเซี่ยนสวมเสื้อคลุมยาวทอลายแปดสัญลักษณ์มงคล[2]สีแดงเข้ม ผมสีดำสนิทเกล้าเป็นมวยทรงตกหลังม้า เพื่อเดี๋ยวจะได้เสียบปิ่นปักผม และกำลังนั่งอยู่บนเตียงอุ่นหลังใหญ่ใกล้หน้าต่าง โดยเมิ่งฟางหลิงกำลังป้อนไข่ตุ๋นให้อยู่ นางกินไปก็พูดไปด้วยว่า “ข้าอยากกินพุทราแดง”

ฮูหยินฉีถึงพบว่าไข่ตุ๋นนี้ตุ๋นพร้อมกับเม็ดเล็กๆ ที่ทำจากพุทราแดงกวน

นางเพิ่งเคยเห็นวิธีกินแบบนี้เป็นครั้งแรก

เมิ่งฟางหลิงลังเลเล็กน้อย

ฮูหยินฝางเอ่ยแล้วว่า “ห้ามให้นางกินพุทราแดง ระบบย่อยอาหารของนางแย่เกินไป นางกินแล้วไม่ย่อย”

“ข้ากินแค่ชิ้นเดียว” เจียงเซี่ยนชอบกินพุทราแดงที่ตุ๋นในไข่ตุ๋นแบบนี้มาก นางเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “หลายวันก่อนพระหงอีจากวัดถ่าย่วนเคยมาตรวจให้ข้า บอกว่าข้าสบายดี! พระหงอีจากวัดถ่าย่วนเป็นพระอาวุโส หากท่านไม่เชื่อก็ถามฮูหยินฉีได้”

นางเอ่ยพลางมองไปทางฮูหยินฉี

ดวงตาอันงดงามที่สีดำและสีขาวแยกกันอย่างชัดเจน เหมือนปรอทสีดำลูกหนึ่งแช่อยู่ในปรอทสีขาว ทำให้ฮูหยินฉีตะลึงเล็กน้อย

นางอดที่จะพยักหน้าไม่ได้ และยิ้มพลางเอ่ยว่า “พระหมอยาจากวัดถ่าย่วนมีชื่อเสียงที่นี่มาก เชิญไม่ได้ง่ายๆ ฝีมือในการรักษาก็ล้ำเลิศมากเช่นกัน”

“ข้าไม่สนว่าฝีมือในการรักษาของเขาล้ำเลิศแค่ไหน” ฮูหยินฝางเปลี่ยนท่าทีจากสบายๆ ใจกว้าง และอ่อนโยนก่อนหน้านี้เป็นเอ่ยอย่างเด็ดขาดว่า “หมอหลวงเถียนตรวจชีพจรปกติให้เจ้ามาตั้งแต่เด็ก หมอหลวงเถียนบอกว่าเจ้ากินได้เจ้าถึงกินได้” นางพูดไปก็กำชับแม่นมอวี๋ว่า “เดี๋ยวเจ้าบอกพวกเด็กๆ ที่เข้าเวรในบ้านด้วยว่า ตระกูลของหมอหลวงเถียนเป็นหมอหลวงที่สืบทอดตำแหน่งมาหลายชั่วอายุคน ไม่อาจไปไหนตามใจชอบได้ เขาจึงแนะนำลูกชายของเพื่อนสนิทของเขามา คนนี้สกุลฉาง ชื่อเหริ่นตง หลังจากนี้คนที่ชื่อฉางเหริ่นตงนี้จะเป็นคนช่วยดูแลร่างกายของท่านหญิง ต่อไปท่านหญิงกินอะไรได้ กินอะไรไม่ได้ พวกเจ้าต้องถามเขา ห้ามทำตามอำเภอเองตามใจท่านหญิง เข้าใจหรือไม่?”

ทว่าสองสามประโยคสุดท้ายกลับเอ่ยให้พวกฉิงเค่อกับชีกูฟัง

คนรับใช้ในห้องย่อตัวพลางขานรับพร้อมกันว่า “เจ้าค่ะ” บรรยากาศตึงเครียดเล็กน้อย

ไป๋ซู่รีบยิ้มและเอ่ยแทรกว่า “ท่านก็ไม่ใช่ว่าไม่รู้นิสัยของเป่าหนิงเสียหน่อย ท่านไม่ห้าม นางก็ชิมแค่คำเดียว หากท่านห้าม นางก็จะต้องหาโอกาสลองชิมให้ได้ ข้าว่าใครก็จัดการไม่ได้ทั้งนั้น ต้องให้ลูกเขยหยุดนิสัยนี้ของเป่าหนิงถึงจะสำเร็จ”

ทุกคนในห้องหัวเราะลั่นพร้อมกัน

หน้าของเจียงเซี่ยนร้อนผะผ่าว

นางนึกถึงชาติก่อนที่ถูกหลี่เชียนกดขี่จนไม่มีทางต่อต้านได้ นี่ก็ไม่ได้ นั่นก็ไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องในราชสำนักหรือพวกเรื่องเล็กน้อยที่เกิดขึ้นข้างกายนาง…คนอื่นต่างบอกว่า สามีภรรยาทะเลาะกันเสร็จก็คืนดีกัน ชาตินี้นางเป็นภรรยาของเขาแล้ว เขายังกล้าพูดกับนางว่าไม่ได้ทุกเรื่องหรือไม่?

ทันใดนั้นเจียงเซี่ยนก็อยากจะแต่งงานเร็วหน่อย

ถึงเวลานั้นก็รู้ว่าหลี่เชียนจะกล้าหรือไม่กันแน่…

บรรยากาศในห้องคึกคักขึ้นมาใหม่อีกครั้ง บนหน้าของฮูหยินฝางก็มีรอยยิ้มแล้วเช่นกัน

นางตำหนิเจียงเซี่ยนว่า “เดี๋ยวคนของตระกูลหลี่ก็จะมาถึงแล้ว เหตุใดตอนนี้เจ้ายังกินอยู่อีก?”

เจียงเซี่ยนยิ้มแห้ง

ไป๋ซู่ปรายตามองนางครั้งหนึ่ง และเอ่ยว่า “นางตื่นมาให้อาหารนกแต่เช้า และยังกลัวว่าเสียงประทัดจะทำให้นกท้ายทอยดำตกใจ จึงให้คนยกไปไว้ในห้องเก็บฝืนที่เรือนด้านหลังและเฝ้าไว้ถึงจะวางใจ กินหมั่นโถวอย่างลวกๆ ไปครึ่งลูก ก็ถึงฤกษ์หวีผมแล้วจึงต้องหวีผมก่อน จนจัดการได้พอสมควรแล้ว นางก็บอกว่าหิว คนครัวจึงรีบต้มไข่ให้นางถ้วยหนึ่ง ตอนที่ยกเข้ามานั้นเพิ่งจะแต่งหน้าไปได้ครึ่งเดียว แม่นมเมิ่งโกรธที่นางดื้อ แล้วก็กลัวว่านางจะซุ่มซ่าม หากทำไข่ตุ๋นคว่ำจะทำอย่างไร จึงให้นางนั่งนิ่งๆ บนเตียงอุ่น และป้อนให้นางกิน…”

เจียงเซี่ยนอายุห้าขวบยังไม่เคยถือช้อนกับตะเกียบเองเลย ตอนหลังไป๋ซู่เข้าวัง นางเห็นไป๋ซู่กินข้าวเอง ก็จะกินข้าวเองด้วย ปรากฏว่าวันเกิดของไทฮองไทเฮาปีนั้น นางทำน้ำแกงไก่หกใส่เสื้อผ้า ทำให้ไทฮองไทเฮาตกใจจนหน้าซีด วังฉือหนิงวุ่นวายไปหมด จนไม่ได้อวยพรวันเกิด…

ไป๋ซู่ยังจำได้ดี

เจียงเซี่ยนแลดูละอายใจ

ฮูหยินฉีถึงเห็นว่าเจียงเซี่ยนผัดหน้าแล้ว วาดคิ้วแล้ว…ขาดแค่สุดท้ายทาปากก็จะแต่งหน้าเสร็จแล้ว และก็อดที่จะหัวเราะพลางส่ายหน้าไม่ได้

ทว่านัยน์ตาของฮูหยินฝางกลับฉายแววเศร้าหมอง

เป่าหนิงของพวกนางยังเป็นเด็กสาวที่ไม่รู้ความอยู่เลย เดี๋ยวก็จะแต่งออกไปแล้ว ไม่มีนางกับไทฮองไทเฮาอยู่ข้างกาย ก็ไม่รู้เหมือนกันว่านางจะใช้ชีวิตอยู่ในจวนสกุลหลี่ได้หรือไม่ บางครั้งมีฐานะอำนาจมากไปก็ไร้ประโยชน์ หากเจอพวกแอบเล่นลูกไม้ทำร้ายคนอื่น ตีหน้าซื่อว่าไม่มีความผิด ยิ่งเป็นสตรีที่มาจากตระกูลที่ฐานะต่ำต้อยก็ยิ่งเชี่ยวชาญเรื่องเหล่านี้ พวกนางถูกชะตาชีวิตฝึกฝนจนรู้ว่าการมีชีวิตอยู่สำคัญกว่าอะไรทั้งนั้น คนอย่างเป่าหนิงที่ไม่เคยรู้ว่าความหิวโหยรสชาติเป็นอย่างไร ความเย็นยะเยือกรู้สึกอย่างไร กลับมองว่าความหยิ่งในศักดิ์ศรีสำคัญกว่าอะไรทั้งนั้น เจอพวกคนที่มีเจตนาอื่นแอบแฝง นางจะได้รับอันตรายได้โดยง่าย!

นางหันตัวไป และใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดหางตา

——————————–

[1] บุปผางามพระจันทร์เต็มดวง คำอวยพรที่คนจีนมักใช้ในพิธีแต่งงาน เพื่อขอให้คู่บ่าวสาวมีชีวิตที่ดี

[2] แปดสัญลักษณ์มงคล ได้แก่ คนโท กลด ปลาคู่ ดอกบัว หอยสังข์ เงื่อนมงคล เสาหิน และธรรมจักร