ภาคที่ 2 บทที่ 230 เสียบปิ่นปักผม

มู่หนานจือ

เสียดายที่ในห้องมีคนมาก ถึงฮูหยินฝางจะหันตัวไป ก็ทำให้คนเห็นว่านางกำลังเช็ดน้ำตาอยู่ดี

ฮูหยินฉีรีบโอบนาง และเอ่ยว่า “ท่านดูสินสอดของลูกเขยสิ จะมีสักกี่คนที่เทียบได้? ท่านไม่วางใจตรงไหน อย่าเพิ่งร้องไห้เลย เดี๋ยวคนของตระกูลหลี่ก็จะมาแล้ว”

ฮูหยินฝางพยักหน้า และเห็นว่าเจียงเซี่ยนกำลังมองนางตาโต สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล จึงคิดว่าวันนี้เป็นวันดีของเจียงเซี่ยน ต่อให้นางเสียใจแค่ไหน ก็ร้องไห้ออกมาทำลายบรรยากาศตอนนี้ไม่ได้เช่นกัน จึงฝืนทำจิตใจให้สดชื่นขึ้นและเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “นี่ข้าก็เห็นว่าเจ้าเด็กคนนี้ไม่คิดอะไรมาก จึงร้อนใจแทนนางไม่ใช่หรือ? พวกเจ้าว่า มีใครกำลังจะมอบสินสอดอยู่แล้ว ยังเอาแต่คิดถึงของกินอยู่บ้าง?”

ทุกคนหัวเราะกันอีกครั้ง

เจียงเซี่ยนรู้สึกเสียใจเล็กน้อย

ชาติก่อนท่านยายกับท่านป้าสะใภ้ใหญ่ส่งนางเข้าวังอย่างมีความสุข ทว่าเพียงแค่ปีเดียว ไทฮองไทเฮาก็สวรรคต หลังจากนั้นท่านลุงใหญ่กับท่านป้าสะใภ้ใหญ่ก็เริ่มเป็นห่วงนางจนผมขาว

ชาตินี้นางยังไม่ได้แต่งงาน ก็ทำให้ท่านป้าสะใภ้ใหญ่เสียใจแบบนี้แล้ว นางอกตัญญูแบบนี้ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว นางจะใช้ชีวิตกับหลี่เชียนให้ดี

เจียงเซี่ยนอดที่จะดึงชายเสื้อของฮูหยินฝางไม่ได้ และเอ่ยเสียงเบาว่า “ท่านป้า ไม่ต้องเป็นห่วงข้า ข้าจะพยายาม และจะไม่ทำให้ท่านเป็นห่วงข้าอีกแล้ว”

ฮูหยินฝางมองเจียงเซี่ยนที่ดูน่าเอ็นดู อ่อนโยน และว่านอนสอนง่าย พลางคิดว่าตอนที่เจียงเซี่ยนเด็กๆ ทุกครั้งที่นางเข้าวังไปเยี่ยมเจียงเซี่ยน เจียงเซี่ยนก็จะนั่งอยู่บนตั่งเล็กอย่างเรียบร้อยและให้แม่นมป้อนอาหารที่ตุ๋นยาจีนที่รสชาติจืดชืดให้ โดยไม่เคยเอะอะโวยวายเลย…เรียกได้ว่าเป็นสตรีที่มาจากตระกูลชนชั้นสูง แต่ของที่เด็กผู้หญิงทั่วไปเคยกิน เจียงเซี่ยนไม่เคยชิมด้วยซ้ำ สุดท้ายฮูหยินฝางก็ยังคงกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหวจนน้ำตาไหลพรากอยู่ดี

“โธ่!” ฮูหยินฉีรีบล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมายัดใส่มือฮูหยินฝาง “นี่ท่านทำอะไรน่ะ? อย่าเพิ่งร้องไห้เลย…”

ไม่รู้ทำไม เจียงเซี่ยนเห็นฮูหยินฝางเป็นแบบนี้ ก็เริ่มเสียใจตามไปด้วย และน้ำตาก็ร่วงลงมาเอง

“ทำไมท่านก็ร้องไห้ด้วยล่ะ?” เมิ่งฟางหลิงรีบยันคางของเจียงเซี่ยนเอาไว้และเงยหน้านางขึ้น ป้องกันน้ำตาไหลลงมา และตะโกนเรียกไป่เจี๋ยอย่างร้อนใจ “รีบหยิบผ้าเช็ดหน้ามา ระวังเครื่องสำอางเลอะ คนของตระกูลหลี่เห็นแล้วจะหัวเราะเยาะได้!”

ไป่เจี๋ยรีบเข้าไปใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดตรงหางตาให้เจียงเซี่ยน

ในห้องกำลังวุ่นวาย ชีกูก็เดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว และเอ่ยว่า “ฮูหยิน ท่านหญิง คนที่มอบสินสอดของตระกูลหลี่มาแล้วเจ้าค่ะ”

ฮูหยินฉีรีบทิ้งฮูหยินฝางไปต้อนรับแขก

ทุกคนวุ่นวายไปอีกพักหนึ่ง กว่าจะปลอบใจเจียงเซี่ยนกับฮูหยินฝางได้ก็ไม่ง่ายเลย ชีกูพาคนของตระกูลหลี่มาแล้ว

แม่แท้ๆ ของหลี่เชียนไม่มีพี่น้อง ส่วนท่านตาก็เสียชีวิตไปก่อนวัยอันควร ในครอบครัวจึงไม่มีใครแล้ว

หลี่ฉางชิงมีกันสองคนพี่น้อง เขาอยู่ในอันดับที่สอง พี่ชายป่วยตายไปตั้งแต่เขาเข้าไปเป็นโจรในภูเขาได้ไม่นานเท่าไร ส่วนพี่สะใภ้ก็ทิ้งหลานชายที่ยังแบเบาะไปแต่งงานใหม่ แม้เขาจะยังมีลูกพี่ลูกน้อง ทว่าหากไม่หนีไปเพราะตอนนั้นเขาเป็นโจรและกลัวถูกราชสำนักเล่นงาน ก็คงเป็นโจรไปพร้อมกับเขาแล้ว ใช้ชีวิตอยู่ไปวันๆ แย่กว่าเขาเสียอีก อย่าว่าแต่แต่งงานกับลูกสะใภ้ท่านหญิงเลย แม้แต่ลูกสาวของตระกูลขุนนางธรรมดา ญาติเหล่านี้ก็อายที่จะแสดงตัวออกมาเช่นกัน จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงไปเสียบปิ่นปักผมให้ลูกสะใภ้ที่มีบรรดาศักดิ์เป็นท่านหญิง เกรงว่าเสียหน้าแล้วก็คงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเสียหน้าเพราะอะไร

ส่วนคนสกุลเหอภรรยาใหม่ของเขานั้น ตอนที่เขาแต่งงานกับนางก็กลัวว่าจะทำให้หลี่เชียนน้อยใจ จึงตั้งใจเลือกบุตรสาวจากครอบครัวชาวบ้านที่ฐานะต่ำต้อยโดยเฉพาะ นางติดตามเขามาหลายปีเดินออกไปก็ก้มหน้าห่อไหล่ไม่มีความก้าวหน้าอะไร เขาจึงยิ่งไม่อยากให้นางออกไปเพิ่มความวุ่นวายให้กับการแต่งงานของหลี่เชียน

ดังนั้นครั้งนี้หลี่ฉางชิงจึงเชิญฮูหยินหยางภรรยาของหลี่ขุยเจ้าเมืองไท่หยวนให้ช่วยไปเสียบปิ่นปักผมให้เจียงเซี่ยน

ฮูหยินหยางมาจากซั่งเหราเจียงซี เคยมีบรรพบุรุษเป็นราชเลขาธิการ แล้วก็เป็นตระกูลขุนนางที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงที่เจียงหนานเช่นกัน นางดูเหมือนอายุสามสิบกว่าๆ สวมเสื้อคลุมยาวลายเปี้ยนตี้จินสีน้ำเงินสดใส เกล้ามวยทรงกลม ติดดอกไม้ใหญ่ที่ประดับด้วยขนนกกระเต็นสีฟ้าฝังไข่มุก บนหูห้อยต่างหูทับทิมเคลือบทอง รูปร่างอวบ ใบหน้าขาวเกลี้ยงเกลาและอิ่มเอิบ ดวงตากลมโต ยังไม่พูดก็ยิ้มก่อน ให้ความรู้สึกเป็นมิตรแก่ผู้คน

ฮูหยินฉีเดินเข้ามาเป็นเพื่อนนาง โดยมีสาวใช้ถือกล่องทาสีแดงวาดลายสีทองตามหลังอยู่เจ็ดแปดคน

“ฮูหยินฝาง” นางคารวะฮูหยินฝางด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ข้าชื่นชมท่านมานานแล้ว วันนี้ได้พบ โชคดีมากจริงๆ”

“ฮูหยินเกรงใจแล้ว” ฮูหยินฝางยิ้มพลางจับมือของฮูหยินหยาง “ข้าได้ยินชื่อเสียงอันดีงามของฮูหยินหยางแห่งซั่งเหรามานานแล้ว พอรู้ว่าที่แท้ฮูหยินตามสามีมารับราชการที่ไท่หยวน ข้าก็ดีใจจนออกนอกหน้า ต่อไปท่านหญิงก็มีคนที่สามารถคุยด้วยได้คนหนึ่งแล้ว”

ทั้งสองคนทักทายกันอย่างสุภาพสองสามคำ ฮูหยินหยางก็เริ่มเอ่ยถึงจุดประสงค์ที่มาในครั้งนี้ “ตระกูลหลี่มีประชากรน้อยนิด พอใต้เท้าหลี่รู้ว่าไทเฮาพระราชทานงานสมรส ก็ซาบซึ้งอย่างหาสุดมิได้ และกลัวว่าจะดูแลไม่ทั่วถึง จึงฝากให้ข้ามาเสียบปิ่นปักผมให้ท่านหญิงโดยเฉพาะ หากตรงไหนเสียมารยาทไป ก็ขอให้ฮูหยินกับท่านหญิงโปรดให้อภัยด้วย”

“ที่ไหนกัน ที่ไหนกัน!” ฮูหยินฝางเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “รบกวนฮูหยินแล้ว!”

ฮูหยินหยางยิ้มพลางโบกมือ นางอวยพรสองสามคำ ผู้หญิงที่ดูเหมือนสาวใช้คนหนึ่งในนั้นก็ถือกล่องในมือเข้าไปตรงหน้าฮูหยินหยาง

ฮูหยินหยางเปิดกล่อง และหยิบหรูอี้[1]หยกมันแพะสีขาวบริสุทธิ์ไร้รอยตำหนิทั้งอันออกมาจากในนั้น แล้ววางลงบนเข่าของเจียงเซี่ยน แล้วก็เปิดกล่องในมือสาวใช้อีกคน หยิบปิ่นปักผมทองลายหรูอี้กับก้อนเมฆมงคลและปิ่นปักผมเคลือบทองดอกทับทิมหินโมราออกมาเสียบลงกลางผมของเจียงเซี่ยน และเอ่ยว่า “ยินดีด้วยท่านหญิง”

เจียงเซี่ยนรู้ว่าพิธีเสร็จแล้ว

นางยิ้มและพยักหน้าให้ฮูหยินหยาง

ฮูหยินหยางตั้งใจมองนางครั้งหนึ่ง

นางอยากรู้เรื่องท่านหญิงเจียหนานที่เหยียบย่ำซื่อจื่อจิ้งไห่โหวและแต่งงานกับหลี่เชียนแทนมากจริงๆ

แม้ทุกคนจะพากันลือว่าเฉาไทเฮาเป็นคนพระราชทานการแต่งงานนี้ ทว่าปิดบังพวกขุนนางใหญ่ที่ปกครองมณฑลต่างๆ ที่ผ่านการสังหารหมู่ในราชสำนักมาหลายครั้งไม่ได้

นึกถึงตอนนั้นที่เฉาไทเฮาเย่อหยิ่งและจองหองที่สุดก็ไม่สามารถทำให้ท่านหญิงเจียหนานแต่งงานกับเฉิงเอินกงหลานชายของตนเองได้ด้วยซ้ำ เวลานี้เฉาไทเฮาถูกบีบบังคับจนลาออกไปพักผ่อนที่ภูเขาวั่นโซ่วแล้ว กลับสามารถตัดสินใจเรื่องแต่งงานของท่านหญิงเจียหนานได้ ใครจะเชื่อ?

อย่างน้อยหลี่ขุยสามีของนางไม่เชื่อ ใต้เท้าติงผู้ว่าราชการมณฑลกับใต้เท้าอู๋ผู้ตรวจการต่างก็ไม่เชื่อ เหยาเซียนจือรองเสนาบดีกรมอาญาพี่เขยที่ใกล้ชิดกับนางที่สุด เป็นหนึ่งในคนที่สยงจวิ้นหรงอาจารย์ของฮ่องเต้รับเป็นศิษย์อย่างเป็นทางการ และเป็นคนที่สอบขุนนางผ่านรุ่นเดียวกับติงหลิวก็ไม่เชื่อเช่นกัน…

ส่วนในนี้มีอะไรน่าสงสัยหรือไม่นั้น ตอนนี้พวกนางยังไม่รู้ ทว่าหน้าตาของเจียงเซี่ยนกลับงดงามเกินกว่าที่ฮูหยินหยางคาดการณ์ไว้ แตกต่างจากที่เล่าลือกันข้างนอกว่าเป็นโรคที่บอกใครไม่ได้และเหมือนสตรีหน้าตาอัปลักษณ์มาก

นางอดที่จะตะลึงและมองเจียงเซี่ยนอีกครั้งไม่ได้

เมื่อก่อนเจียงเซี่ยนถูกเหล่าราชเลขาธิการ จากสำนักราชเลขาธิการรุมโจมตียังไม่กลัว จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงสายตาของสตรีจากตระกูลที่มั่งคั่งและมีอำนาจ

นางปล่อยให้อีกฝ่ายมองอย่างสุภาพเรียบร้อย

ฮูหยินหยางลอบถอนหายใจ

เด็กสาวที่เติบใตในวัง มารยาทและกิริยาท่าทางย่อมไม่ขาดอย่างแน่นอน ทว่าที่มีดวงตาใสแจ๋วและฉายแววเฉลียวฉลาดนั้นกลับหาได้ยากมาก

นางยิ้มและเอ่ยอย่างจริงใจว่า “ท่านหญิงหน้าตางดงามจริงๆ ใต้เท้าหลี่ของพวกเราโชคดีแล้ว!”

ฮูหยินฝางยิ้มอย่างถ่อมตน และเชิญฮูหยินหยางไปดื่มชาที่โถงบุปผาข้างๆ

รับประทานอาหารเที่ยงแล้ว ฮูหยินฝางกับฮูหยินฉีก็ส่งฮูหยินหยางขึ้นรถม้าด้วยตนเอง พอกลับไปถึงเรือนของเจียงเซี่ยนและจะตรวจนับของที่ตระกูลหลี่ส่งมา ถึงเห็นว่าเจียงเซี่ยนล้างหน้าและปล่อยผมนานแล้ว นางเปลี่ยนเป็นเสื้อคลุมยาวที่มักจะใส่ในยามปกติและกำลังนั่งอ่านหนังสือนิยายที่ซื้อมาใหม่อยู่บนหมอนอิงใบใหญ่ใกล้หน้าต่างอย่างสบายอกสบายใจ

ฮูหยินฝางไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี นางตีหน้าผากของเจียงเซี่ยนและเอ่ยว่า “เจ้าเด็กโง่ ไม่รู้ว่าเมื่อไรถึงจะโต”

เจียงเซี่ยนหัวเราะคิกคัก

———————————–

[1] หรูอี้ ของใช้ที่เป็นสัญลักษณ์มงคล มีลักษณะคล้ายไม้เท้าขนาดเล็ก ทำจากหยก ไม้ไผ่ หรือกระดูก ส่วนหัวโค้งงอเป็นวง และมักจะทำเป็นรูปเห็ดหลินจือหรือก้อนเมฆ