ภาคที่ 2 บทที่ 231 แม่ลูก

มู่หนานจือ

ฮูหยินฝางจนปัญญากับเจียงเซี่ยน นางลูบศีรษะของเจียงเซี่ยนอย่างรักใคร่และสงสาร กำชับไป่เจี๋ยกับฉิงเค่อให้ดูแลเจียงเซี่ยนให้ดี ให้เจียงเซี่ยนพักผ่อนเร็วหน่อย อย่ากินอะไรมั่วซั่ว แล้วถึงจะกลับที่พักของตนเอง

สินสอดที่ตระกูลหลี่ส่งมา เช่น เครื่องประดับเงินทองและผ้าห่มมงคลนั้นเจียงเซี่ยนต้องเป็นคนนำไป ส่วนเงินสินสอดนั้นตระกูลเจียงจะเป็นคนเก็บไว้ ทว่าพวกขนมมงคลกับผลไม้มงคลกลับต้องส่งถึงมือของญาติฝ่ายหญิงก่อนแต่งงาน นอกจากฮูหยินฝางจะต้องวางพวกเครื่องประดับเงินทองไว้กับสินเดิมของเจียงเซี่ยนหลังจากลงบันทึกและทำบัญชีรายชื่อแล้ว ยังต้องเก็บเงินสินสอดเข้าห้องเก็บของ และจัดคนส่งพวกขนมมงคลกับผลไม้มงคลไปยังเมืองหลวงคืนนี้ นางยุ่งจนถึงตอนเย็น แล้วก็จัดงานเลี้ยงรับรองฮูหยินฉีที่โถงบุปผา ขอบคุณที่สองวันนี้นางช่วยจัดการเรื่องการมอบสินสอดของตระกูลหลี่ กว่างานเลี้ยงจะเลิกรา เสียงกลองของยามสอง[1]ก็ดังมาจากข้างนอกแว่วๆ แล้ว

ฮูหยินฝางลากร่างกายที่เหนื่อยล้าไปล้างหน้าและบ้วนปากอย่างลวกๆ นางกำลังจะนอนลง เจียงลวี่ก็มาหา

เจียงลวี่เป็นคนต้อนรับแขกผู้ชายที่มาของตระกูลหลี่

ฮูหยินฝางกลัวว่าเขาจะมีธุระอะไร จึงเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่อีกครั้ง จะไปพบเจียงลวี่ที่ห้องโถง

ทว่าเจียงลวี่กลับให้สาวใช้เข้ามาบอกว่า “วันนี้ท่านยุ่งมาทั้งวันและเหนื่อยมากแล้ว ลูกชายก็ไม่ใช่คนนอก ท่านก็อย่าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาเลย”

ฮูหยินฝางก็เหนื่อยแล้วจริงๆ เช่นกัน นางจึงเกล้ามวย และสวมเสื้อแขนสั้นกลางเก่ากลางใหม่ แล้วไปที่ห้องพักผ่อน

ถึงเจียงลวี่จะสวมเสื้อคลุมที่นักบวชลัทธิเต๋าสวมเช่นยามปกติ และล้างหน้ากับหวีผมแล้ว แต่สีหน้าแดงเล็กน้อย บนตัวยังคงมีกลิ่นเหล้าอยู่อย่างเบาบาง เห็นได้ชัดว่าดื่มไปไม่น้อย

เขาเชิญฮูหยินฝางไปนั่งลงบนเตียงอุ่นหลังใหญ่ใกล้หน้าต่าง ให้สาวใช้หยิบไม้ทุบขามา และเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านแม่ ข้าทุบขาให้ท่านดีกว่า?”

“ไม่ต้อง ไม่ต้อง” ฮูหยินฝางสงสารลูกชาย จึงรีบเอ่ยว่า “เจ้าก็เหนื่อยมาทั้งวันแล้วเช่นกัน พ่อเจ้าไม่อยู่ พวกเขาพากันบังคับให้เจ้าดื่มเหล้าใช่หรือไม่? ดื่มน้ำแกงสร่างเมาหรือยัง? ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า?”

“ข้าโตขนาดนี้แล้ว ดูแลตนเองได้ขอรับ” เจียงลวี่ยืนกรานที่จะทุบขาให้มารดา

ลูกชายกตัญญู ฮูหยินฝางก็ไม่ห้ามเช่นกัน นางให้สาวใช้หยิบหมอนอิงมา และเอนหลังอยู่ตรงนั้นพลางเอ่ยกับเจียงลวี่ว่า “ทำไมถึงมาตอนนี้? มีเรื่องอะไรหรือ?”

“ไม่มีอะไรขอรับ แค่อยากคุยกับท่านหน่อย” เจียงลวี่เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “คนที่มาส่งสินสอดแทนตระกูลหลี่วันนี้คือจินไห่เทา เขายุ่งขนาดนั้น ข้าคิดไม่ถึงว่าเขาจะมาด้วยตนเอง จึงดื่มเหล้าเป็นเพื่อนเขาหลายถ้วย ตอนนั้นตระกูลจินส่งจินเซียวเข้าเมืองหลวง ก็เพราะอยากเกี่ยวดองกับตระกูลเรา สุดท้ายจินเซียวไม่ได้รับเลือก จินไห่เทากลับยังยอมเป็นพ่อสื่อให้หลี่เชียน ไม่ว่าในใจเขาจะคิดอย่างไร อย่างน้อยยังคำนึงถึงหน้าตา ก็เป็นคนที่เก่งคนหนึ่งเช่นกัน”

ฮูหยินฝางหัวเราะเยาะ และเอ่ยว่า “เจ้าอายุเท่าไร? ยังกล้าประเมินจินไห่เทาอีก? อย่าคุยโวโอ้อวดเชียว”

“นี่ข้าก็อยู่ต่อหน้าท่านไม่ใช่หรือ?” เจียงลวี่หัวเราะอย่างไม่เห็นด้วย

ฮูหยินฝางนึกถึงเจียงเซี่ยน แล้วก็อดที่จะลูบศีรษะของเจียงลวี่และหัวเราะไม่ได้ และเอ่ยว่า “พวกเจ้าสองพี่น้องนี่นิสัยเหมือนกันเลย”

“นั่นก็หมายความว่า ข้าก็ใช้ได้เหมือนกันน่ะสิ!” เจียงลวี่อ้อนต่อหน้ามารดา และหยอกให้มารดาหัวเราะครั้งหนึ่ง แล้วถึงเอ่ยว่า “จินเซียวก็ตามพ่อของเขามาเช่นกัน แถมยังพาลูกชายสองคนของสกุลเซ่าแม่ทัพอวี๋หลินมาด้วย”

เจียงลวี่นึกถึงที่จินเซียวฉวยโอกาสที่จินไห่เทาไปเข้าส้วมลากเขาไปข้างหนึ่ง และมองเขาอย่างจนปัญญา แล้วเอ่ยว่า ‘ท่านพี่อาลวี่ ท่านก็อย่าโกรธข้าเลย! หากไม่ใช่ว่าตอนนั้นข้ายึดมั่นในความเป็นธรรมและลงมือ หลี่เชียนจะได้แต่งงานได้อย่างไร? ท่านหญิงเจียหนานจะสมปรารถนาได้อย่างไร ท่านดูสิ นี่ข้าก็ถือว่าหวังดีและทำเรื่องดีเช่นกัน เรื่องแต่ก่อนท่านก็อย่าใส่ใจเลยดีกว่า!’

เขาจำเป็นต้องพยักหน้า

แต่ใครจะรู้ว่าจินเซียวกลับได้คืบจะเอาศอก เขาเอ่ยทันทีว่า ‘เช่นนั้นอีกไม่นานข้าเข้าเมืองหลวงจะไปหาท่าน!’

และยังแนะนำพี่น้องสกุลเซ่าให้เขาด้วย

เซ่าเจียง บุตรชายคนโตของสกุลเซ่านั้นมีประสบการณ์โชกโชน ทำอะไรสุขุมเยือกเย็นและไม่วู่วาม ทว่าเซ่าหยาง บุตรชายคนรองนั้นแค่เห็นก็รู้ว่าเป็นลูกผู้ดีมีเงินที่กินดื่มเที่ยวเล่นทั้งวันและไม่เอางานเอาการ ทำอะไรหุนหันพลันแล่น พูดจาเกินจริง แถมยังร้องให้เจียงลวี่ช่วยหาภรรยาที่เมืองหลวงให้เขาสักคนด้วย

เจียงลวี่ถึงรู้ว่าที่แท้จินไห่เทาวางแผนเรื่องแต่งงานของจินเซียวเอาไว้แล้ว และอยากช่วยหาตระกูลพ่อตาแม่ยายที่มีอำนาจมากหน่อยในเมืองหลวงให้จินเฉิงลูกชายคนรอง

เขาอดที่จะเอ่ยกับฮูหยินฝางไม่ได้ว่า “ดูเหมือนหลายปีนี้ที่ตระกูลจินอยู่ด่านชายแดนก็ใช้ชีวิตลำบากเหมือนกัน”

“เรื่องนั้นมันแน่นอนอยู่แล้ว!” ฮูหยินฝางเอ่ยอย่างเรื่อยเปื่อย “ตระกูลจินตั้งมั่นรักษาการณ์อยู่ที่ไท่หยวนมานานมากแล้ว ในราชสำนักก็ห้ามขุนนางในเมืองหลวงคบหากับขุนนางท้องถิ่นที่อยู่แดนไกล พวกเขาจึงไม่รู้ข่าวในเมืองหลวง มีเรื่องอะไรก็มักจะช้ากว่าคนอื่น ตอนฮ่องเต้เซี่ยวจงนั้นยังพูดง่าย เพียงแค่เจ้าทำสิ่งที่ควรทำตามหน้าที่ สอบทุกสามปี เลื่อนขั้นทุกเก้าปี เจ้าก็จะได้เลื่อนตำแหน่งอย่างราบรื่น แต่พอถึงตอนฝ่าบาทพระองค์ก่อนกุมอำนาจทางการเมือง ฉินกุ้ยเฟยชอบความคึกคัก ฝ่าบาทพระองค์ก่อนจัดงานเลี้ยงเล็กทุกสามวัน งานเลี้ยงใหญ่ทุกห้าวัน คนเบื้องบนปฏิบัติอย่างไรคนเบื้องล่างก็ปฏิบัติตาม บรรยากาศก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปแล้ว มีคนได้อำนาจตามไปด้วยมากขึ้นชั่วข้ามคืนเพราะประจบประแจงฉินกุ้ยเฟย จนกระทั่งตอนที่เฉาไทเฮาสำเร็จราชการแทน อยากหยุดก็หยุดไม่ได้แล้ว และคนที่รับเคราะห์คนแรกสุดก็คือพวกขุนนางฝ่ายบุ๋นกับแม่ทัพที่ดำรงตำแหน่งที่หมู่บ้านแถบชายแดนมานาน”

“ระยะทางแสนไกล สามปีถึงจะเข้าเมืองหลวงมารายงานการปฏิบัติงานสักครั้ง ขุนนางของกรมขุนนางก็มักจะเปลี่ยนชุดใหม่ไปตั้งนานแล้ว ตอนที่มารายงานที่กรมขุนนาง พวกคนที่รับผิดชอบตรวจสอบและตัดสินใจให้เจ้าไม่รู้จักว่าเจ้าเป็นใครแล้วด้วยซ้ำ คนเบื้องล่างมีความดีความชอบและผลงานเป็นของผู้บังคับบัญชา ทว่าหากเกิดความผิดพลาดของตนเองขึ้น ผ่านอุปสรรคมาหลายครั้ง อยากอาศัยผลงานในการปฏิบัติหน้าที่ย้ายกลับมาก็ไม่มีทางทำได้แล้ว จึงจำเป็นต้องใช้เส้นสายของขุนนางในเมืองหลวง แต่แม่ทัพกับทหารที่ตั้งมั่นรักษาชายแดนเสียเปรียบมากกว่าขุนนางฝ่ายบุ๋น เพราะไม่ว่าอย่างไรขุนนางฝ่ายบุ๋นเหล่านั้นก็ยังมีพวกอาจารย์ของคนที่สอบขุนนางผ่านรุ่นเดียวกัน ทว่าแม่ทัพกับทหารที่ชายแดนกลับไม่รู้จักใครสักคน ขุนนางของกรมกลาโหมก็ล้วนเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋นเช่นกัน ต่อให้อยากส่งของขวัญให้ก็ส่งไปไม่ได้ และทุกครั้งที่เมืองหลวงยักยอกเงินของพวกเขาเข้ากระเป๋าตนเอง หากไม่ใช่เงินเดือนทหารก็อาวุธยุทโธปกรณ์ นี่ถึงเป็นเรื่องที่พอทำสงครามขึ้นมาก็ทำให้คนลำบากมาก…”

“ตระกูลจินจะไม่ลำบากได้อย่างไร?”

“ไม่อย่างนั้นทำไมพ่อเจ้าถึงจับต้าถง เมืองเซวียน และเมืองจี้ไว้ไม่ปล่อย?”

“ก็เพราะกลัวพวกเขาจะทำลายสามที่นี้ด้วย”

“ถึงเวลานั้นการล้อมพิทักษ์เมืองหลวงจะทำอย่างไร?”

“ตอนที่ตระกูลจินส่งจินเซียวไปเมืองหลวง พ่อเจ้าก็บอกแล้วว่า นอกเสียจากว่าน้องสาวเจ้าจะถูกใจ ไม่อย่างนั้นตระกูลเจียงก็ไม่มีทางที่จะเกี่ยวดองกับตระกูลจิน มิฉะนั้นตระกูลจินกับตระกูลเซ่าเป็นญาติที่เกี่ยวดองกัน หากพัวพันกับตระกูลเจียงของพวกเราอีก เกรงว่าฝ่าบาทคงจะร้อนใจยิ่งนัก”

“หากจินไห่เท่าฉลาดจริง ก็ควรให้ลูกชายคนโตแต่งงานกับสะใภ้ที่ครอบครัวฐานะธรรมดา และให้ลูกชายคนที่สอง คนที่สาม หรือคนที่สี่แต่งงานกับคนที่ฐานะสูงศักดิ์ในเมืองหลวง แบบนี้ทั้งทำให้ฝ่าบาทวางพระทัยได้แล้วยังได้รับการสนับสนุนจากญาติที่เกี่ยวดองกัน และอาจจะช่วยเหลือกันในเมืองหลวงด้วย”

เจียงลวี่ได้ยินแล้วก็อดที่จะยกนิ้วหัวแม่มือให้มารดาไม่ได้ “ท่านแม่ ท่านเก่งจริงๆ! ใครว่าท่านจัดการเป็นแต่เรื่องหยุมหยิมในบ้านกัน ข้าว่าท่านเป็นจูเก่อหญิง[2]!”

“เจ้าโอ้อวดให้มันน้อยๆ หน่อย!” ฮูหยินฝางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เจ้าคิดว่าพวกเรื่องหยุมหยิมในบ้านไม่สำคัญหรือ! หากไม่มีข้าช่วยจัดการพวกเรื่องหยุมหยิมให้พวกเจ้าอยู่ข้างหลัง พวกเจ้าจะกินอะไร จะดื่มอะไร เมาแล้วจะมีน้ำแกงสร่างเมาดื่มหรือ?” แล้วก็สั่งสอนลูกชายอีกว่า “ต่อไปเจ้าจะดูถูกภรรยาของเจ้าเพราะเรื่องนี้ไม่ได้ บนโลกใบนี้มีผู้ชายกับผู้หญิง จึงให้ผู้ชายอย่างพวกเจ้าสร้างความดีความชอบต่อแคว้นอย่างใหญ่หลวงและทำงานใหญ่สำเร็จอยู่ข้างนอก ให้ผู้หญิงอย่างพวกเราคลอดลูกอยู่ในบ้าน นี่ก็คือสมดุลหยินหยางที่ลัทธิเต๋าเอ่ย หากหยินหยางไม่สมดุล จะไม่วุ่นวายไปหมดอย่างนั้นหรือ…”

เจียงลวี่ขอความเมตตาติดกันหลายครั้ง “ท่านแม่ ข้ารู้แล้ว ข้าไม่กล้าพูดว่าสิ่งที่ท่านทำล้วนเป็นเรื่องหยุมหยิมอีกแล้ว!”

ฮูหยินฝางเห็นลูกชายไม่รับการสั่งสอน ก็พูดอะไรต่อไปไม่ได้อีกเช่นกัน จึงแค่เร่งให้เขารีบไปพักผ่อน

เจียงลวี่ก่อกวนต่อหน้ามารดาเช่นนี้ ก็เริ่มเหนื่อยแล้วเช่นกัน จึงส่งไม้ทุบขาให้สาวใช้ที่รับใช้อยู่ข้างกาย และลุกขึ้นจะกลับห้อง

ทว่าเดินไปได้ไม่กี่ก้าวกลับถูกฮูหยินฝางเรียกเอาไว้ และเอ่ยว่า “พรุ่งนี้เจ้าหาเวลาไปที่ตระกูลหลี่หน่อย บอกว่าข้าอยากพบหลี่เชียน”

เจียงลวี่ค่อนข้างแปลกใจ จึงเอ่ยว่า “ท่านมีธุระอะไรกับเขาหรือ? ให้ข้าทำแทนหรือไม่”

“เรื่องพิธีแต่งงาน” ฮูหยินฝางเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “บอกเจ้าก็กลัวว่าเจ้าจะถ่ายทอดคำพูดตกหล่น เจ้าไปเรียกเขามาดีกว่า”

เจียงลวี่ขานรับติดกันหลายครั้ง แล้วถึงจะกลับห้องไป

———————————–

[1] ยามสอง = ช่วงเวลา 21:00 – 22:59 น.

[2] จูเก่อหญิง หมายถึง ผู้หญิงที่ฉลาดมากเหมือนจูเก่อเลี่ยงหรือขงเบ้ง