หลังได้รับชัยชนะแรกในการสู้รบ เก๋อเปียวจึงนำกำลังพลไปเก็บกวาดสนามรบ หยางว่านหลี่รับหน้าที่ไปไต่สวนทหารทู่เจวี๋ยที่จับเป็นไว้ได้ ส่วนแม่ทัพที่เหลือนำกองกำลังไปปักหลัก ครึ่งชั่วโมงต่อมา ช่องเขาหลิงอู่จึงกลับคืนสู่ความสงบเรียบร้อยดังเดิม หลงเหลือเพียงหิมะที่โปรยปรายลงมาโดยไม่มีทีท่าจะสิ้นสุดท่ามกลางยามราตรี
ในห้องโถงสำหรับปรึกษาหารือ ทูตพิเศษทั้งสองท่านตลอดจนบรรดารองแม่ทัพที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของหนิงซิ่ง พร้อมใจกันมารวมตัวอยู่ในห้องโถงนี้เพื่อสดับรับฟังผลคำไต่สวนที่หยางว่านหลี่ได้รับมา ทุกคนต่างสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่เพื่อสงบสติอารมณ์
เป็นไปอย่างที่หยางว่านหลี่คาดการณ์ไว้ ไป๋หู่กวนที่อยู่เบื้องหน้าถูกยึดไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว “ในคืนก่อนทหารทู่เจวี๋ยจำนวนห้าร้อยนายปลอมตัวเป็นทหารของข้าและเอ่ยว่าเป็นทหารอารักขาผู้ได้รับบาดเจ็บเพื่อส่งไปยังเซิ่งโจว เพราะเป็นช่วงเวลากลางคืนจึงมองไม่ชัดเจน ผนวกกับไม่รู้ว่าชาวทู่เจวี๋ยไปได้รหัสลับของทหารข้ามาจากแห่งหนใด จึงเปิดประตูใหญ่ของไป๋หู่กวนให้มันเข้ามาโจมตีได้อย่างง่ายดาย หลังถูกโจมตี ทหารจำนวนสามร้อยนายของไป๋หู่กวนถูกกวาดล้างสิ้นซาก และเมื่อเย็นของวันนี้ พวกมันอาศัยวิธีการเดียวกันมายึดครองช่องเขาหลิงอู่ไว้ได้อีก หากไม่ใช่เพราะพายุหิมะ เกรงว่ายามนี้ช่องเขาชิงเฟิงก็คงตกอยู่ในอันตรายแล้วเช่นกัน! ชาวทู่เจวี๋ยวางแผนอย่างลับๆ เพื่อโจมตีเส้นทางลำเลียงเสบียงสายนี้มาเนิ่นนานแล้ว แต่ไม่เคยสบโอกาสในตลอดที่ผ่านมา ครั้งนี้แม่ทัพทู่เจวี๋ยอาซือคงกำลังนำกองทัพจำนวนเจ็ดหมื่นนายล้อมโจมตีซาอี การสู้รบเบื้องหน้าจึงเป็นที่น่ากังวลยิ่ง นี่ทำให้พวกมันมีโอกาสลอบเข้ามาในเขตป้องกันเพื่อเข้าสู่หยางซานของพวกเรา หากแนวเขตนี้ตกไปอยู่ในมือของทู่เจวี๋ย กองทัพใหญ่ของทู่เจวี๋ยก็จะโจมตีส่วนหลังของเซิ่งโจวได้โดยไม่ทันตั้งตัว ขณะที่กองทัพใหญ่ซาอีกำลังรับมือกับกองทัพทู่เจวี๋ยจำนวนเจ็ดหมื่นนาย ซึ่งถือเป็นสถานการณ์ที่น่าเป็นกังวลยิ่งอยู่แล้ว จึงเป็นไปมิได้เลยที่จะเปลี่ยนทิศทางของฝ่ายรุกและหันกลับมาช่วยเหลือกองกำลังพันธมิตรได้!”
ภายในห้องมีเปลวไฟที่กำลังลุกโชนจากกองฟืน ทว่าผู้คนต่างเหงื่อไหลโทรมกายด้วยความวิตกกังวล แม้พายุหิมะครานี้จะสร้างความยากลำบากให้แก่พวกเขา แต่ตอนนี้กลายเป็นว่ามันคือสถานการณ์ที่ช่วยชีวิตพวกเขาไว้
ชีวิตที่แขวนไว้บนเส้นด้าย ในบางครั้งก็ต้องเผชิญความเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเช่นกัน
หากไม่ใช่เพราะพวกเขาเร่งรีบเดินทางกันอย่างต่อเนื่อง มีหรือจะบังเอิญเผชิญหน้ากับทหารทู่เจวี๋ย และทำลายแผนการชั่วร้ายของพวกเขาไว้ได้
“ชาวทู่เจวี๋ยเหล่านั้นปากแข็งไม่เบา ข้าเปลืองแรงไปไม่น้อยกว่าพวกมันจะยอมปริปาก หลังทหารทู่เจวี๋ยยึดหลิงอู่ได้แล้วจึงนำข่าวคราวไปส่งทางด้านไป๋หู่กวน ตามแผนการของพวกมัน เมื่อไป๋หู่กวนได้รับข่าวคราวก็จะส่งกำลังทหารมาเสริม เพื่อรอเวลาสำหรับการยึดครองชิงเฟิง จากนั้นพวกมันก็จะโหมรุกบุกตะลุย…” จากการไต่สวนชาวทู่เจวี๋ยก่อนหน้าก็ทำให้หยางว่านหลี่ปากคอแห้งมากพอแล้ว ยามนี้ยังต้องออกแรงชี้แจงแถลงไขสถานการณ์ให้ทุกคนฟังอีกรอบ จึงรู้สึกคอแหบแห้งไปหมด
หนิงซิ่งเอ่ยถามโดยจับประเด็นสำคัญ “พอจะรู้หรือไม่ว่าทู่เจวี๋ยจะส่งทหารมาสมทบเท่าใด”
หยางว่านหลี่กล่าว “ถามแล้วแต่มิได้คำตอบ ทว่าหากชาวทู่เจวี๋ยคิดจะโจมตีเซิ่งโจว หากมีไม่ถึงห้าพันนายก็คงไม่อาจเอาชนะได้”
หนิงซิ่งพยักหน้าอย่างเห็นด้วย ทหารรักษาการณ์แห่งเซิ่งโจว ส่วนหนึ่งในนั้นเป็นทหารที่ได้รับบาดเจ็บ กำลังในการสู้รบจึงลดน้อยลงเป็นธรรมดา หากชาวทู่เจวี๋ยวางแผนจะเอาชนะให้ได้ คงต้องส่งทหารเข้าไปปะปนในเมืองก่อนส่วนหนึ่งแล้วค่อยส่งทัพจากภายนอกเข้าไปร่วมด้วย การโจมตีทหารเซิ่งโจวที่ไม่ทันได้ตั้งรับ ใช้ทหารจำนวนไม่กี่พันนายก็เพียงพอแล้ว
“เรื่องนี้จำเป็นต้องเร่งส่งคนกลับไปเตือนให้ใต้เท้าเฝิงทราบไว้ถึงจะถูก จะได้ให้พวกเขาตรึงกำลังพร้อมรับมือยิ่งขึ้น” หลี่หมิงอวินกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
หนิงซิ่งกล่าวขึ้นหลังครุ่นคิด “การแจ้งให้ใต้เท้าเฝิงทราบเป็นสิ่งที่จำเป็นยิ่ง หยางเซี่ยนเว่ย คนใต้บัญชาของท่านมีความคุ้นเคยกับพื้นที่บริเวณนี้ ท่านรีบส่งคนไปแจ้งให้ใต้เท้าเฝิงให้ทราบโดยเร็วที่สุด”
หยางว่านหลี่ขานรับบัญชาเสียงดังฟังชัด
หนิงซิ่งกล่าวขึ้นอีกครั้ง “เรื่องที่ช่องเขาหลิงอู่ถูกถล่มเป็นเพียงเรื่องเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้า โชคดีที่พวกเรามาได้จังหวะประจวบเหมาะ และโจมตีโดยไม่ทันให้พวกมันได้ตั้งรับ คาดว่าเวลานี้ทู่เจวี๋ยคงยังไม่ส่งกำลังทหารมาเสริมกระมัง…”
เมื่อเอ่ยมาถึงประเด็นนี้ บรรดาแม่ทัพของค่ายเป่ยซานเริ่มมีความเคลื่อนไหวขึ้นมาบ้าง ความหมายของแม่ทัพหนิงเห็นได้ชัดว่าจะอาศัยช่วงที่ไป๋หู่กวนยังไม่ทันตั้งมั่น ซึ่งนั่นจะทำให้พวกมันไม่ทันได้ตั้งรับป้องกันตัว จัดการให้สิ้นซากไปเสีย
ฉินเฉิงว่างเริ่มหัดฉลาดกับเขาขึ้นมาบ้างโดยการไม่เอ่ยขัดใดๆ เพราะถึงอย่างไรก็ไม่ได้ส่งเขาไปตาย ต่อให้กองทัพทู่เจวี๋ยยกพลมา ด้วยกำลังทหารจำนวนหลายพันนายที่เฝ้าระวังช่องเขา คงถ่วงเวลาได้ชั่วขณะหนึ่ง รอกระทั่งกองทัพเสริมมาถึง เขาอยากถอยเต็มตัวก็ยังไม่ใช่เรื่องยากแต่อย่างใด
ภายในใจบรรดาพี่น้องแห่งค่ายเป่ยซานต่างอัดอั้นตันใจ เรื่องง่ายดายเพียงนี้ ผลงานชั้นยอดแท้ๆ กลับปล่อยให้คนของค่ายซีซานฉกฉวยเอาไปจนได้ เมื่อมองดูสีหน้าภาคภูมิใจของคนค่ายซีซานนั่น มันช่างไม่ต่างจากการถูกฝ่ามือตบลงบนใบหน้าหนึ่งฉาด ความเจ็บปวดถือเป็นเรื่องเล็ก ประเด็นสำคัญคืออับอายขายหน้าจนไม่รู้จะหน้าเอาไปไว้ที่ไหน ดังนั้น แต่ละคนจึงพากันจ้องมองหม่าโหยวเหลียงตาปริบๆ
ความนึกคิดของบรรดาผู้ใต้บังคับบัญชามีหรือหม่าโหยวเหลียงจะไม่รู้ เขาจึงส่งเสียงกระแอมสองครั้งแล้วเอ่ยโดยอาศัยความอาวุโสกว่าดูถูกคนอื่นเขา “แม่ทัพหนิงอย่าได้คาดเดาแนวโน้มสถานการณ์ในแง่ดีเกินไปเลย ในยามนี้สถานการณ์ทางด้านช่องเขาไป๋หู่เป็นเช่นไรกันแน่ เจ้าและข้าล้วนไม่อาจรับรู้ได้ หากทู่เจวี๋ยเริ่มเสริมกำลังทหารแล้ว พวกเราบุกไปโจมตีอย่างหุนหันพลันแล่นจะมิเท่ากับเข้าไปติดกับดักหรอกหรือ รอให้พายุหิมะหยุดก่อนยังจะเป็นการดีเสียกว่า เมื่อทัพหลังที่ตามมาสนับสนุนมาถึงแล้วค่อยปรึกษาหารือกันให้ดีๆ อีกครั้งก็ยังไม่สาย”
หนิงซิ่งโต้กลับทันควัน “การลงมืออย่างรวดเร็วเป็นสิ่งที่มีคุณค่ายิ่ง หากมัวห่วงหน้าพะวงหลังจนพลาดโอกาสงามในการสู้รบจะไม่เป็นการสูญเสียครั้งใหญ่หรอกหรือ ก็เพราะค่ำคืนนี้มีพายุหิมะโหมกระหน่ำ และชาวทู่เจวี๋ยทางด้านไป๋หู่กวนได้รับข่าวคราวที่ส่งไปจากช่องเขาหลิงอู่เป็นที่เรียบร้อยแล้วถึงอาจเกิดความชะล่าใจ พวกเราจึงโจมตีมันโดยไม่ให้ทันตั้งตัวได้ หากรอกระทั่งทัพเสริมมาถึง เกรงว่าทหารที่ทู่เจวี๋ยส่งมาเสริมก็คงเคลื่อนพลมาถึงแล้วเช่นกัน เมื่อถึงตอนนั้น เกรงว่าไป๋หู่กวนคงได้กลายเป็นด่านแข็งแกร่ง หากคิดจะถล่มให้ราบคาบ ไม่รู้เลยว่าพวกเราต้องฟาดฟันและสูญเสียไปมากมายเพียงใด”
“ท่านแม่ทัพ โจมตีเถอะขอรับ! เมื่อครู่รองแม่ทัพเก๋อกับใต้เท้าหยางยังเอาชนะมาได้แล้ว ไป๋หู่กวนก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเถอะ! ข้ายินดีนำกำลังพลห้าร้อยนายมุ่งหน้าไปสู่ไป๋หู่กวนเอง” จางขุยเจิ้นรองแม่ทัพขอรับคำบัญชา
ผู้คนพร้อมใจกันส่งเสียงสนับสนุน ส่งผลให้ทันใดนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกกระตือรือร้นอันแรงกล้า
หนิงซิ่งจึงสังเกตท่าทีของหลี่หมิงอวิน มองข้ามหม่าโหยวเหลียงไปโดยปริยาย
หลี่หมิงอวินรู้สึกว่าการวิเคราะห์ของหนิงซิ่งมีเหตุผลมาก หากให้ชาวทู่เจวี๋ยคว้าโอกาสไว้ได้ก่อน ก็เท่ากับแนวป้องกันหลังของเซิ่งโจวจะถูกเปิดออกเป็นช่องทางใหญ่ และซาอีก็จะตกสู่สถานการณ์ที่ได้รับการโจมตีตลบหลัง เขาจึงกล่าวขึ้นหลังไตร่ตรองอย่างหนัก “เรื่องราวเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของเซิ่งโจวและซาอี ต่อให้เสี่ยงก็คุ้มค่าที่จะลองดูสักตั้ง”
หลี่หมิงอวินกับหนิงซิ่งไม่ได้นอนหลับตลอดทั้งคืน ยามท้องนภาเพิ่งสว่างจ้า มีข่าวดีรายงานกลับมาจากไป๋หู่กวน หนิงซิ่งดีใจจนทุบถ้วยน้ำชาแตกเป็นเสี่ยงๆ เขารีบมุ่งไปยังไป๋หู่กวนเพื่อจัดระเบียบการเฝ้าเวรยาม หลี่หมิงอวินนวดคลึงดวงตาที่อ่อนล้าแล้วกลับไปยังห้องพักเพื่อเตรียมพักผ่อนสักครู่ เมื่อเข้าไปกลับเห็นว่าหลินหลันไม่อยู่ จึงถามองครักษ์ที่เฝ้ายาม องครักษ์ที่เฝ้ายามเอ่ยว่าช่วงที่มีการรบราบริเวณช่องเขาหลิงอู่มีทหารได้รับบาดเจ็บหลายสิบคน หมอหลินจึงยุ่งวุ่นวายอยู่กับการรักษาผู้ได้รับบาดเจ็บไม่เว้นว่าง จนกระทั่งตอนนี้ก็ยังไม่กลับมา
หลี่หมิงอวินอดขมวดคิ้วไม่ได้ เดินทางติดต่อกันมาเป็นระยะเวลาหลายวัน เมื่อคืนทั้งคืนไม่แม้แต่จะได้พักสายตา เขาเป็นบุรุษตัวโตๆ ผู้หนึ่งยังรู้สึกอ่อนล้าแทบไม่ไหว แล้วนับประสาอันใดกับหลินหลัน หรือว่านางทำจากเหล็กหรือไร หมอทหารไม่ได้มีเพียงนางผู้เดียวเสียหน่อย หลี่หมิงอวินเริ่มรู้สึกเสียใจภายหลัง ไม่ควรใจอ่อนให้นางติดตามมาด้วยเลยจริงๆ เห็นท่าทางของนางที่ไม่ห่วงชีวิตของตนเองเช่นนี้ มันชวนให้เขาเป็นกังวลอย่างยิ่ง
หนิงซิ่งส่งทหารสองพันหายของค่ายซีซานมุ่งไปรักษาการณ์ที่ไป๋หู่กวน ส่วนที่เหลือให้อยู่ที่ช่องเขาหลิงอู่เพื่อรอข่าวคราว ในขณะเดียวกันก็ส่งคนล่วงหน้าไปติดต่อกับกองทัพของแม่ทัพฮ๋วยหยวนที่ซาอี
จนกระทั่งเข้าสู่วันที่สาม ไป๋หู่กวนยังคงสงบเรียบร้อยเสมือนที่ผ่านมา ทางด้านใต้เท้าเฝิงตื่นตระหนกจนเหงื่อตกท่วมตัวทันทีที่ได้ยินว่าไป๋หู่กวนกับหลิงอู่เกิดเรื่องขึ้น เขาไม่กล้าชักช้ารีรอใดๆ จัดการส่งทหารมาเสริมทัพอย่างรวดเร็วเพื่อเพิ่มกำลังการป้องกันทางเข้าออกสำคัญ
เมื่อทัพเสริมมาถึง ทัพของหนิงซิ่งจึงเตรียมตัวมุ่งหน้าต่อไปยังซาอี ในช่วงเวลานี้เอง ฉินเฉิงว่างดันล้มป่วยขึ้นมา มือไม้เย็นเฉียบอย่างกับเป็นโรคไข้จับสั่น แต่มองๆ ดูแล้วคนทั้งคนก็ยังดูมีชีวิตชีวาดี
หลี่หมิงอวินได้รับข่าวคราวว่า เมื่อวานกลางดึกรองทูตฉินให้คนตักน้ำเข้าไปในห้องกะละมังใหญ่ ไม่รู้เช่นกันว่าต้องการทำอันใด ตอนนี้หลี่หมิงอวินพอรับรู้แล้วว่าฉินเฉิงว่างต้องการทำอันใด คงเป็นเพราะได้ยินเรื่องที่อาซือน่านำทัพทหารเจ็ดหมื่นนายมาโจมตีซาอี ไอ้หมอนี่คงเกรงกลัวจนหัวหด จึงคิดแสร้งป่วยเพื่อจะได้กลับไปยังเซิ่งโจว ส่วนที่ว่าอาการป่วยจะหายดีได้เมื่อไหร่นั้น ก็คงขึ้นอยู่กับแม่ทัพฮ๋วยหยวนว่าจะรบราจนศัตรูร่นถอยไปได้เมื่อใด
หลินหลันมองแผนการของฉินเฉิงว่างได้อย่างทะลุปรุโปร่ง จึงเอ่ยถามหมิงอวิน “อีกประเดี๋ยวข้าต้องไปตรวจอาการป่วยของรองทูตฉิน เจ้ามีความนึกคิดอย่างไรหรือ”
หนิงซิ่งนึกดูถูกเหยียดหยามฉินเฉิงว่างผู้นี้อย่างยิ่ง “พอได้ยินว่ามีอันตราย เขาก็ไหลลื่นอย่างรวดเร็วเสียยิ่งกว่าใครหน้าไหน พวกเราเสียเลือดเสียหยาดเหงื่อกันแทบตาย เขากลับเอาแต่จับจ้องหาโอกาสคว้าคุณงามความดีไปครองเมื่อได้รับชัยนะ ไม่มีทางเสียหรอก”
หลี่หมิงอวินเผยรอยยิ้มอ่อน “เขาจะไปก็ปล่อยให้เขาไปเถอะ เขาอยู่นี่ เจ้ายังจำเป็นต้องส่งคนไปปกป้องเขามิใช่หรือ พวกเรายังจำเป็นต้องคอยป้องกันนู่นนี่นั่นอีกมากมาย เมื่อเขากลับไปจะได้สงบๆ ลงบ้าง” ฉินเฉิงว่างกลับไป หม่าโหยวเหลียงจะได้ไม่เล่นตุกติกอันใดอีกเช่นกัน
หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “นั่นสินะ เพียงแต่อาการป่วยของรองทูตนี่ก็ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เช่นกัน หมิงอวิน เจ้าจำเป็นต้องเขียนสารไปรายงานทางราชสำนัก โดยบอกกล่าวไปว่ายามนี้ทู่เจวี๋ยส่งทหารมาโจมตีซาอีเจ็ดหมื่นนาย สถานการณ์การสู้รบของซาอีมีความตึงเครียด และรองทูตฉินเพราะไม่คุ้นชินกับสภาพดินฟ้าอากาศจึงล้มป่วยกะทันหัน เลยให้อยู่รักษาอาการป่วย ณ เซิ่งโจว เจ้าจึงทำได้เพียงมุ่งหน้าไปซาอีตามลำพัง”
การใช้คำของหลินหลันละเอียดรอบคอบอย่างยิ่ง เริ่มเกริ่นจากสถานการณ์สู้รบของซาอีเป็นอันดับแรก จากนั้นจึงกล่าวถึงการล้มป่วยอย่างกะทันหันของรองทูตฉินด้วยความไม่คุ้นชินต่อสภาพดินฟ้าอากาศ แต่ไม่ใช่ประเภทที่ว่าเพราะตากลมอันหนาวเหน็บอะไรเช่นนี้ ทว่าผู้ที่มีความชาญฉลาดล้วนเข้าใจได้ว่าเกิดอันใดขึ้นกันแน่ แล้วนับประสาอันใดกับผู้ชาญฉลาดปราดเปรื่องแบบที่หาตัวจับได้ยากยิ่งอย่างฮ่องเต้ หลี่หมิงอวินกล้าฟันธงได้เลยว่าการมาของฉินเฉิงว่างนั้นต้องมีจุดประสงค์อันใดบางอย่างแน่นอน ไอ้เรื่องที่ว่าจะสร้างปัญหาอย่างลับๆ ล่อๆ และฉกฉวยคุณงามความดีไปนั้น เขาเองก็รู้อยู่แก่ใจเช่นกัน แต่หากคนที่อยู่เบื้องหลังเขามีประสงค์ที่ลึกซึ้งยิ่งกว่าที่เขารู้ เช่นนั้นก็จะกลายเป็นความวุ่นวายเข้าไปใหญ่ ดังนั้นการรายงานให้ฮ่องเต้ทราบไว้ก่อนจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นยิ่ง
หลี่หมิงอวินเห็นดีเห็นงามด้วยอย่างยิ่ง “ข้อเสนอแนะของหลันเอ๋อร์ช่างยอดเยี่ยมจริงๆ”
ดังนั้นหลินหลันจึงลงคำวินิจฉัยให้ฉินเฉิงว่างโดยเอ่ยว่าเพราะเขาไม่คุ้นชินกับสภาพดินฟ้าอากาศ และจ่ายยาให้แก่เขาไว้จำนวนหนึ่ง หลี่หมิงอวินแวะไปให้กำลังใจเขาด้วยเช่นกัน จากนั้นจึงสั่งให้คนพาเขาส่งกลับไปยังเซิ่งโจว
ฉินเฉิงว่างขอเพียงไม่ต้องไปซาอี หลินหลันจะวินิฉัยเขาว่าเป็นอะไรก็ช่างนาง ในเมื่อจุดมุ่งหมายของเขาประสบผลสำเร็จแล้ว อย่างไรก็ตาม เขายังไม่ลืมที่จะแสร้งเผยท่าทีจอมปลอมออกมา โดยทำเป็นว่าตนเองรู้สึกละอายแก่ใจที่ร่างกายไม่ได้เรื่องได้ราวเอาเสียเลย จึงไปซาอีพร้อมกับหลี่หมิงอวินไม่ได้
หลังส่งตัวซวยผู้นี้จากไปแล้ว ทุกคนต่างรู้สึกโล่งอกโล่งใจขึ้นมาก หลังจากนั้นกองทัพจึงเริ่มเดินหน้าต่อไป
ไม่ถึงสองวัน ซาอีก็อยู่ในสายตารำไร
แม่ทัพหลินฮ๋วยหยวนได้รับข่าวคราวมาตั้งแต่พวกเขายังอยู่ห่างไกลออกไป จึงส่งคนออกมาต้อนรับ
ทันทีที่เข้าสู่เมืองซาอีก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศอันตึงเครียด มีทหารรักษาการณ์ยืนหนาแน่นอยู่บนกำแพงป้องกัน ทุกคนต่างมีสีหน้าดุดันพร้อมเข่นฆ่า ภายในเมือง บรรดาทหารต่างยุ่งวุ่นวายไม่เว้นว่าง ผู้ที่ทำหน้าที่ซ่อมสิ่งก่อสร้างก็ก้มหน้าก้มตาทำกันไป ผู้ที่ทำหน้าที่ฝึกซ้อมทหารก็ฝึกซ้อมกันไป
ฟางเจิ้นเสี้ยวเว่ยผู้รับหน้าที่มาต้อนรับหลี่หมิงอวินบอกกล่าวสถานการณ์สู้รบสองวันมานี้ให้หลี่หมิงอวินรับทราบโดยคร่าว
ระยะนี้ กองทัพใหญ่อาซือน่าโจมตีดุดันผิดปกติ โชคดีที่บรรดาทหารทุ่มเทสุดชีวิตเพื่อปกป้องถึงรักษาให้รอดปลอดภัยได้ ต่อมาภายหลังได้รับรายงานการสู้รบทางด้านช่องเขาไป๋หู่กวนและหลิงอู่ แม่ทัพหลินยังเป็นกังวลอย่างหนักอยู่ระยะหนึ่ง คาดไม่ถึงว่าทันทีที่ทวงคืนไป๋หู่กวนกลับมาได้ อาซือน่าก็กลับร่นถอยไปด้วย
เห็นทีว่าการคาดการณ์ของหยางว่านหลี่จะแม่นยำอย่างยิ่ง อาซือน่ารุกโจมตีหนักก็เพื่อร่วมมือกับชาวทู่เจวี๋ยในการยืดครองเส้นทางหยางซาน เมื่อแผนการล้มเหลวจึงเป็นธรรมดาที่อาซือน่าจะร่นถอยกลับไป
ทุกคนได้รับการเชื้อเชิญเข้าไปยังจวนแม่ทัพ ทั้งหมดทั้งมวลที่เรียกว่าจวนแม่ทัพ ก็เป็นเพียงแค่บ้านหลังโตเก่าแก่แห่งหนึ่งในใจกลางเมือง หากไม่ใช่เพราะมีแผ่นป้ายแขวนที่ประตูทางเข้า และทหารรักษาการณ์ที่ยืนกันอย่างเคร่งขรึม เกรงว่าผู้ใดก็คงคาดไม่ถึงเช่นกันว่านี่คือจวนแม่ทัพ
ฟางเจิ้นเอ่ยว่าแม่ทัพหลินออกไปลาดตระเวน อีกประเดี๋ยวคงกลับมา
หลี่หมิงอวินยกมือขึ้นโบกเป็นสัญญาณว่าไม่เป็นไร “เรื่องทางการทหารสำคัญกว่าขอรับ” หลังจากนั้นจึงให้ฟางเจิ้นกับหนิงซิ่งพากองกำลังทหารไปหาที่ปักหลักพักผ่อน
หลินหลันไปควบคุมการขนย้ายวัตถุดิบยาด้วยตนเอง การจัดวางยาแต่ละอย่างต้องกระทำอย่างละเอียดรอบคอบ เพื่อถึงเวลาจำเป็นจะได้ง่ายต่อการค้นหา
“เอ้…พวกนี้เป็นยาชา จำเป็นต้องวางไว้ในตำแหน่งที่สะดุดตาหน่อย นี่เป็นยาทาบาดแผล ระมัดระวังหน่อย อย่าทำหล่นแตกเชียวล่ะ…”
หลินหลันคอยกำชับไม่เว้นว่าง
แต่แล้วบรรดาทหารกลับวางภาระงานในมือลงกะทันหันแล้วลุกขึ้นอย่างฉับพลัน ตามด้วยเสียงตะโกนอย่างพร้อมเพรียงกัน “ท่านแม่ทัพ