หลินหลันกลับหลังหันไปมอง เห็นเพียงแม่ทัพใหญ่ท่านหนึ่งซึ่งมีรูปร่างสูงโปร่งอยู่ในชุดคลุมสีขาวดำกำลังเดินมุ่งมาด้านที่รายล้อมไปด้วยทหารรักษาการณ์จำนวนหนึ่ง แม้ใบหน้าจะถูกลมทะเลทรายปะทะจนเป็นสีคล้ำ ทว่าดวงตาคู่นั้นกลับมีนัยย์ตาอันเป็นเอกลักษณ์ที่แสดงให้เห็นถึงความสงบนิ่งอย่างผู้ที่ผ่านประสบการณ์อันโชกโชน ไม่ถึงกับดุดัน แต่ยังคงปรากฏความน่าเกรงขามให้เห็น
ท่านนี้ก็คือแม่ทัพฮ๋วยหยวนในคำกล่าวขาน สามีของเฝิงซูหมิ่นเช่นนั้นหรือ เฝิงซูหมิ่นเอ่ยถึงแม่ทัพหลินน้อยครั้งมาก กลับเป็นหยางว่านหลี่ผู้ใต้บังคับบัญชาที่เอ่ยถึงแม่ทัพหลินขึ้นมาบ่อยครั้ง แม่ทัพท่านนี้ผ่านสนามรบมาเป็นเวลากว่าสิบปี ผ่านการต่อสู้กับศัตรูมานับครั้งไม่ถ้วน เคยนำทัพจำนวนทหารเพียงสามพันนายบุกเข้าไปในราชสำนักของผู้ปกครองทู่เจวี๋ย จนเกือบปลิดชีพคนชั่วตัวการสำคัญของทู่เจวี๋ยได้ ชาวทู่เจวี๋ยจึงทั้งเกรงกลัวทั้งเคียดแค้นเขา สำหรับชาวทหารทางด้านเขตชายแดน แม่ทัพหลินก็คือเข็มเทพใต้ทะเลลึกของพวกเขา พวกเขาเชื่อมั่นว่า ตราบใดที่แม่ทัพหลินยังคงดำรงอยู่ ชาวทู่เจวี๋ยจะไม่มีทางเหยียบย่ำเข้ามาในจงหยวนได้แม้แต่ก้าวเดียว
เกี่ยวกับคนเช่นนี้ แน่นอนว่าหลินหลันเองก็รู้สึกนับถือและชื่นชมเป็นอย่างยิ่งเช่นกัน ขณะครุ่นคิดอยู่ว่าจะทักทายเขาสักหน่อยดีหรือไม่ กลับเห็นแม่ทัพหลินสาวเท้ายาวเดินมุ่งเข้าไปในจวนแม่ทัพเสียแล้ว
ศักยภาพในการจัดการเรื่องราวของฟางเจิ้นยอดเยี่ยมเป็นอย่างสูง อีกทั้งแม่ทัพหลินก็มีประสงค์ไว้แต่เนิ่นๆ แล้วเช่นกัน ไม่นานนักจึงจัดการกองทัพของหนิงซิ่งปักหลักเป็นที่เรียบร้อย
เมื่อเห็นแม่ทัพหลิน หลี่หมิงอวินเดิมคิดจะกล่าวแนะนำตัวและทักทายสักสองสามประโยค แม่ทัพหลินกลับยกมือขึ้นโบกอย่างขอไปทีแล้วเดินไปนั่งประจำที่ของตนเอง สีหน้าของเขาดูสงบนิ่งเยือกเย็น เสมือนไม่มีความนึกคิดที่จะสนิทสนมอันใดกับเจ้า ทันทีที่เอ่ยปากก็ตั้งคำถามทันที “เส้นทางเสบียงบริเวณหยางซานเกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ”
หลี่หมิงอวินเผยรอยยิ้มจาง เขาเข้าใจได้ เพราะได้ยินจิ้งปั๋วโหว์กล่าวถึงคนผู้นี้ไว้แต่เนิ่นๆ ว่าเป็นประเภทหน้าเย็นชาแต่จิตใจดีงาม เมื่อเทียบกับคนเหล่านั้นที่ชอบแสร้งทำตัวจอมปลอมใส่ผู้อื่น หลี่หมิงอวินรู้สึกชื่นชอบคนตรงไปตรงมาประเภทนี้มากกว่า เขาจึงกล่าวขึ้นทันทีทันใด “แม่ทัพหนิง เจ้าเล่าแล้วกัน!”
หนิงซิ่งยกสมองมือขึ้นคารวะ แล้วนำเรื่องราวที่ประสบพบเจอทั้งหมดในหยางซานบอกกล่าวอย่างละเอียด
แม่ทัพหลินยิ่งได้ฟังยิ่งขมวดคิ้วแน่นขึ้น เขาตั้งใจสดับรับฟังหนิงซิ่งบอกเล่าอย่างใส่ใจจนจบ จากนั้นจึงกล่าวอย่างครุ่นคิด “เห็นทีว่าลัวตัวผู้นี้จะมิใช่ธรรมดาๆ เสียแล้ว!”
ฟางเจิ้นเห็นใต้เท้าทูตพิเศษกับแม่ทัพหนิงเผยสีหน้างุนงง จึงกล่าวอธิบาย “ลัวตัวเป็นบุตรชายคนที่สามของทู่เจวี๋ยต้าฮ่านขอรับ ได้ยินว่าคนผู้นี้เต็มไปด้วยร้อยเล่ห์เพทุบาย ภายนอกดูเป็นคนดี แต่ภายในนึกคิดแต่เรื่องชั่วร้าย เห็นทีว่าที่เขาร่ำลือกันคงไม่ผิดเพี้ยนเสียแล้ว ครั้งนี้ทู่เจวี๋ยส่งกองทัพทหารมาจำนวนหนึ่งแสนนาย ซึ่งก็นำโดยลัวตัวผู้นี้”
“ครั้งนี้ต้องขอบคุณพวกเจ้าที่ไหวตัวทัน หากให้แผนการชั่วของลัวตัวสำเร็จ ผลที่ตามมาคงเป็นเหตุการณ์เลวร้ายจนไม่กล้าคิด” แม่ทัพหลินกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เหตุการณ์นี้ ใต้เท้าหลี่กับแม่ทัพหนิงสร้างคุณประโยชน์เอาไว้อย่างสูง”
หลี่หมิงอวินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เป็นเพราะสวรรค์คุ้มครองราชวงศ์เรา จึงเผชิญโอกาสอันประจวบเหมาะน่ะขอรับ”
แม่ทัพหลินหัวเราะร่า “ใต้เท้าหลี่มีคุณงามความดีแท้ๆ แต่กลับไม่ยโสโอหัง พบเจอได้ยากยิ่ง พบเจอได้ยากยิ่ง!”
หลินจื้อย่วนผ่านศึกสงครามมาหลายปี จึงเคยพบเจอทูตพิเศษอยู่หลายท่านเช่นกัน คนเหล่านั้นมักคิดว่าตนเองรับผิดชอบคำสั่งของฮ่องเต้มาก็เลยถือว่าเป็นคนยอดเยี่ยมเหนือกว่าใครหน้าไหน มายังสถานที่แห่งนี้เพื่อเป็นผู้ออกคำสั่ง ทั้งๆ ที่ไม่เข้าใจอะไรทั้งสิ้น ก็ชอบกระทำการอันใดตามอำเภอใจ แค่เขามองเห็นก็รู้สึกรำคาญใจแทบแย่ อยากจะเตะคนประเภทนี้ส่งกลับไปให้มันรู้แล้วรู้รอด เมื่อครู่เขาจึงจงใจชักสีหน้าเย็นชาใส่เพื่อเป็นการข่มขู่ใต้เท้าหลี่ท่านนี้สักหน่อย เขาจะได้ไม่กำเริบเสิบสานโดยไม่รู้จักตระหนักต่อแนวโน้มของสถานการณ์ คาดไม่ถึงว่าใต้เท้าหลี่ท่านนี้ไม่เพียงแต่ไร้สีหน้าไม่พึงพอใจ แต่ยังอ่อนน้อมถ่อมตนได้ถึงเพียงนี้ หลินจื้อย่วนจึงรู้สึกดีต่อเขาขึ้นมาไม่น้อย จึงไม่วางมาดบาตรใหญ่อันใดอีก
“แม่ทัพหลินเฝ้าระวังชายแดนมาเป็นเวลากว่าสิบปี ผ่านศึกสู้รบกับศัตรูมานับครั้งไม่ถ้วนจนสร้างความสงบสุขให้ทางด้านนี้ไว้ได้ การกล่าวถึงการสร้างคุณประโยชน์ต่อหน้าท่านแม่ทัพหลิน ข้ามิบังอาจจริงๆ ขอรับ” หลี่หมิงอวินกล่าวด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย
ไม่แปลกหากทุกคนล้วนชื่นชอบให้ผู้อื่นประจบสอพลอตนเอง สีหน้าของแม่ทัพหลินจึงเผยให้เห็นความพึงพอใจขึ้นหลายเท่าตัว แม้แต่ฟางเจิ้นและคนอื่นๆ ก็รู้สึกอุ่นใจไปด้วยเช่นกัน ใต้เท้าหลี่ท่านนี้ช่างเข้าใจพูดเสียจริง
แม่ทัพหลินกล่าวด้วยความอ่อนใจ “ใต้เท้าหลี่เดินทางมาอย่างเร่งรีบตลอดทั้งวันทั้งคืน น่าเสียดายที่หาความแน่นอนอะไรกับพวกทู่เจวี๋ยมิได้ เรื่องการเจรจาสงบศึกนี้คงต้องระงับไว้เป็นการชั่วคราวเสียแล้ว”
หลี่หมิงอวินกล่าว “ยามที่ข้ามาก็ได้เตรียมตัวสำหรับสถานการณ์นี้แล้วขอรับ ราชวงศ์เรามีครั้งไหนบ้างที่ไม่เจรจาสงบศึกกันไปสู้รบกันไป ทุกครั้งฝ่ายที่คว้าชัยนะล้วนกลายเป็นผู้ต่อรองของทั้งสองฝ่าย ก่อนมาเยือนในครานี้ ข้ามิได้เตรียมที่จะยื่นหนังสือเป็นลายลักษณ์เพื่อแลกเปลี่ยนกันในทันที แต่ตั้งใจว่าจะรอให้แม่ทัพหลินกำราบกองทัพลัวตัวให้ได้เสียก่อนแล้วค่อยลงมือเจรจาเชื่อมสัมพันธ์ นี่จะถือเป็นกลยุทธ์ที่ดีกว่าขอรับ”
หนิงซิ่งกล่าวอย่างเด็ดขาด “แม่ทัพหลินขอรับ ครานี้ข้ามาเยือนพร้อมกำลังทหารห้าพันนาย หวังอย่างยิ่งว่าจะติดตามแม่ทัพหลินไปเข่นฆ่าคู่ต่อสู้ด้วยขอรับ”
แม่ทัพหลินยกมือขึ้นโบก “เอ้! หน้าที่ของแม่ทัพหนิงคืออารักษ์ขาใต้เท้าทูตพิเศษ แล้วจะบุกไปรบรากับคู่ต่อสู้ เสี่ยงอันตรายได้อย่างไรกัน”
หนิงซิ่งกล่าวอย่างไม่เห็นด้วย “ท่านแม่ทัพไม่เชื่อมั่นในความสามารถของข้าหรือขอรับ แม้ข้าจะผ่านประสบการณ์มาน้อยนิด แต่มิใช่คนประเภทขี้ขลาดตาขาวกลัวตายแน่นอนขอรับ”
ตลอดการเดินทาง หลี่หมิงอวินมองดูความกระตือรือร้นนั่นก็เข้าใจความนึกคิดของเขาได้ชัดแจ้ง ตระกูลหนิงเป็นตระกูลผู้สร้างคุณประโยชน์ไว้มากมาย บรรพบุรุษเคยปรากฏในฐานะแม่ทัพกองกำลังหลายต่อหลายท่าน แรงปรารถนาของหนิงซิ่งตั้งแต่เยาว์วัยก็คือการเข่นฆ่าพวกศัตรู สร้างความสำเร็จของชีวิตบนสนามรบ ตอนแรกที่เขาไปค่ายซีซาน เป็นเพราะฮ่องเต้เอ่ยยกให้เป็นกรณีพิเศษ มีคนจำนวนมากไม่เชื่อมั่นในฝีมือเขา และกล่าวว่าเขาก็แค่อาศัยบารมีของบรรพบุรุษ ดังนั้น เจ้าหนุ่มนี่จึงพยายามอดกลั้นมาโดยตลอด ด้วยคิดจะพิสูจน์ตนเองให้ได้ ดังนั้นยามศึกผิงหนาน เขาถึงเสนอขอรับคำบัญชาครั้งแล้วครั้งเล่า ครั้งนี้มายังทางตอนเหนือ ชาวทู่เจวี๋ยอยู่ใกล้แค่เอื้อม แล้วจะให้เขาพลาดโอกาสนี้ไปได้อย่างไร
หลี่หมิงอวินจงใจจ้องเขม็งใส่เขา “หนิงซิ่ง อย่าเสียมรรยาท ท่านแม่ทัพหลินมีแผนการของเขาที่วางไว้ นี่มิได้เกี่ยวข้องอันใดกับการดูถูกฝีมือเจ้า”
หนิงซิ่งจึงก้มหน้าไม่พูดไม่จา
หลินจื้อย่วนไม่ได้รู้สึกไม่พึงพอใจแต่อย่างใด ทหารที่ไม่คิดจะลงสนามเข่นฆ่าศัตรูก็คือคนขี้ขลาดตาขาว หนิงซิ่งมีความกล้าหาญประเภทนี้ เขารู้สึกชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง เวลานี้กองทัพทู่เจวี๋ยเคลื่อนเข้ามาประชิด ทหารรักษาการณ์ของซาอีก็มีเพียงห้าหมื่นนายเท่านั้น กองกำลังเสริมก็ยังมาไม่ถึง เวลานี้มีกองกำลังอย่างดีจำนวนห้าพันนายพร้อมเข้าร่วม จึงไม่ต่างจากการหยิบยื่นความช่วยเหลือให้ในยามยากลำบาก แล้วไยเขาจะไม่ยินดีหรือ เพียงแต่ หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดอันใดกับใต้เท้าทูตพิเศษ ความรับผิดชอบนี้คงเป็นเรื่องที่เขาแบกรับไม่ไหวเป็นแน่
“ใต้เท้าหลี่ หลายวันมานี้กองทัพใหญ่ของทู่เจวี๋ยร่นถอยไปเป็นการชั่วคราว แต่ข้าคิดว่าพวกมันคงจะกลับมาอีกครั้งในเร็วๆ นี้ พื้นที่ในซาอีอันตรายยิ่งนัก ทางที่ดีใต้เท้าหลี่อย่าอยู่ที่นี่นานเกินไปจะดีกว่า ข้าจะจัดการส่งใต้เท้ากลับไปยังเซิ่งโจวเสียก่อน เมื่อได้โอกาสอันสมควร ค่อยเชิญใต้เท้าหลี่มาอีกครั้ง” หลินจื้อย่วนกล่าว
หลี่หมิงอวินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ทั้งหมดว่าตามที่แม่ทัพหลินจัดการได้เลยขอรับ เพียงแต่ ข้ามีเรื่องหนึ่งที่อยากรบกวนหน่อยขอรับ”
หลินจื้อย่วนขมวดคิ้วเล็กน้อย “เชิญใต้เท้าว่ามาได้เลย”
“ข้ากลับไปเซิ่งโจว ขอเพียงทหารหนึ่งพันนายในการอารักขาส่งกลับเท่านั้นเป็นพอ ส่วนที่เหลือ หวังว่าจะอยู่ช่วยท่านรักษาการณ์ ณ ซาอีนี้ขอรับ ก็ถือเสียว่าบรรดาทหารจะได้ร่วมใจกันปกป้องบ้านเมืองของเราขอรับ”
ดวงตาของหนิงซิ่งเปล่งประกายขึ้นทันทีทันใด เขาจ้องมองไปยังแม่ทัพหลินด้วยความวาดหวัง
“ใต้เท้าเฝิงส่งกำลังทหารมาเสริมการป้องกันเส้นทางลำเลียงเสบียงในหยางซานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หากพวกทู่เจวี๋ยคิดจะแอบโจมตีขึ้นมาอีกคงเป็นการยาก ดังนั้น เส้นทางที่ข้ากลับเซิ่งโจวคงไม่น่ามีอันตรายอันใดเกิดขึ้น แน่นอนว่า หากแม่ทัพหลินอนุญาต ข้าก็ยินดีจะอยู่ที่นี่อีกสักระยะหนึ่งเช่นกัน หากซาอีตกอยู่ในอันตรายจริง ข้าค่อยจากไปก็ยังมิสายขอรับ” หลี่หมิงอวินกล่าว
หลินจื้อย่วนมองดูหลี่หมิงอวินแล้วจึงมองไปยังดวงหน้าของหนิงซิ่งที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง จึงกล่าวอย่างลำบากใจ “ขอให้ข้าได้ไตร่ตรองดูก่อนแล้วกัน”
หลังสนทนางานราชจบสิ้น หลี่หมิงอวินแสดงความประสงค์ต่อทุกคนว่าต้องการขอตัวก่อน จากนั้นจึงหยิบจดหมายที่เฝิงซูหมิ่นฝากมามอบให้แด่แม่ทัพหลิน “นี่เป็นจดหมายที่ภรรยาท่านให้ข้าน้อยนำมาให้ท่านแม่ทัพขอรับ”
หลินจื้อย่วนเผยสีหน้าประหลาดใจปนตกใจเล็กน้อยก่อนรับจดหมายมาไว้ หลี่หมิงอวินไม่ขอรบกวนเวลาคนเขาอ่านจดหมาย ขอตัวออกไปจากห้องโถงสำหรับการปรึกษาหารือ
ยามที่ตามหาหลินหลันจนเจอ หลินหลันก็นำวัตถุดิบยาทั้งหมดจัดระเบียบไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และกำลังทำความเข้าใจต่อสถานการณ์ที่นี่กับหมอทหารผู้อาวุโส
“หมอหลิน…”
หลี่หมิงอวินยืนอยู่หน้าประตูมองดูหลินหลันอยู่เนิ่นนาน นางกลับไม่สังเกตเห็นเขาด้วยมัวแต่สนใจสดับรับฟังคนเขากล่าวอธิบาย ดูจากสถานการณ์แล้ว หากเขาไม่เอ่ยปากก็คงต้องยืนรออยู่ตรงนี้ตลอดไป
หลินหลันหันกลับมามอง เป็นหมิงอวินนั่นเอง นางจึงรีบกล่าวขออภัยต่อหมอทหารผู้อาวุโส แล้วเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มระรื่น “เจ้าเสร็จธุระแล้วหรือ”
หลี่หมิงอวินเผยรอยยิ้มเล็กน้อย “เห็นทีว่าเจ้าจะยุ่งยิ่งกว่าข้าเสียอีก”
หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ที่เจ้ายุ่งมันเป็นเรื่องใหญ่โต ที่ข้ายุ่งน่ะเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ทั้งนั้น”
หลี่หมิงอวินมองดูหลินหลันที่ดูผ่ายผอมลงไปมาก นั่นทำให้รูปร่างนางดูสูงโปร่งยิ่งขึ้น เขาจึงกล่าวด้วยความรู้สึกปวดใจ “เจ้าเองก็พักผ่อนหน่อยเถอะ! ไม่ต้องทุ่มเทสุดชีวิตปานนี้”
หลินหลันมุ่ยปากแล้วกล่าว “จะให้ข้าพักผ่อนลงได้อย่างไรกัน การสู้รบอย่างดุเดือดเมื่อหลายวันก่อน ส่งผลให้มีทหารจำนวนมากมายได้รับบาดเจ็บในระดับที่แตกต่างกันไป หมอทหารหลายๆ ท่านเหล่านี้ยุ่งกันจนไม่หวาดไม่ไหว หากข้าไม่รับรู้ก็แล้วไป แต่ในเมื่อรับรู้แล้วจะเมินเฉยอยู่ได้อย่างไรกัน”
หลี่หมิงอวินเผยสีหน้าเคร่งเครียดทันทีที่ได้ยินดังกล่าว ตอนแรกตกลงกันไว้ดิบดีว่าพานางมาเพื่อดูแลเขาเท่านั้น แล้วผลปรากฏว่าอย่างไรล่ะ! พอนางเห็นผู้บาดเจ็บ จิตวิญญาณแห่งการช่วยเหลือผู้บาดเจ็บก็ปะทุขึ้นมาและไม่สนใจไยดีเขาเลย หลี่หมิงอวินนึกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ฉับพลัน เขาปั้นหน้าห่อเหี่ยวแล้วยกมือขึ้นบีบนวดศีรษะ พลางกล่าวอย่างไร้เรี่ยวแรง “ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นอะไรไป หลายวันนี้มานี้ข้าปวดศีรษะเหลือเกิน รู้สึกเจ็บคอด้วย แล้วก็รู้สึกร่างกายอ่อนแรงด้วยเช่นกัน”
ปรากฏว่าหลินหลันมีท่าทีเป็นกังวลขึ้นมาอย่างที่คิดไว้ “เจ้ามิเป็นไรใช่หรือไม่ อย่ามัวตากลมเย็นอยู่เลย รีบเข้าไปในห้องกันเถอะ เดี๋ยวข้าช่วยตรวจดูเจ้าให้” นางจูงมือหลี่หมิงอวินออกจากโรงหมอขณะเอ่ย
หลี่หมิงอวินยกยิ้มมุมปากอย่างยากจะสังเกตเห็นได้ คงมีเพียงวิธีนี้เท่านั้นถึงหลอกให้นางกลับห้องได้
เมื่อกลับถึงที่พัก หลินหลันจับหลี่หมิงอวินกดลงบนเตียงนอน ส่วนตนเองนั่งอยู่บนขอบเตียงช่วยตรวจจับชีพจรให้เขา ตามด้วยแตะหน้าผาก ตรวจดูลิ้นและปิดท้ายด้วยอังลมหายใจ “โชคดีไม่มีอันใดร้ายแรง อาจเพราะเหนื่อยล้าแล้ว เจ้าเป็นเพียงนักปราชญ์ผู้อ่อนแอคนหนึ่ง ต้องเดินทางมาไกลเพียงนี้ และยังเป็นการเดินทางอย่างข้ามวันข้ามคืน ไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อยก็คงนับว่าประหลาดน่าดู”
หลี่หมิอวินบ่นอุบอิบอย่างไม่ยอมรับ “เหตุใดข้าถึงกลายเป็นนักปราชญ์ผู้อ่อนแอไปเสียแล้ว ข้าอ่อนแอตรงไหนหรือ เจ้าเป็นสตรียังไม่ล้มพบเลย ข้าเป็นหนุ่มเป็นแน่นแล้วจะไม่สู้เจ้าได้อย่างไรกัน”
หลินหลันชำเลืองมองเขา “โอ้…ไม่ยอมรับเสียด้วย ก็ได้ๆๆ เจ้ายอดเยี่ยมที่สุด เจ้าเป็นทั้งบุ๋นทั้งบู๊ เจ้าเป็นเหล็กทองที่ไม่มีวันหักพัง…”
หลี่หมิงอวินคว้าตัวนางเข้ามาไว้ในอ้อมกอด แล้วพลิกตัวตรึงนางไว้ใต้ร่าง มือหนึ่งลูบคลำเอวคอดของนางพร้อมกล่าวเชิงข่มขู่ด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม “เห็นทีว่า คนที่ไม่ยอมรับเป็นเจ้าเสียกระมัง หรือไม่ เรามาลองพิสูจน์ดูสักหน่อยดีไหมล่ะ” เขาเอ่ยพลางสร้างความรู้สึกจั๊กจี้ให้นาง
หลินหลันหัวเราะจนแทบหายใจไม่ทัน จึงกล่าวอ้อนวอนซ้ำแล้วซ้ำเล่า “ข้ายอมแพ้แล้ว ข้ายอมแพ้แล้ว อย่าแกล้งกันเลยนะ…”
หลี่หมิงอวินถึงได้ยอมหยุดลงแต่โดยดี เขาโอบกอดนางไว้ขณะเอนกายแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “หลันเอ๋อร์ อย่าทุ่มเทถึงเพียงนี้เลย มันทำให้ข้าเจ็บปวดใจชอบกล”
หลินหลันรู้ดีว่าเขาเป็นห่วงตนเอง ภายในใจจึงรู้สึกอบอุ่นอย่างยิ่ง นางซบอยู่ในอ้อมอกของเขาแล้วกล่าวเสียงบางเบา “เจ้ามิต้องเป็นห่วงข้า ข้ารู้จักประมาณตน เจ้าก็รู้ดีเช่นกันว่าข้าคนนี้ไม่เคยทำให้ตนเองเสียเปรียบมาแต่ไหนแต่ไร หากไม่ไหว ข้าก็คงแอบมานอนหลับตั้งนานแล้วละ”
หลี่หมิงอวินกลับไม่เชื่อในคำพูดดังกล่าวของนาง “พวกเจ้าเป็นหมอล้วนมีโรคที่แก้ไม่ขาดอย่างหนึ่งก็คือ เมื่อเห็นผู้ป่วยผู้ได้รับบาดเจ็บล้วนลืมนึกถึงตนเองไปทันที เจ้าอย่าหลอกข้าเลย ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปห้ามคิดอะไรทั้งนั้น หลับตานอนหลับอย่างว่าง่ายเสียถึงจะพิสูจน์ความจริงได้”
หลินหลันบ่นอุบอิบ “ตอนนี้ยังกลางวันแสกๆ จะให้นอนหลับลงได้อย่างไรกัน! เจ้านอนหลับลงหรือไร”
หลี่หมิงอวินเลิกคิ้ว “ข้าเป็นทูตพิเศษแน่นอนว่าคงไม่ได้ แต่เจ้าเป็นขุนนางหมอตัวเล็กๆ ผู้หนึ่ง ใครจะสนใจเจ้าหรือ”
หลินหลันโต้เถียงทันควัน “ข้าเป็นถึงหมอหลวงที่ฮ่องเต้ทรงแต่งตั้งด้วยพระองค์เองเชียวนะ ฮ่องเต้ให้ข้ามาที่นี่ มิใช่เพื่อมานอนหลับเสียหน่อย”
หลี่หมิงอวินตรึงมือของนางที่คิดจะขยับเขยื้อน แล้วกล่าวดุ “ข้าเป็นถึงทูตพิเศษที่ฮ่องเต้ทรงแต่งตั้งด้วยพระองค์เอง พวกเจ้าล้วนจำเป็นต้องเชื่อฟังคำสั่งการของทูตพิเศษ ตอนนี้ เราในฐานะทูตพิเศษขอสั่งให้เจ้า นอนหลับเสีย”
หลินหลันไม่อาจสลัดเขาออก หลังครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว นางจึงแสร้งกล่าวอย่างว่านอนสอนง่าย “ก็ได้! ในเมื่อท่านทูตพิเศษมีคำสั่งลงมา เช่นนั้นข้าคงทำได้เพียงรับฟังคำสั่งการ ข้าจะนอนก็ได้ เจ้าไปทำธุระของเจ้าเถิด”
หลี่หมิงอวินเผยรอยยิ้มแล้วจรดจุมพิตลงบนแก้มทั้งสองแล้วปิดท้ายที่ริมฝีปากของนางอีกหนึ่งที ก่อนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ต้องแบบนี้สิ” ด้วยความอาลัยอาวรณ์จึงโอบกอดนางอยู่อีกพักหนึ่ง ก่อนช่วยดึงผ้าห่มมาห่มให้นางอย่างดิบดีแล้วกล่าวกำชับ “พักผ่อนให้ดีๆ ห้ามหนีไปไหนทั้งนั้น”
หลินหลันพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง รอกระทั่งหลี่หมิงอวินออกไปแล้วนางจึงดีดตัวลุกขึ้นมาแล้วเตรียมย่องเบาออกไป ปรากฏว่าทันทีที่เปิดประตู ประตูบานใหญ่ทั้งสองดันมีบางอย่างมาขวางไว้ ตามด้วยเสียงของจ้าวจัวอี้ที่เอ่ยขึ้น “พี่สะใภ้ ใต้เท้าหลี่มีคำสั่งว่าก่อนใต้เท้าหลี่กลับมา ห้ามมิให้พี่สะใภ้ออกไปไหนขอรับ”