ถึงจะเห็นว่าในแต่ละวันจ้าวจัวอี้หนุ่มผู้นี้เอาแต่ร้องเรียกคำก็พี่สะใภ้สองคำก็พี่สะใภ้ แต่เมื่อต้องกระทำเรื่องจริงๆ จังๆ ขึ้นมา เขาก็ไม่เห็นแก่หน้าใครเช่นกัน ไม่ได้ก็คือไม่ได้ หลินหลันพูดอย่างดิบดีให้ตายก็ไม่อาจสมปรารถนา นางจึงทำได้เพียงยอมแพ้อย่างจำใจแล้วกลับไปนอนคลุมโปงอยู่บนเตียงดังเดิม
และด้วยความเหน็ดเหนื่อยจริงๆ พอได้นอนก็หลับยาวไปถึงช่วงเวลาท้องนภามืดสลัว ไม่รู้กี่โมงกี่ยาม ทันใดนั้นเสียงเป่าแตรสัญญาณก็ดังขึ้นกะทันหัน ตามด้วยเสียงกลองที่ดังสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน ตอนแรกหลินหลันยังคิดว่าตนเองกำลังฝันไป เมื่อสะลึมสะลือเปิดเปลือกตาขึ้นชั่วขณะหนึ่ง จึงรีบปีนป่ายลุกขึ้นลงจากเตียงด้วยความตกใจ มีเสียงการเคลื่อนไหวดังสนั่นเพียงนี้ หรือว่าจะเกิดเรื่องใดขึ้นแล้ว
หลินหลันลุกลี้ลุกลนสวมใส่เสื้อผ้าแล้วไปเปิดประตู จ้าวจัวอี้กับทหารรักษาการณ์สองคนยังอยู่ยืนอยู่ข้างประตู
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้วหรือ” หลินหลันเอ่ยถาม
จ้าวจัวอี้กล่าว “นี่เป็นแตรสัญญาณสำหรับเรียกรวมพล ส่วนเสียงกลองเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับการสู้รบ เกรงว่าพวกทู่เจวี๋ยคงมาโจมตีอีกแล้วกระมังขอรับ”
บ้าจริง ไอ้พวกสารเลวทู่เจวี๋ยนี่จะให้คนเขาได้หยุดพักสักหน่อยไม่ได้หรือไร หลินหลันก้าวขาเตรียมเดินมุ่งหน้าออกไป จ้าวจัวอี้กลับรีบยับยั้งนางไว้ “พี่สะใภ้ เวลานี้ยังไม่ทราบสถานการณ์แน่ชัด ท่านรออยู่ที่นี่ยังจะปลอดภัยกว่านะขอรับ”
หลินหลันพลักเขาอย่างไม่เกรงใจ “นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว พวกเจ้ายังไม่รีบไปอารักขาใต้เท้าหลี่อีก จะมายืนขวางข้าอยู่ทำไมกัน”
“แต่ว่า แต่ว่า…” จ้าวจัวอี้รู้สึกลำบากใจอย่างยิ่ง
“แต่ว่าอันใดหรือ เจ้าเป็นถึงองครักษ์ข้างกายของใต้เท้าหลี่ หากเกิดอะไรขึ้นกับใต้เท้าหลี่ ข้าจะเอาความผิดกับเจ้า รีบไปได้แล้ว ไปดูสิว่าใต้เท้าหลี่อยู่แห่งหนใด” หลินหลันขู่
จ้าวจัวอี้ไม่กล้าทิ้งหลินหลันไว้ จึงทำได้เพียงให้นางติดตามไปด้วย
เมื่อพ้นจวนแม่ทัพออกไปก็คือสนามฝึก เห็นเพียงทหารแต่ละค่ายเคลื่อนมาประจำตำแหน่งของตนเองอย่างรวดเร็ว แต่กลับไม่เห็นความโกลาหลเลยแม้แต่น้อย จึงเห็นได้ชัดว่าแม่ทัพหลินท่านนี้นำทัพได้อย่างชำนาญการยิ่งนัก
หลินหลันกำลังคิดหาใครสักคนเพื่อถามไถ่สถานการณ์การ ก็ดันเหลือบไปเห็นว่าพี่ชายและหลี่หมิงอวินกลับมาแล้ว บนใบหน้าอันเคร่งขรึมของหลี่หมิงอวินแสดงให้เห็นชัดเจนว่าสถานการณ์เลวร้าย
“ชาวทู่เจวี๋ยบุกมาแล้วใช่หรือไม่” หลินหลันเดินเข้าไปเอ่ยถาม
หลี่หมิงอวินพยักหน้า “ตามที่ทหารสอดแนมรายงาน กองทัพทู่เจวี๋ยเริ่มก่อกวนด้วยกองกำลังทั้งหมดของเขา ไม่เกินครึ่งชั่วโมงคงตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน”
หลินหลันสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ เท่าที่นางรู้มา ทหารรักษาการณ์ที่นี่มีจำนวนแค่ห้าหมื่นนาย หลายวันก่อนอาซือน่านำทหารจำนวนเจ็ดหมื่นนายมาโจมตีซาอีอย่างหนัก จึงส่งผลให้ทหารบาดเจ็บไปหลายพันนาย ครั้งนี้หากบุกมาประชิดเมือง เช่นนั้นซาอีจะยังรักษาไว้ได้อีกหรือไม่
“แม่ทัพหลินให้ข้ารีบยกพลออกจากซาอีโดยด่วน” หลี่หมิงอวินกล่าวเสริม
“จะไปกันตอนนี้เลยหรือ” หลินหลันประหลาดใจ มาถึงซาอีวันแรกก็ดันเผชิญกับพวกทู่เจวี๋ยรุกคืบมาโจมตีเสียแล้ว โชคชะตาแบบนี้ไม่ใช่โชคดีอย่างธรรมดาทั่วไปเห็นๆ
หลี่หมิงอวินหรี่ตามองไปยังทิศทางหัวเมือง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “หยางเซี่ยนเว่ย!”
หยางว่านหลี่ก้าวขึ้นมาเบื้องหน้าพร้อมน้อมรับบัญชา
“ท่านช่วยส่งคนกลุ่มหนึ่งไปยังเส้นทางลำเลียงเสบียงที่หยางซานเพื่อตรวจสอบทีว่ามีความผิดปกติอันใดหรือไม่”
หากจะถอยก็ต้องมั่นใจให้ได้ว่าเส้นทางที่จะร่นถอยนั่นมีความปลอดภัย ในเมื่อชาวทู่เจวี๋ยลอบโจมตีไป๋หู่กวนได้ จึงเป็นการยากที่จะรับประกันได้ว่าพวกมันจะไม่แทรกซึมเข้าสู่หยางซานอีกครั้ง
หยางว่านหลี่น้อมรับคำสั่งแล้วถอยออกไป
หลินหลันกล่าว “เช่นนี้ข้าก็ขอไปเตรียมตัวไว้ด้วยเช่นกัน” หากรู้แต่แรกว่ามาไม่ทันไรก็ต้องไปเสียแล้ว นางจะเปลืองแรงยุ่งวุ่นวายขนาดนั้นไปเพื่ออันใดกัน!
หลี่หมิงอวินกำชับจ้าวจัวอี้ “ปกป้องฮูหยินให้ดีๆ ด้วย”
จ้าวจัวอี้ขานรับเสียงดังฟังชัด แล้วติดตามหลินหลันไป
หลินหลันเดินมุ่งหน้าไปยังบริเวณโรงหมออย่างรวดเร็วปานสายลม นางเห็นว่าคนที่นี่ดูไม่แตกตื่นลนลานกันเลยสักนิด ใครควรทำหน้าที่อะไรก็ตั้งหน้าตั้งตาทำไป ราวกับไม่รู้ว่ากองทัพทู่เจวี๋ยกำลังจะประชิดเมืองแล้ว
หลินหลันตามหาเหวินซานจนเจอ เห็นว่าเขากำลังยุ่งวุ่นวายอยู่กับการต้มยา “เหวินซาน รีบเตรียมพร้อมเร็วเข้า พวกเราจะต้องถอนกำลังออกจากที่นี่แล้ว”
เหวินซานตะลึงงัน “หา? ต้องถอนกำลัง? กองทัพทู่เจวี๋ยกำลังจะมาแล้วมิใช่หรือขอรับ พวกเราไม่อยู่ที่นี่เพื่อคอยช่วยเหลือหรอกหรือขอรับ”
เอ่อ! นางก็อยากอยู่เช่นกัน! ทว่านี่ไม่ใช่การต่อสู้เพียงกลุ่มคนไม่กี่คน มันเป็นการสู้รบอันถึงแก่ชีวิตด้วยจำนวนคนหลายหมื่นคน ความปลอดภัยของหมิงอวินเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่ง!
“มัวพูดอันใดอยู่ได้ รีบไปจัดการเร็วเข้า” หลินหลันไม่เหลือเวลาพอที่จะมานั่งอธิบายให้เขาฟัง
“พวกเจ้ามิต้องตื่นตระหนกเพียงนี้หรอก มีแม่ทัพหลินอยู่ทั้งคนยังต้องกลัวอันใดอีกหรือ” หมอทหารอาวุโสผู้หนึ่งกล่าวอย่างเนิบช้า
ทหารที่มีผ้าคล้องแขนนายหนึ่งกล่าวด้วยความมั่นอกมั่นใจ “นั่นสิ อย่าว่าแต่พวกทู่เจวี๋ยมีทหารจำนวนแสนนายเลย ต่อให้มาอีกหลายแสนนาย แม่ทัพหลินก็มีวิธีจัดการพวกมันอยู่ดี”
หลินหลันไม่ปฏิเสธในความสามารถและความกล้าหาญของแม่ทัพหลิน ในประวัติศาสตร์ก็มีตัวอย่างที่ว่าจำนวนน้อยชนะจำนวนมากอยู่เช่นกัน อย่างเช่นสงครามเฝยสุ่ยแห่งราชวงศ์จิ้น อย่างเช่นสงครามเผาทัพโจโฉ นั่นล้วนเหตุการณ์ที่ใช้กลยุทธ์การวางแผน ตอนนี้ศัตรูบุกเข้ามาโดยคำนึงจากจำนวนทหารของทางด้านเรา เมื่อทหารทั้งสองฝ่ายพุ่งเข้าหากันอย่างไม่คิดชีวิต ต่อให้แม่ทัพหลินเก่งกาจเพียงใด ด้วยลำพังความเก่งกาจของเขาผู้เดียวก็ช่วยไม่ได้เช่นกัน ทุกคนล้วนหน้ามืดตามัวเชื่อมั่นในตัวแม่ทัพหลินเกินไปแล้วกระมัง!
“เจ้ามิเชื่อหรือ” ทหารผู้นั้นเอียงศีรษะ ชำเลืองมองหลินหลันสี่สิบห้าองศา “ไม่เชื่อก็รอดูแล้วกัน”
รอดู? นางก็อยากอยู่รอดูความเก่งกาจและความกล้าหาญของแม่ทัพหลินเช่นกันว่าจะอาศัยกองทัพห้าหมื่นนายเอาชนะศัตรูหนึ่งแสนนายได้อย่างไร แต่หากหลี่หมิงอวินต้องการถอนกำลัง นางก็ต้องติดตามไปด้วยเป็นที่แน่นอน หลินหลันเม้มริมฝีปากก่อนกล่าวขึ้น “เหวินซาน รีบไปเก็บข้าวของเร็วเข้า วัตถุดิบยา พวกเราเอาติดไปแค่สามส่วนก็พอ”
เหวินซานส่งเสียง อ้อ แล้วจึงเรียกบรรดาบุรุษพยาบาลมาช่วยกันจัดระเบียบวัตถุดิบยา
หลินหลันนำวัตถุดิบยาออกไปจากโรงหมอ เมื่อเห็นทหารจำนวนมากแบกถังน้ำขนาดใหญ่มุ่งหน้าไปยังหัวเมือง ด้วยความสงสัยหลินหลันจึงรั้งทหารนายหนึ่งไว้แล้วเอ่ยถาม “นี่พวกเจ้ากำลังทำอะไรกันหรือ”
นายทหารกล่าว “นี่เป็นความคิดของแม่ทัพหลิน ให้นำน้ำไปเทบนกำแพงเมือง ด้วยสภาพอากาศประเภทนี้มันจะแข็งตัวได้อย่างรวดเร็ว ชาวทู่เจวี๋ยคิดจะปีนขึ้นมา พวกมันคงได้ลื่นไถลตกลงไปตายเสียก่อน”
หลินหลันเผยสีหน้าประหลาดใจปนตกตะลึง แบบนี้ก็ได้ด้วยหรือ ภายในนึกประหลาดใจอย่างยิ่ง หลินหลันหันไปสั่งการเหวินซาน “เจ้านำสิ่งของส่งกลับไปที่จวนแม่ทัพก่อนแล้วกัน ข้ายังมีเรื่องต้องจัดการอีกนิดหน่อย”
เหวินซานเป็นคนซื่อๆ เขาจึงนำพาคนกลับไปก่อนโดยไม่นึกสงสัยเป็นอื่นใด ขณะที่จ้าวจัวอี้กลับกล่าวขึ้นด้วยความกลัดกลุ้ม “พี่สะใภ้ ท่านยังมีเรื่องอื่นใดต้องจัดการอีกหรือ”
หลินหลันยิ้มกรุ้มกริ่มแล้วกล่าว “ตอนนี้ชาวทู่เจวี๋ยยังมาไม่ถึง พวกเราไปสอดส่องทางหัวเมืองหน่อยแล้วกัน”
จ้าวจัวอี้เผยสีหน้าตื่นตระหนก “พี่สะใภ้ นี่มิได้เชียวนะขอรับ แถวกำแพงเมืองมันเป็นที่ที่อันตรายอย่างยิ่งนะขอรับ”
“ไม่ได้เปิดประตูเสียหน่อย จะมีอันใดอันตรายหรือ” หลินหลันกล่าวขณะเดินมุ่งหน้าไปยังกำแพงเมือง จ้าวจัวอี้กระทืบเท้าด้วยความร้อนรนใจ เขาเร่งรีบให้คนใต้บัญชากลับไปรายงานใต้เท้าหลี่ จากนั้นตนเองจึงรีบติดตามนางไป
บนกำแพงเมือง สายลมหนาวเหน็บพัดผ่านประหนึ่งคมมีดกรีดบนใบหน้าสร้างความเจ็บปวด หลินหลันอดบ่นไม่ได้ ชาวทู่เจวี๋ยพวกนี้ก็เป็นจริง สภาพอากาศเลวร้ายเพียงนี้แล้วยังออกมาสู้รบอีก ไม่กลัวแข็งตายบ้างหรือไรกัน
นางหมอบลงบนส่วนกำแพงที่เป็นเกราะกำบังและมีช่องว่างขนาดย่อมเพื่อมองลงไป เห็นเพียงบนกำแพงเมืองเต็มไปด้วยสีขาวโพลนส่องแสงประกายวิบวับ มันจับตัวเป็นน้ำแข็งแล้วจริงๆ อีกทั้งยังค่อนข้างหนาเสียด้วย
“พี่สะ…หมอหลินขอรับ เช่นนี้มันอันตรายนะขอรับ…” จ้าวจัวอี้ตระหนกตกใจจนหัวใจเต้นระรัวเมื่อเห็นหลินหลันหมอบอยู่บริเวณเกราะกำบังของกำแพง หน้าที่ของเขาในตอนนี้มันไม่ง่ายเลยจริงๆ!
นายทหารที่กอบกุมดาบหอกไว้ในมือข้างหนึ่งซึ่งยืนอยู่ด้านข้างจ้องมองจ้าวจัวอี้ด้วยสายตาดูหมิ่น ก่อนบ่นพึมพำ “ขี้ขลาด”
แม้จ้าวจัวอี้จะอึดอัดใจ แต่ก็ไม่อาจต่อปากต่อคำกลับคืนได้
“มีรายงานขอรับ…” ทหารสอดแนมรายหนึ่งทะยานขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เขาวิ่งมาหยุดเบื้องหน้าแม่ทัพหลิน “ทหารม้าของทู่เจวี๋ยใกล้มาถึงหลุมกับดักม้าแล้วขอรับ”
แม่ทัพหลินยังคงเผยสีหน้าดังเดิมและกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “สอดส่องต่อไปอีก”
ทหารสอดแนมวิ่งลงไปตามทางอย่างรวดเร็วอีกครั้ง
“ขุดหลุมกับดักม้าเอาไว้ด้วยหรือ! มันจะใช่ได้ผลหรือ” หลินหลันเอ่ยถามนายทหารผู้ที่ดูถูกจ้าวจัวอี้ผู้นั้นด้วยเสียงบางเบา
นายทหารเผยสีหน้าภาคภูมิใจ “หลุมกับดักม้านี่เพิ่งขุดเสร็จเมื่อสองวันที่ผ่านมานี้ มีทั้งหมดสามแนว แนวแรกหลุมลึก แนวที่สองและแนวที่สามก้นบึ้งปักไว้ด้วยไม้ไผ่แหลมและตะปู เมื่อคนและม้าตกลงไป ไม่ตายก็คงปางตายเช่นกัน รอดูแล้วกัน! ครานี้ทหารม้าทู่เจวี๋ยต้องพ่ายแพ้ยับเยิน”
หลินหลันอดรำพึงรำพันขึ้นมาในใจไม่ได้ ล้ำเลิศจริงๆ! ชาวทู่เจวี๋ยมาอย่างดุดัน คงคาดไม่ถึงว่า ทหารม้ายังไม่ทันเข้าใกล้ซาอีก็พ่ายแพ้เสียแล้ว ทั้งยังเป็นการพ่ายแพ้อย่างยับเยินเสียด้วย!
หลินหลันจ้องมองแม่ทัพหลินที่อยู่ในชุดขาวดำซึ่งอยู่ไม่ไกลออกไป กำลังยืนตัวตรงประหนึ่งลำต้นสน ทันใดนั้นจึงสัมผัสได้ถึงภาพลักษณ์ของบุคคลผู้นี้อย่างบุรุษผู้แข็งแกร่งกล้าหาญและเต็มไปด้วยพลังยิ่งขึ้นกว่าเดิม
จ้าวจัวอี้ก็เริ่มกระตือรือร่นขึ้นมาบ้างเช่นกัน เขาจ้องมองท้องนภาที่มืดมิดในบริเวณห่างไกล เลือดร้อนภายในใจพลุ่งพล่าน หากเข้าร่วมศึกด้วยได้ก็คงดี ระหว่างนั้นเขาจึงลืมไปอย่างสิ้นเชิงว่าก่อนหน้ายังร้อนใจเร่งเร้าให้หมอหลินกลับไป
ไม่นานนัก ทหารสอดแนมกลับมารายงานอีกครั้ง
“ทหารม้าระลอกแรกของชาวทู่เจวี๋ยตกลงไปสูกับดักม้าแนวแรกแล้วขอรับ คาดว่าสูญเสียม้าไปประมาณร้อยตัว ตอนนี้กำลังมุ่งหน้าไปยังกับดักแนวที่สองขอรับ”
หลินจื้อย่วนยังคงเผยสีหน้าดั่งเดิม ขณะที่ภายในใจกลับคิดคำนวณไม่เว้นว่าง ทู่เจวี๋ยมีทหารม้าทั้งหมดหมื่นนาย อาซือน่าถนัดใช้ทหารม้าเป็นกองหน้าในการต่อสู้ ทำท่าทางเสมือนไม่อาจหยุดยั้งได้ เช่นนั้นก็มาดูกันว่าครั้งนี้จะทำลายทหารม้าของเขาได้กี่ตัว
หลี่หมิงอวินได้ยินว่าหลินหลันไปยังกำแพงหัวเมืองจึงเกิดความร้อนรนใจอย่างยิ่ง เขารีบเรียกหลินเฟิงให้ไปตามหาหลินหลัน เพราะผู้อื่นไปไม่แน่ว่าจะชักจูงนางกลับมาได้
หลินเฟิงนำทหารรักษาการณ์สองนายมุ่งไปยังกำแพงหัวเมืองเพื่อตามหาน้องสาว
หลินหลันอยู่ในชุดบุรุษ รูปร่างไม่สูงใหญ่ ท่างกลางหมู่ทหารในชุดเกราะถือเป็นอะไรที่ไม่ง่ายต่อการตามหาเลยจริงๆ หลินเฟิงจึงส่งเสียงตะโกนเรียก “หมอหลิน…”
“ผู้ใดมาส่งเสียงโหวกเหวกแถวนนี้” หลินจื้อย่วนหันไปมองด้วยสีหน้าไม่พึงพอใจอย่างยิ่ง
ก็สมควรอยู่ ในเมื่อตอนนี้เป็นช่วงเวลาคับขันทุกคนต่างใจจดใจจ่อใช้สมาธิอย่างสูงเพื่อเตรียมความพร้อม และเสียงตะโกนของหลินเฟิงนี้ก็ช่างกะทันหันเกินไปจริงๆ
หลินเฟิงยังไม่เคยได้พบเจอแม่ทัพหลินผู้ทรงเกียรติมาก่อนหลังเดินทางมาถึงซาอี เวลานี้เมื่อพบเจอ เขาอดตกตะลึงไปชั่วขณะไม่ได้ คนผู้นี้ช่างหน้าตาคุ้นๆ เสียเหลือเกิน
หลินหลันเห็นพี่ชายถูกแม่ทัพหลินตำหนิ มีหรือจะกล้าโผล่หน้าออกไป นางทำเพียงดึงจ้าวจัวอี้แล้วกล่าวเสียงบางเบา “เจ้าเข้าไปบอกกล่าวหน่อยสิ ส่วนข้า…ข้ากลับก่อนละ” เมื่อเอ่ยจบนางก็รีบเผ่นแน่บไปทันที
จ้าวจัวอี้อยากจะยิ้มทั้งน้ำตา เขาทำได้เพียงเบียดเสียดเข้าไปหาหลินเฟิง
หลินจื้อย่วนเห็นคนผู้นี้ถูกตนเองตำหนิจนงงเป็นไก่ตาแตก ภายในใจยิ่งไม่พึงพอใจหนักขึ้นไปอีก ทว่า คนผู้นี้คงเป็นคนใต้บัญชาของใต้เท้าหลี่ เขาจึงพยายามสงบสติความโกรธเกรี้ยวแล้วกล่าวด้วยเสียงเย็นชา “มัวยืนเป็นตอไม้อยู่ทำไม ยังไม่รีบถอยออกไปอีก”
หลินเฟิงยกสองมือขึ้นคารวะแล้วถอยออกไป แต่ความสงสัยภายในใจกลับยิ่งทวีเพิ่มขึ้น ช่างละม้ายคล้ายคลึงกันเกินไปแล้วจริงๆ
จ้าวจัวอี้ดึงแขนเสื้อของหลินเฟิง
หลินเฟิงหันกลับไปมอง พบว่าเป็นจ้าวจัวอี้จึงรีบเอ่ยถามเสียงกระซิบ “น้องสาวข้าล่ะ”
จ้าวจัวอี้เม้มริมฝีปาก “พอเห็นเจ้ามา นางก็รีบเผ่นไปแล้ว”
เมื่อหลี่หมิงอวินเห็นหลินหลันกลับมา ก้อนหินขนาดใหญ่ที่อยู่ภายในใจก็เป็นอันร่วงหล่นลงไปทันที แต่กลับปรากฏไฟร้อนรนอัดแน่นเต็มท้องเข้ามาแทนที่ สตรีผู้นี้ ช่างไม่รู้ประสีประสาเกินไปแล้ว ถึงขั้นวิ่งไปถึงกำแพงหัวเมืองนั่น แต่ด้วยเห็นแก่ที่ทุกคนอยู่กันพร้อมหน้า หลี่หมิงอวินจึงไม่สะดวกที่จะตำหนินาง ทำได้เพียงชักสีหน้าเย็นชาใส่เพื่อแสดงให้เห็นว่าเขาโกรธเคืองอย่างยิ่ง
หลินหลันรู้ดีว่าเขากำลังโมโห นางจึงฉีกยิ้มให้อย่างระแวดระวังแล้วไปยืนอยู่ข้างเขาอย่างว่านอนสอนง่าย
เมื่อเห็นสีหน้าประจบสอพลอของนางนั้น เพลิงโกรธเกรี้ยวภายในใจของหลี่หมิงอวินก็มอดดับลงไปกว่าครึ่ง ถึงอย่างไรก็ยังรู้ดีว่าตนเองกระทำผิดไปแล้ว
“ใต้เท้าหลี่ ฟ่านเต๋อพร้อมเสี้ยวเว่ยท่านอื่นๆ ขอเข้าพบขอรับ” ทหารรักษาการณ์เข้ามากล่าวรายงาน
หม่าโหยวเหลียงกะพริบตาปริบๆ ชำเลืองมองไปยังหลี่หมิงอวิน ฟ่านเต๋อเป็นคนใต้บัญชาของเขา พวกเขาไม่กล่าวว่าจะพบเขา แต่กลับต้องการพบใต้เท้าหลี่? นี่คิดจะเล่นอันใดกันอีกหรือ
หลี่หมิงอวินชำเลืองมองไปยังหม่าโหยวเหลียงเช่นกัน ก่อนกล่าวขึ้น “ให้พวกเขาเข้ามา”
ฟ่านเต๋อพร้อมคนอื่นๆ เข้ามายังห้องโถง หลังจากนั้นก็คุกเข่าให้หลี่หมิงอวิน แล้วส่งเสียงดังฟังชัด “ใต้เท้าหลี่ ข้าพร้อมคนอื่นๆ ขออยู่ที่นี่เพื่อปราบศัตรูขอรับ”
หม่าโหยวเหลียงลุกขึ้นยืนทันทีทันใด จากนั้นจึงส่งเสียงตะคอก “เรื่องทางการทหาร ใช่หน้าที่ให้คนระดับพวกเจ้าเอ่ยปากออกมาหรือ”
หลี่หมิงอวินยกมือขึ้นเป็นสัญญาณ แสดงความหมายให้หม่าโหยวเหลียงอย่าได้ใจร้อนไป
ฟ่านเต๋อกล่าวเสียงดังกึกก้อง “กองทัพใต้บัญชาของแม่ทัพหนิงล้วนขึ้นไปบนกำแพงหัวเมืองแล้ว ข้าและคนอื่นๆ ได้แต่หลบอยู่ที่นี่แล้วจะถือว่าเป็นวีรบุรุษอันใดกัน หรือพวกเราพี่น้องค่ายเป่ยซานมาที่แห่งนี้ก็เพื่อรักษาชีวิตเอาไว้เท่านั้นหรือ”