หม่าโหยวเหลียงจ้องเขม็ง สีหน้าฟึดฟัดด้วยความโกรธเกรี้ยว อยากฟาดมือลงไปตบไอ้คนไร้สมองผู้นี้จนแทบทนไม่ไหว ต้องการรนหาที่ตายถึงเพียงนี้เชียวหรือ ถึงตอนนั้นพี่น้องของค่ายเป่ยซานคงเป็นได้แค่ทหารไร้ค่า จะอยู่หรือตายก็หาได้สนใจไม่ ส่วนคุณงามความชอบล้วนเป็นไอ้เด็กหนุ่มหนิงซิ่งนั้นช่วงชิงไป จะลงทุนลงแรงทั้งทีก็ต้องรู้จักใช้ให้มันถูกสถานที่ถูกเวลาไม่ใช่หรือ ไอ้ลูกน้องพวกนี้เหตุใดถึงไม่เข้าใจ ความเพียรพยายามอย่างหนักของเขาบ้าง
“ใช่เรื่องที่พวกเจ้าต้องเป็นเดือดเป็นร้อนหรือ ทุกคนแห่ไปสู้รบกันหมดแล้วผู้ใดจะมาอารักขาใต้เท้าหลี่ อย่าลืมสิว่าพวกเรามาที่นี่ด้วยภาระหน้าที่อันใด” แม้ว่าหม่าโหยวเหลียงจะอยากด่าทอมากเพียงใด แต่ติดที่ใต้เท้าหลี่อยู่ด้วย จึงทำได้เพียงอดกลั้นความโกรธเกรี้ยวไว้
ฟ่านเต๋อและคนอื่นๆ แสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่อาจตระหนักถึง ‘ความเพียรพยายามอย่างหนัก’ ของเขาได้ จึงกล่าวอย่างไม่ยอมน้อยหน้า “แม่ทัพหนิงนำพี่น้องทหารสองพันนายลงสู่สนามรบ อย่างน้อยๆ ก็ควรนับค่ายเป่ยซานเป็นส่วนหนึ่งด้วยนะขอรับ เรื่องของการบุกตะลุยโจมตีข้าศึกอันใดล้วนเป็นพี่ๆ น้องๆ ของค่ายซีซานพวกเขารับหน้า ทำให้พวกเราพี่น้องแห่งค่ายเป่ยซานดูเป็นคนประเภทขี้ขลาดตาขาวเห็นๆ”
หม่าโหยวเหลียงเดือดดาลจนถึงขีดสุด จึงก่นด่าออกไป “การปรับกองกำลังทหารเป็นรูปแบบเช่นไร ยังต้องให้เจ้ามาสั่งสอนด้วยหรือ พวกเจ้าช่วยตาสว่างหน่อย การปกป้องใต้เท้าหลี่ให้ปลอดภัยต่างหากที่เป็นภาระหน้าที่อันดับต้นๆ ขืนพูดจาเพ้อเจ้อไร้สาระอีก เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะปลดตำแหน่งของเจ้าเสีย ”
หลี่หมิงอวินกล่าวด้วยรอยยิ้มจางๆ “พวกท่านยึดมั่นและจริงจังต่อการรับใช้บ้านเมืองเช่นนี้ ช่างน่าเลื่อมใสยิ่งนัก เพียงแต่พวกท่านอย่าได้คิดว่าการถอนตัวก็คือการรักตัวกลัวตายไปเลย เรื่องหลายๆ เรื่องจำเป็นต้องยึดสถานการณ์เป็นหลัก”
หลินหลันไม่อาจเข้าใจการกระทำของหม่าโหยวเหลียงได้จริงๆ นางนึกถึงตอนแรกที่เกิดสงครามสวีโจวทังเอินปั๋วก็เป็นเช่นนี้ เพื่อรักษาอำนาจของตนเองไว้ จึงหนีไปในช่วงเวลาคับขัน ส่งผลให้กองทัพฉวนต้องสู้รบตามลำพัง ท้ายที่สุดกองทัพจึงพังพินาศ ว่ากันจากใจจริง การให้หม่าโหยวเหลียงอารักขา ก็ยังเป็นเรื่องที่ไม่อาจวางใจได้จริงๆ ด้วยเหตุนี้นางจึงพึมพำขึ้นโดยไร้สีหน้าอาการใดๆ “อย่างพวกท่านที่เอาแต่พร่ำเรียกค่ายเป่ยซานค่ายซีซานจนติดปาก แค่ฟังก็รู้แล้วว่ามิได้มีใจรวมกันเป็นหนึ่ง”
หลินหลันพึมพำแม้จะเป็นเสียงบางเบา ทว่าทุกคนภายในห้องโถงล้วนได้ยินกระจ่างชัดแจ้ง
สีหน้าหม่าโหยวเหลียงแปรเปลี่ยนไปฉับพลัน เขามีความรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกจากการถูกมองความคิดเล็กคิดน้อยได้อย่างทะลุปรุโปร่ง และผู้ที่กล่าวดันเป็นภรรยาของใต้เท้าหลี่ เขาจึงไม่สะดวกใจที่จะเสียมรรยาทใส่ แต่คำนี้หากเข้าไม่โต้แย้งสักหน่อย คนเขาจะกล่าวว่าเขาคิดไม่ซื่อเอาได้ จึงกล่าว “หมอหลินพูดประโยคนี้ออกมา ดูเหมือนจะเกิดความเข้าใจผิดไปหน่อยนะขอรับ! พวกข้ามาจากค่ายเป่ยซาน จึงพูดกันในชีวิตประจำวันจนเคยชินเสียแล้ว เป็นเรื่องธรรมดาที่จะไม่อาจแก้ความเคยชินนี้ได้ในช่างเวลาอันสั้น พวกเราล้วนเป็นคนตรงไปตรงมา ไม่รู้จักการอ้อมค้อมอันใดเหล่านั้น”
หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้มอย่างไม่แยแส “แม่ทัพหม่าอย่าร้อนใจไป ข้าเพียงแค่ว่าไปตามท้องเรื่องเท่านั้น ไม่ว่าพวกท่านมาจากค่ายเป่ยซานหรือมาจากค่ายซีซาน ล้วนเป็นทหารอารักขาที่ฮ่องเต้ทรงพระราชทานให้ทั้งสิ้น พวกท่านคอยแต่นำฐานะของตนเองพูดติดปากอยู่เรื่อย ผู้อื่นได้ยิน จึงเป็นการยากที่จะไม่คิดเป็นอื่น”
“หมอหลินพูดได้อย่างถูกต้องยิ่งนักขอรับ ในเมื่อทุกคนล้วนเป็นทหารอารักขาทั้งสิ้น แม่ทัพหนิงก็ควรปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเท่าเทียม จะนึกถึงแต่พี่น้องของตนเองในทุกๆ ครั้งที่มีเรื่องดีงาม แล้วเห็นพวกเราเป็นเสมือนลูกเมียน้อยมิได้” ฟ่านเต๋อผู้กระทำตามเจตจำนงของตนเพื่อให้ได้มาซึ่งชื่อเสียงและฐานะผู้นี้ ไม่รู้เช่นกันว่าเข้าใจความหมายในคำพูดของหลินหลันบ้างหรือไม่
หลี่หมิงอวินมองไปยังหม่าโหยวเหลียงโดยไม่แสดงสีหน้าใดๆ การเปิดประเด็นสองสามประโยคนี้ของหลินหลันก็เป็นสิ่งที่จำเป็นเช่นกัน ความมากเล่ห์เพทุบายของหม่าโหยวเหลียง อย่าคิดเชียวว่าคนอื่นเขาโง่เขลากันหมด
สีหน้าของหม่าโหยวเหลียงย่ำแย่หนักขึ้นกว่าเก่า เขาหันมายกสองมือขึ้นคารวะหลี่หมิงอวินแล้วกล่าว “ใต้เท้าหลี่ ข้ามิได้มีเจตนาอื่นใด หากใต้เท้าหลี่ไม่เชื่อมั่นก็แค่ขอพระราชทานพระราชโองการปลดข้าออกจากหน้าที่ได้เลยขอรับ”
หลี่หมิงอวินหลุดหัวเราะ ต้องการจะปลดเจ้าออกจากหน้าที่ ไยต้องประทานขอพระราชโองการให้วุ่นวายเพียงนั้นด้วย หม่าโหยวเหลียงคงลืมไปแล้วว่า เขามีอำนาจสูงสุดในกองทัพนี้ สั่งการและปลดหน้าที่ผู้ใดก็ได้ตามที่ต้องการ ที่ไม่แตะต้องเขา เพราะเกรงจะสร้างความไม่พึงพอใจให้บรรดาพี่น้องแห่งค่ายเป่ยซาน หากหม่าโหยวเหลียงตาสว่างได้ทันการณ์ก็แล้วไป หากยังมัวหน้ามืดตามัว เขาก็มีวิธีจัดการเช่นกัน
“แม่ทัพหม่าก็พูดเกินไปแล้ว เราจะไม่เชื่อมั่นในตัวแม่ทัพหม่าได้หรือ” หลี่หมิงอวินกล่าวอย่างสบายอกสบายใจ แล้วจึงหันไปกล่าวต่อฟ่านเต๋อและคนอื่นๆ “ความรู้สึกของพวกท่านข้าเข้าใจดี แม่ทัพหนิงก็มิได้มีเจตนามองพวกท่านอย่างดูถูกดูแคลนเช่นกัน พวกท่านออกไปกันก่อนเถอะ!”
ขณะกล่าว เสียงตะโกนเข่นฆ่าก็ดังสนั่นขึ้น พวกทู่เจวี๋ยบุกรุกมาถึงหัวเมืองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ผู้คนต่างมีสีหน้าเปลี่ยนไป หลี่หมิงอวินกล่าวขึ้นทันควัน “ทุกคนรีบไปรวมตัวกัน เตรียมรับมือการสู้รบให้พร้อม” ตอนนี้จะถอนกำลังพลไปได้หรือไม่ยังไม่อาจรับรู้ได้ ถึงอย่างไรการเตรียมพร้อมไว้ก่อนก็เป็นการดี
ฟ่านเต๋อพร้อมคนอื่นๆ น้อมรับบัญชาด้วยสีหน้าเคร่งขรึมก่อนถอยออกไป
หม่าโหยวเหลียงร้อนรนใจอยากออกไปอบรมสั่งสอนคนพวกนั้นเสียหน่อย จึงกล่าวขึ้นมาเช่นกัน “ข้าขอตัวออกไปเตรียมการสักหน่อยนะขอรับ”
หลี่หมิงอวินพยักหน้าเล็กน้อย
หลินหลันเห็นทุกคนล้วนออกไปกันหมดแล้ว จึงกล่าว “เห็นทีว่าคนของค่ายเป่ยซ่านก็เหลืออดกันแล้วเช่นกัน”
หลี่หมิงอวินกล่าวด้วยความอ่อนใจ “ล้วนเป็นชาวฮั่นด้วยกันทั้งนั้น หากแม่ทัพหม่าลดละทิฐิของตนเองได้ ก็คงช่วยเหลือได้มาก”
“เดาว่ากระตุ้นหม่าโหยวเหลียงอีกสักสามสี่ครั้ง บารมีของเขาก็คงเป็นอันหมดสิ้นแล้ว ถึงตอนนั้นค่อยดำเนินการจัดระเบียบกองทัพอีกครั้ง ค่ายเป่ยซาน ค่ายซีซานอะไรนั่น จับมาผสมกันให้หมด ให้มีเพียงท่ามกลางเจ้ามีข้า ท่ามกลางข้ามีเจ้า แล้วดูสิว่าเขาจะทำอันใดได้” หลินหลันหยาม
หลี่หมิงอวินเลิกคิ้ว เขาไตร่ตรองอย่างละเอียดถี่ถ้วน วิธีการนี้ยอดเยี่ยมทีเดียว จัดการให้ทั้งหมดผสมกันแล้วมัดรวมไว้เป็นหนึ่งเดียว
หลินเฟิงและจ้าวจัวอี้เดินเข้ามา
หลี่หมิงอวินเอ่ยถาม “สถานการณ์ด้านนอกเป็นเช่นไรบ้าง”
หลินเฟิงกล่าว “ชาวทู่เจวี๋ยเริ่มบุกอย่างหนัก ประตูตะวันออก ตะวันตก และเหนือ ทั้งสามแห่งถูกโจมตี”
“เจ้าไปจับตามองไว้หน่อย มีเหตุการณ์อันใดให้มารายงานได้ตลอดเวลา”
หลินเฟิงมองเห็นน้องสาว จึงนึกถึงความสงสัยที่อยู่ในใจขึ้นมาได้ เพียงแต่ตอนนี้สถานการณ์คับขัน ไม่ใช่เวลาที่จะมาพูดคุยจึงไม่เอ่ยปาก เขายกสองมือคารวะแล้วถอยออกไป
ครั้งนี้ชาวทู่เจวี๋ยมาพร้อมความแข็งแกร่ง ราวกับท่าทีที่ได้ปฏิญาณตนไว้ว่าทำลายเมืองไม่ได้ก็ไม่ขอยอมแพ้ บรรดาแม่ทัพของเมืองซาอีก็แข็งแกร่งยิ่งเช่นกัน การสู้รบดำเนินต่อเนื่องเป็นเวลาสองชั่วโมงเข้าไปแล้ว แต่ยังคงดำเนินต่อไปโดยไม่มีทีท่าจะจบลง
หลินหลันนึกขึ้นมาได้ว่าคงต้องมีทหารได้รับบาดเจ็บจำนวนมากเป็นแน่ นางอยากไปช่วยเหลือที่บริเวณโรงหมอเป็นอย่างยิ่ง ทว่าหลี่หมิงอวินไม่อนุญาต ตราบใดที่เขาพยักหน้ายินยอม การจะดึงตัวหลินหลันกลับมาอีกครั้งคงเป็นเรื่องยาก ด้วยสัญชาตญาณของการช่วยชีวิตผู้บาดเจ็บของนางนั้น เดาได้เลยว่านางคงไปช่วยชีวิตคนถึงหัวเมืองเป็นแน่ นั่นมันอันตรายเกินไป
หยางว่านหลี่เข้ามารายงานอย่างรีบร้อน “ใต้เท้าหลี่ ข้าน้อยส่งทหารสอดแนมออกไปสองชุด จนกระทั่งตอนนี้ยังไม่มีกลับมาเลยสักคน เกรงว่าส่วนหลังจะเกิดเรื่องไม่ชอบมาพากลเข้าแล้วนะขอรับ”
หลี่หมิงอวินเผยสีหน้าตื่นตกใจขึ้นมาชั่ววูบ และแล้วก็เป็นไปดังที่คาดการณ์ไว้จริงๆ ชาวทู่เจวี๋ยไม่ยอมลดละต่อเส้นทางส่งเสบียงในหยางซาน ตอนนี้หลี่หมิงอวินอดเป็นกังวลต่อความปลอดภัยของซาอีไม่ได้ และยิ่งไปกว่านั้น คือกังวลทางด้านเมืองเซิ่งโจวนั่น
หลินหลันร้อนรนใจไม่แพ้กัน “แล้วนี่จะทำอย่างไรกันดี เอาเรื่องที่ว่าพวกเราจะถอนทัพออกไปได้หรือไม่พักไว้ก่อน เกิดพวกทู่เจวี๋ยยึดเส้นทางส่งเสบียงที่หยางซานไว้ได้แล้วและบุกโจมตีเซิ่งโจวจะทำอย่างไรหรือ”
หยางว่านหลี่กล่าว “ประเด็นนี้มิต้องเป็นกังวลไปขอรับ ใต้เท้าเฝิงเพิ่มกำลังรักษาการณ์ชายแดนทั้งสามส่วนไว้อย่างแข็งแกร่ง รหัสผ่านเข้าประตูก็ปรับเปลี่ยนเป็นที่เรียบร้อยแล้วเช่นกัน การที่ชาวทู่เจวี๋ยคิดจะใช้แผนชั่วร้ายข้ามชายแดนเข้าไปจึงเป็นไปมิได้ หากจะบุกโจมตี ทั้งสามด่านนี้ล้วนเป็นภูมิประเทศที่อันตรายยิ่ง ง่ายต่อการรักษาการณ์แต่ยากสำหรับการเข้าโจมตี จึงไม่ง่ายดายเพียงนั้นขอรับ”
หลี่หมิงอวินเดินมือไพล่หลังวกไปวนมา แต่แล้วจู่ๆ ก็หยุดชะงักฝีก้าวลง ดวงตาคู่นั้นเป็นประกายวาววับราวกับตัดสินใจอย่างเด็ดขาด ก่อนกล่าวสั่งการ “หยางเซี่ยนเว่ย เรื่องนี้มิใช่เรื่องเล็กๆ ถึงอย่างไรคงต้องรบกวนท่านให้ตรวจสอบสถานการณ์ของเส้นทางส่งเสบียงในหยางซานให้กระจ่างชัดแจ้งด้วย”
หยางว่านหลี่กล่าวขึ้นทันควัน “ข้าน้อยน้อมรับบัญชา ข้าน้อยจะไปตรวจสอบสถานการณ์ให้ประจักษ์ด้วยตนเองขอรับ” เขากล่าวแล้วเตรียมเดินจากไป
หลี่หมิงอวินเรียกเขาขึ้นอีกครั้ง “ใต้เท้าหยาง…”
หยางว่านหลี่หันกลับมา “ใต้เท้าหลี่ยังมีอันใดสั่งการอีกหรือขอรับ”
หลี่หมิงอวินสูดหายใจเขาเฮือกใหญ่แล้วกล่าว “ท่านต้องระมัดระวังตัวให้มากๆ หากเห็นท่าไม่ดี ให้ถอนทัพออกมาทันที ยึดความปลอดภัยไว้เป็นอันดับแรก” หากไม่ใช่สถานการณ์พิเศษ หลี่หมิงอวินไม่มีทางให้หยางว่านหลี่ไปเสี่ยงอันตรายด้วยตนเองเป็นแน่ ดังนั้นจึงอดกล่าวกำชับไม่ได้
นัยน์ตาของหยางว่านหลี่เปล่งประกายเล็กน้อย “ข้าน้อยเข้าใจแล้วขอรับ”