สงครามดำเนินไปจนกระทั่งปรากฏแสงรุ่งอรุณยามฟ้าสาง แลกกับการที่เมืองซาอีต้องสูญเสียทหารสองพันนายและได้รับบาดเจ็บหกพันนาย จึงยับยั้งการรุกรานอันบ้าคลั่งของชาวทู่เจวี๋ยไว้ได้ แน่นอนว่าผู้บาดเจ็บล้มตายของทู่เจวี๋ยนับว่าสาหัสสากรรจ์กว่ามาก
เมืองซาอีที่ผ่านพ้นสงครามไปหมาดๆ เต็มไปด้วยความโกลาหลวุ่นวาย ประตูเมืองทั้งสามแห่งได้รับความเสียหายอย่างหนัก โดยเฉพาะประตูเมืองทิศเหนือที่ถูกปืนใหญ่ของฝ่ายศัตรูโจมตีจนเป็นรูพรุน
หลี่หมิงอวินรู้สึกกังวลอย่างยิ่ง ซาอีจะยังรองรับการต่อสู้อันแข็งแกร่งเยี่ยงนี้ได้อีกสักกี่ครั้ง
“แม่งเอ๊ย ศึกครั้งนี้มันสะใจจริงๆ โว้ย” ทั่วทั้งใบหน้าของหนิงซิ่งถูกควันไฟรมจนดำทมิฬ หลงเหลือเพียงดวงตาคู่โตทั้งสองข้างที่เผยให้เห็นความกระตือรือร้นหลังผ่านศึกสงครามอันหนักหน่วง
หลี่หมิงอวินชำเลืองมองเขา คนผู้นี้ช่างไม่ต่างจากคนที่เพิ่งปีนออกมาจากกองถ่านเลยสักนิด เก๋อเปียวและคนอื่นๆ ที่อยู่ด้านหลังก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าใดนัก
“คนของเราบาดเจ็บล้มตายไปเท่าใดหรือ” หลี่หมิงอวินเอ่ยถาม
หนิงซิ่งเรียกจางขุย จางขุยจึงเป็นผู้กล่าวตอบ “พี่น้องเราเสียชีวิตไปหลายสิบคน บาดเจ็บสาหัสไม่มากเท่าใดนัก บาดเจ็บเล็กๆ น้อยๆ สองร้อยกว่าคนขอรับ”
สถานการณ์บาดเจ็บล้มตายด้วยอัตราเท่านี้ถือว่าน้อยกว่าที่หลี่หมิงอวินได้คาดการณ์ไว้ล่วงหน้า เขามองดูบรรดาทหารที่อยู่บริเวณโดยรอบซึ่งกำลังยุ่งวุ่นวายกับการซ่อมแซมสิ่งก่อสร้างและเก็บกวาดสนามรบ หลังฟาดฟันกันมาตลอดทั้งค่ำคืนยังไม่ทันได้พักหายใจหายคอก็ต้องเตรียมรับมือต่อการสู้รบครั้งต่อไป ภายในใจของหลี่หมิงอวินรู้สึกหนักอึ้งเป็นพิเศษ การสู้รบเช่นนี้มันช่างโหดร้ายเกินไป
“พวกเจ้าออกไปพักผ่อนก่อนเถอะ ได้ยินว่าแม่ทัพหลินได้รับบาดเจ็บ ข้าจะเข้าไปดูเสียหน่อย” หลี่หมิงอวินบอกกล่าวแล้วจึงมุ่งไปยังจวนแม่ทัพ
หลินเฟิงรออยู่ด้านนอกประตู กำลังก้าวเดินไปมาด้วยความกระวนกระวาย เมื่อเห็นหลี่หมิงอวินเดินมาจึงรีบเดินเข้าไปหาทันที “ใต้เท้า…”
“แม่ทัพหลินเป็นเช่นไรบ้างหรือ”
หลินเฟิงส่ายหน้า “หมอทหารอยู่ด้านใน ตอนนี้ยังไม่ทราบแน่ชัด”
หลังรอคอยอยู่พักใหญ่ หมอทหารเดินถือถาดออกมา ในถาดมีกรรไกรอาบโลหิตหนึ่งด้าม เขากล่าวว่าโชคดีที่หัวลูกศรไม่ได้อาบยาพิษ จึงแค่ทำให้หัวไหล่ได้รับบาดเจ็บเท่านั้น แต่นั่นก็ทำให้ยิงธนูไม่ได้ไปอีกระยะหนึ่ง หากปากแผลปริขึ้นมาอีก เช่นนั้นคงเป็นการยากที่จะรักษาให้หายขาดได้
แม่ทัพหลินที่อยู่ภายในบ้านส่งเสียงตะโกนเล็ดลอดประตูออกมา “หมอหู ท่านช่วยปล่อยข่าวลือสร้างความตื่นตระหนกให้มันน้อยๆ หน่อย รีบไปทำธุระของท่านเสีย ใต้เท้าหลี่ เชิญเข้ามาเถิด”
หมอหูส่ายหน้าแล้วเดินจากไปพร้อมถาดในมือ
หลี่หมิงอวินและหลินเฟิงเดินเข้าไปในบ้าน เห็นบริเวณไหล่ของแม่ทัพหลินพันไว้ด้วยผ้าจนเป็นชั้นหนา เขากำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่ที่คลุมไว้ด้วยหนังเสือ มองดูสีหน้าไม่เลวทีเดียว หลี่หมิงอวินแอบรำพึงรำพันอยู่ลึกๆ คนเหล่านี้ถูกหลอมขึ้นจากเหล็กหรืออย่างไรกัน
“ใต้เท้าหลี่ เหตุใดท่านถึงยังไม่ถอนทัพ” หลินจื้อย่วนเงยหน้าขึ้นแล้วเอ่ยถาม
หลี่หมิงอวินกล่าว “ไปมิได้ขอรับ”
หลินจื้อย่วนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ทำไมหรือ เจ้าเกรงว่าข้าจะรับมือไม่ไหวหรือไรกัน”
หลี่หมิงอวินกล่าวด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย “เส้นทางลำเลียงเสบียงที่หยางซานดูเหมือนจะเกิดปัญหาขึ้นขอรับ”
รอยยิ้มของหลินจื้อย่วนมลายหายไป สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมจริงจังทันที เขาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงร้อนใจ “เกิดอันใดขึ้นหรือ”
หลินเฟิงกล่าวตอบ “ใต้เท้าของพวกเราสั่งการให้คนไปสอดส่องเส้นทางล่วงหน้า ด้วยเกรงว่าชาวทู่เจวี๋ยจะรุกคืบเข้ามาในหยางซานอีก ผลปรากฏว่า กลุ่มทหารสอดแนมที่ส่งออกไปล้วนหายเงียบ ตอนนี้หยางว่านหลี่เซี่ยนเว่ยจึงนำกองกำลังทหารไปตรวจสอบด้วยตนเองขอรับ”
“หยางว่านหลี่?” หลินจื้อย่วนครุ่นคิดอย่างหนักขึ้นมา หยางว่านหลี่ผู้นี้เขาได้ยินคำร่ำลือมาเนิ่นนาน เคยเป็นคนใต้บังคับบัญชาของจิ้งปั๋วโหว์ซึ่งเป็นผู้ชำนาญในการสะกดรอยตาม เมื่อเขาออกโรงด้วยตนเองก็น่าจะไม่มีปัญหาอันใด ตอนนี้ที่เขาไม่เข้าใจคือ ชาวทู่เจวี๋ยแทรกซึมเข้าไปในหยางซานอีกครั้งทำไม่หรือ คิดจะตลบหลังเมืองซาอีเช่นนั้นหรือ พวกเขาไม่เกรงกลัวว่าจะตกอยู่ในวงล้อมของศัตรูบ้างหรือไร คิดจะโจมตีไป๋หู่กวน? นั่นเป็นเขตพื้นที่ง่ายต่อการป้องกันแต่ยากแก่การโจมตี ครั้งก่อนด้วยความโชคดี พวกมันจึงแอบบุกรุกได้สำเร็จ แต่มีหรือจะชะล่าใจให้พวกมันได้คว้าโอกาสอย่างง่ายดายเป็นครั้งที่สอง
“รอหยางเซี่ยนเว่ยตรวจสอบสถานการณ์ให้ชัดเจน พวกเราก็จะได้รู้ว่าชาวทู่เจวี๋ยมันคิดจะทำอันใดกันแน่ ตอนนี้ประเด็นสำคัญคือชาวทู่เจวี๋ยจะยกพลกลับมาอีกครั้งหรือไม่ ข้าเห็นเมืองซาอีเสียหายอย่างหนักทีเดียว จึงเกรงว่าจะยากต่อการรับมือการต่อสู้อันดุเดือดอีกครั้งน่ะขอรับ” หลี่หมิงอวินกล่าวด้วยความกังวล
หลินจื้อย่วนก็รู้สึกหนักใจอย่างยิ่งเช่นกัน “ชาวทู่เจวี๋ยไม่เคยเข้าโจมตีซาอีในรูปแบบหนักหน่วงเช่นนี้มาก่อน ราวกับหากยึดเมืองนี้ไม่ได้ก็จะไม่ยอมเลิกราเป็นอันขาด เวลานี้ทหารรักษาการณ์ของเมืองเซิ่งโจวมีจำนวนไม่มากนัก กองทัพที่ออกไปทำศึกตะวันตกเฉียงเหนือก็ยังไม่กลับมา ซาอีจึงไร้กองทัพสนับสนุน การจะรับมือเป็นเรื่องยากจริงๆ” เขาชะงักไปชั่วขณะ ก่อนกล่าวขึ้นด้วยความมั่นใจ “ทว่า ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องยืนหยัดต่อไปให้ได้อีกหนึ่งเดือน หลังพ้นหนึ่งเดือน กองทัพตะวันตกเฉียงเหนือจะกลับมาถึงอย่างแน่นอน”
หลินเฟิงคอยสังเกตทุกการเคลื่อนไหวของหลินจื้อย่วนตลอดเวลา ด้วยอยากนำคนเบื้องหน้าผู้นี้เปรียบเทียบกับคนที่อยู่ในความทรงจำอันแสนยาวนาน
“ท่านแม่ทัพ ได้ฟังสำเนียงการพูดของท่าน เสมือนเป็นคนแถบเจียงเจ๋อเลยนะขอรับ” หลินเฟิงอดเอ่ยปากขึ้นไม่ได้
หลินจื้อย่วนถูกคำถามนอกเรื่องนี่สร้างความตะลึงงันไปชั่ววูบ เขาจึงมองไปยังชายหนุ่มผู้นี้อย่างเพ่งพินิจ มองดูนัยน์ตาคู่ปราดเปรื่องของเขาซึ่งปราศจากการให้ความรู้สึกประเภทคิดจะประจบสอพลอ จึงกล่าว “ถูกต้อง ข้าเป็นชาวหูโจว”
หลินเฟิงตระหนกตกใจในทันที หูโจว เขาเป็นชาวหูโจวจริงๆ ด้วย
เมื่อเห็นเขาเผยสีหน้าตกตะลึงปนประหลาดใจ หลินจื้อย่วนจึงหลุดหัวเราะขึ้นมาเล็กน้อย “ทำไมหรือ มีอะไรผิดปกติหรือ”
“ไม่ ไม่มีอันใดขอรับ” หลินเฟิงไม่รู้ว่าควรอธิบายความรู้สึกตกตะลึงภายในใจอย่างไร ตอนนี้เขามีความมั่นใจเกือบเต็มเปี่ยมแล้วก็ว่าได้
หลี่หมิงอวินมองดูสีหน้าของหลินเฟิงที่แปลกประหลาดไป จึงส่งเสียงกระแอมสองครั้งแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “หากเป็นเช่นนี้ ข้ากับท่านแม่ทัพก็ถือว่าเป็นคนบ้านเดียวกันเช่นกันนะขอรับ ท่านตาท่านยายข้าเป็นคนเฟิงอานขอรับ”
หลินจื้อย่วนหัวเราะร่า “เช่นนี้ข้ากับใต้เท้าก็นับว่ามีโชคชะตาต่อกันสินะ”
ทันใดนั้นจากหัวข้อสนทนาทางการทหารก็เปลี่ยนไปเป็นเรื่องโชคชะตาของการได้พบเจอคนบ้านเดียวกัน แม้แต่หลี่หมิงอวินเองยังรู้สึกว่าไม่ค่อยเหมาะสมนัก ในเมื่อมันผิดที่ผิดเวลาเห็นๆ เฮ้อ! รีบเก็บหัวข้อสนทนานี้เอาไว้ก่อนแล้วกัน จะได้ให้แม่ทัพพักผ่อนอย่างเต็มที่ เขาจึงขอตัวลา
เมื่อพ้นประตูออกไป หลี่หมิงอวินเอ่ยถามหลินเฟิงด้วยเสียงกระซิบ “เหตุใดเจ้าถึงเอ่ยคำถามนี้ขึ้นมา”
หลินเฟิงพึมพำอย่างใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว “ไม่มีอะไร ก็แค่ถามดูเท่านั้น”
ถึงอย่างไรตอนนี้ก็ยังไปไหนไม่ได้ หลินหลันจึงได้รับอนุญาตให้ไปช่วยเหลือทางด้านโรงหมอ บริเวณโรงหมอมีหมอขุนนางทั้งหมดเจ็ดแปดท่าน บุรุษพยาบาลจำนวนสิบกว่านาย จากการสู้รบครานี้ส่งผลให้มีจำนวนผู้บาดเจ็บไม่น้อย บริเวณโรงหมอจึงเต็มไปด้วยผู้บาดเจ็บ ทุกคนเร่งรีบกันจนไม่แม้แต่จะมีเวลาเข้าห้องน้ำ
“เอ้…เจ้าฟาดฟันไปแล้วกี่คนหรือ”
“มีเวลาให้มัวนับอยู่ที่ไหนกันล่ะ! ทางด้านนี้เพิ่งฟันล้มไป ทางด้านนั้นลุกขึ้นมาอีกแล้ว ไม่ต่างจากการตัดกุยช่ายเลยสักนิด ตัดต้นไปแล้วแท้ๆ ยังจะงอกขึ้นมาใหม่อีก”
นายทหารสองนายกำลังพูดคุยว่าเข่นฆ่าทหารศัตรูไปได้จำนวนเท่าใด สร้างความสนอกสนใจให้แก่คนรอบข้างขึ้นมาเช่นกัน
“การต่อสู้ครั้งนี้สะใจชะมัด พวกทู่เจวี๋ยสารเลวนั่นโดนปืนใหญ่เข้าไปถึงขั้นร้องหาพ่อหาแม่กันเลยทีเดียวเชียว…”
“ไอ้พวกทู่เจวี๋ยสารเลวนี่แม่งไม่รู้จักกลัวตายจริงๆ ไม่เคยเห็นผู้ใดบ้าคลั่งได้เพียงนี้มาก่อน แม้แต่บันไดก็ยังขี้เหนียว ถึงได้เหยียบย่ำศพของสหายเพื่อปีนขึ้นมา…”
“นั่นสิ! ข้าก็เพิ่งเคยเห็นอะไรที่โหดเหี้ยมเพียงนี้เป็นครั้งแรกเช่นกัน เห็นทีว่าองค์ชายลัวตัวผู้นั้นคงอยากเอาชนะพวกเราให้ได้! ทว่ามีแม่ทัพหลินอยู่ทั้งคน เขาคิดจะคว้าชัยชนะ คงไม่ง่ายดายเพียงนั้นหรอก”
“แม่ทัพหลินนั่นช่างเป็นผู้ชาญฉลาดและกล้าหาญจริงๆ เพียงแค่ง้างคันธนู ก็ล้มคนได้คนแล้วคนเล่าได้ด้วยลูกศรธนู…”
ทุกคนพูดคุยกันอย่างถึงพริกถึงขิงจนลืมความเจ็บปวดบนร่างกายไปแล้วก็ว่าได้
หลินหลันได้ยินพวกเขาพูดคุยถึงปืนใหญ่อะไรนั่น จึงเกิดความรู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่ง มิน่าล่ะถึงได้ยินเสียงระเบิด ที่แท้เป็นการยิงปืนใหญ่นี่เอง! มีอาวุธดีงามเพียงนี้เชียวหรือ เช่นนั้นยังต้องเกรงกลัวชาวทู่เจวี๋ยไปทำไมกัน!
หลินหลันเขยิบเข้าไปเอ่ยถาม “ปืนใหญ่นั่นเป็นเช่นไรหรือ”
ทหารนายหนึ่งกล่าว “เจ้าไปดูบนกำแพงเมืองเดี๋ยวก็รู้เองมิใช่หรือ”
หลินหลันส่งเสียง ‘เชอะ’ แล้วไปจัดการภาระงานของตนเองต่อไป นางไม่พูดพร่ำทำเพลง ไว้รอจัดการบรรดาทหารหนุ่มๆ ที่ได้รับบาดเจ็บเหล่านี้ให้เรียบร้อย นางค่อยเดินไปดูให้เห็นกับตาด้วยตนเองก็ย่อมได้
หลินเฟิงมาหาหลินหลันที่โรงหมอ เขาดึงหลินหลันออกมาด้านนอก
“พี่ใหญ่ ท่านทำอะไรของท่าน ไม่เห็นหรือไรว่าข้ากำลังยุ่งอยู่”
“น้องพี่ พี่มีเรื่องสำคัญต้องพูดคุยกับเจ้า” หลินเฟิงดึงหลินหลันไปยังพื้นที่ค่อนข้างลับสายตาคน เตรียมบอกกล่าวสิ่งที่เขาค้นพบต่อผู้เป็นน้องสาว
“เรื่องสำคัญอะไรหรือ ยังมีเรื่องอะไรสำคัญกว่าการรักษาชีวิตผู้บาดเจ็บอีกหรือ” หลินหลันมองบนใส่เขาก่อนบ่นอุบอิบ
“เจ้าไม่รู้สึกหรือไรว่าท่านแม่ทัพหลินหน้าตาคุ้นๆ” หลินเฟิงเอ่ยถาม
หลินหลันกล่าวด้วยความประหลาดใจ “ไม่นี่!”
หลินเฟิงลองไตร่ตรองดู ก็จริงอยู่ ยามที่บิดาจากมา น้องสาวเพิ่งอายุสี่ขวบ จึงเป็นธรรมดาที่จะจำไม่ได้ หลินเฟิงจึงกล่าวขั้นอีกครั้ง “เมื่อครู่ข้าถามไถ่แม่ทัพหลิน เขาเอ่ยว่าเขาเป็นชาวหูโจว”
“ชาวหูโจวแล้วอย่างไรหรือ” หลินหลันทะลุมิติมา แม้จะได้รับการถ่ายทอดความทรงจำบางส่วนของเจ้าของร่าง ทว่าในส่วนประเด็นนี้นางยังคงปะติดปะต่อไม่ค่อยได้เท่าไรนัก นางจำได้แค่เรื่องราวของสองสามปีก่อนเท่านั้น ซึ่งก็หมายความว่า หลินหลันในตอนนี้ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าดั้งเดิมตนเองเป็นชาวหูโจว
หลินเฟิงมองน้องสาวด้วยอาการตกตะลึง “น้องพี่ ความจำของเจ้าก็ช่างย่ำแย่เกินไปแล้วกระมัง!” กระทั่งตนเองเป็นคนจากแห่งหนไหนก็ยังลืมเสียได้
หลินหลันนิ่งเงียบ นางเป็นตัวปลอมที่ห่วยแตกที่สุดผู้หนึ่งก็ว่าได้ แล้วจะจดจำเรื่องราวเหล่านั้นได้ที่ไหนกัน
“พี่ใหญ่ สรุปแล้วท่านต้องการพูดอันใดกันแน่” หลินหลันเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“น้องพี่ ตอนที่เจ้ายังเด็ก…”
“หมอหลิน หมอหลิน…”
หลินเฟิงเพิ่งเปิดประเด็น ก็ได้ยินเสียงคนตะโกนเรียกหมอหลิน
หลินหลันจึงรีบกล่าวทันควัน “พี่ใหญ่ มีเรื่องอะไรเอาไว้ค่อยว่ากันอีกทีนะ ตอนนี้ข้ายุ่งมาก ข้าไปก่อนละ” หลินหลันวิ่งมุ่งหน้ากลับไปยังโรงหมอขณะกล่าว
หลินเฟิงถอนหายใจเฮือกใหญ่ ช่างเถอะ ไว้รอรบราให้เสร็จสิ้นแล้วค่อยว่ากันอีกที!
หลินหลันยุ่งวุ่นวายจนท้องนภามืดสลัว ได้ยินเพียงเสียงคนตะโกนถามไถ่ “มือขว้างหินล่ะ หากยังมีชีวิตอยู่ก็ช่วยส่งเสียงด้วย”
หลินหลันเงยหน้าขึ้นมอง เป็นฟางเจิ้นนั่นเอง
ทหารนายหนึ่งลุกขึ้นมาอย่างโซซัดโซเซ “ฟางเสี้ยวเว่ย ข้าน้อยยังมีชีวิตอยู่ขอรับ!”
ตามด้วยคนอีกจำนวนหนึ่งลุกขึ้นยืนตามๆ กัน
ฟางเจิ้งหรี่ตามองพวกเขา แล้วเอ่ยขึ้นขณะชี้นิ้วไปยังผู้ได้รับบาดเจ็บค่อนข้างเล็กน้อยสองนาย “เครื่องขว้างหินเสีย พวกเจ้าต้องคิดหาวิธีเร่งซ่อมแซมมัน เกิดพวกทู่เจวี๋ยบุกมาอีกก็คงไม่อาจใช้การปืนใหญ่ได้”
เอ่อ! นางคิดว่าปืนใหญ่เป็นปืนขนาดใหญ่ที่ยิงออกไปเสียอีก ที่แท้เป็นการใช้เครื่องขว้างหินนี่เอง อานุภาพความรุนแรงเทียบเท่ากับปืนใหญ่ไม่ได้เลยสักนิด เผชิญหน้าศัตรูแข็งแกร่งเช่นนี้ แต่กลับปราศจากอาวุธที่ยอดเยี่ยม ลำพังการไม่กลัวตายคงไม่เป็นประโยชน์ไปได้เท่าไรหรอก หลินหลันรีบละมือจากภาระงานที่ทำอยู่แล้ววิ่งตามฟางเจิ้นออกไป
“ฟางเสี้ยวเว่ย ฟางเสี้ยวเว่ย...”
ฟางเสี้ยวเว่ยชะงักฝีก้าวลงแล้วหันกลับมา “หมอหลิน มีเรื่องอันใดหรือ”
หลินหลันเอ่ยถามด้วยสีหน้าระรื่น “ข้าอยากถามหน่อยว่า นอกจากปืนใหญ่แล้วพวกเรายังมีอาวุธอื่นที่พลังทำลายล้างศัตรูยิ่งใหญ่กว่านี้อีกหรือไม่”
ฟางเสี้ยวเว่ยหลุดหัวเราะ “หากมี เวลานี้แม่ทัพหลินก็คงไม่ต้องกลัดกลุ้มแล้วละ หากไม่มีธุระอื่นใดแล้ว ข้าขอตัวก่อนละ ยังต้องนำคนไปขุดหลุมกับดักม้าอีก”
ยังจะขุดหลุมกับดักม้าอีกหรือ! ศัตรูตกหลุมพรางไปแล้วหนึ่งครั้ง แล้วมีหรือจะยังตกหลุมพรางเป็นครั้งที่สองอีก ไม่แน่ว่าครานี้จะเป็นการส่งทหารเดินเท้าเข้ามาบุกก็เป็นได้
“เช่นนั้นพวกท่านมีโรงงานอาวุธหรือไม่” หลินหลันเอ่ยถาม
ฟางเจิ้นประหลาดใจ “โรงงานอาวุธอันใดหรือ”
“ก็…ก็เป็นพวกสถานที่ทำปืนใหญ่อย่างไรล่ะ”
ฟางเจิ้นถึงเป็นอันเข้าใจได้ “มีสิ!” เขาเอ่ยพลางชี้นิ้วไปอาคารหนึ่งซึ่งตั้งอยู่บริเวณหัวมุมทิศตะวันตกเฉียงใต้ “นั่นอย่างไร ตอนนี้กำลังเร่งสร้างลูกดินปืนอยู่ เมื่อคืนใช้ไปจนเกือบหมดคลัง โชคดีพวกเจ้ามาในครั้งนี้ ขนดินประสิวและกำมะถันติดมาด้วย”
ฟางเจิ้นเอ่ยตักเตือนขณะจ้องมองหลินหลัน “เจ้าอย่าได้ไปบริเวณนั้นเชียว ที่นั่นเป็นสถานที่สำคัญของทหาร อันตรายอย่างยิ่ง”
หลินหลันแสร้งเผยรอยยิ้มก่อนกล่าวออกไป “ข้าก็แค่ถามดู ไม่ไปหรอก”
รอกระทั่งฟางเจิ้งเดินจากไปไกลแล้ว หลินหลันจึงย่างก้าวมุ่งหน้าไปยังหัวมุมตะวันตกเฉียงใต้