จนกระทั่งมืดค่ำ หยางว่านหลี่ถึงได้กลับมา เพราะไม่กล้าเดินทางผ่านเส้นทางสายใหญ่ เขาจึงพาทหารสอดแนมกลุ่มเล็กเดินข้ามภูเขา ระหว่างเมืองไป๋หู่กวนกับซาอี พบว่ามีทหารทู่เจวี๋ยกลุ่มหนึ่งคอยซุ่มอยู่ หากเดินผ่านเส้นทางด้านล่างภูเขา จะถูกธนูยิงเสียชีวิตเป็นแน่ เขาไม่ทำให้พวกทู่เจวี๋ยรู้ตัว โดยการเดินอ้อมไปด้านหลังจนถึงไป๋หู่กวน เมื่อตรวจสอบดูแล้ว ที่นั่นยังคงสงบเรียบร้อย ไม่พบเจอความผิดปกติใดๆ เขาจึงบอกกล่าวกองกำลังทหารรักษาการณ์ของไป๋หู่กวนให้ทราบว่าเบื้องหน้ามีชาวทู่เจวี๋ยคอยซุ่มโจมตี
“ใต้เท้าหลี่ แม่ทัพหลิน ทหารทู่เจวี๋ยที่ซุ่มโจมตีอยู่นี้จำนวนคนไม่มาก โดยคร่าวๆ หนึ่งถึงสองร้อยคนเห็นจะได้ขอรับ หากมีความจำเป็น ข้าน้อยจะนำคนไปจัดการพวกมันเองขอรับ” หยางว่านหลี่กล่าวเสียงดังฟังชัด
หลินจื้อย่วนครุ่นคิดอย่างหนักอยู่เนิ่นนาน แล้วจึงกล่าว “ดูเหมือนพวกมันไม่ได้ตั้งใจจะโอบล้อมแล้วตลบหลังจากเส้นทางฝั่งซาอีแต่อย่างใด และไม่เหมือนต้องการรุกรานเส้นทางในหยางซานที่ใช้ส่งเสบียงเช่นกัน แต่กลับดูเหมือนต้องการตัดขาดการสื่อสารระหว่างซาอีกับเซิ่งโจว อย่าเพิ่งไปยุ่งกับพวกมัน ข้ากำลังสงสัยว่าทางด้านเซิ่งโจวนั่นอาจมีสถานการณ์อันใดเกิดขึ้น ลองคิดดูว่าการที่ทหารทู่เจวี๋ยเพิ่งบุกโจมตีซาอีเต็มกำลังเพื่อสร้างสถานการณ์ปลอมๆ ว่าพวกมันต้องเอาชนะซาอีให้ได้ ส่งผลให้ข้าต้องคอยป้องกันอย่างเต็มกำลัง แต่ในเวลานี้เอง ทหารทู่เจวี๋ยกลับมุ่งไปทางทิศตะวันออกเพื่อโจมตีเซิ่งโจว และตัดขาดการสื่อสารของซาอีกับเซิ่งโจว พวกเรากลับไปหนุนไม่ทันการณ์ มิเท่ากับเซิ่งโจวจะตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายหรอกหรือ หรือไม่ก็ พวกมันต้องการเอาชนะซาอีให้ได้จริงๆ ตัดขาดการสื่อสาร ก็ทำให้ข้าตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไร้ความช่วยเหลือได้เช่นกัน”
เมื่อทุกคนได้รับฟังการพิเคราะห์เช่นนี้ของแม่ทัพหลิน ความเย็นเยือกก็แทรกซึมขึ้นมาจากฝ่าเท้าจนถึงสันหลัง หลักๆ เป็นเพราะความวิตกกังวลและตื่นกลัว หากสูญเสียเมืองเซิ่งโจว เช่นนั้นกองทัพใหญ่ของทู่เจวี๋ยก็จะโรมรุกบุกตะลุย และยึดครองจงหยวนได้
“ดังนั้น อย่าเพิ่งไปยุ่งกับพวกมัน คอยจับตาดูไว้ก่อน” แม่ทัพหลินกล่าว “หยางเซี่ยนเว่ย ท่านช่วยลำบากอีกสักครั้ง กลับไปยังเซิ่งโจว ขอให้ใต้เท้าเฝิงเสริมกำลังเตรียมรับมือให้มากยิ่งขึ้น”
หยางว่านหลี่น้อมรับคำสั่ง แล้วออกเดินทางอีกครั้งโดยยังไม่ทันหายใจหายคอให้ทั่วท้อง
หลี่หมิงอวินกลับห้องพักด้วยความรู้สึกหนักอกหนักใจ ภายในห้องกลับพบเพียงความว่างเปล่า หลินหลันยังไม่กลับมา หลี่หมิงอวินจึงคิดว่าหลินหลันคงยังยุ่งวุ่นวายอยู่ในโรงหมอ ช่วงเวลาเช่นนี้ ต่อให้ชักแม่น้ำทั้งห้าก็คงไม่อาจดึงคนเขากลับมาได้ หลี่หมิงอวินทำได้เพียงปล่อยนางทำตามใจ เขาถอดชุดแล้วเตรียมพักผ่อน คาดไม่ถึงว่าจ้าวจัวอี้จะวิ่งหน้าตาตื่นมารายงานว่าหลินหลันหายไป
หลี่หมิงอวินตกตะลึง “อะไรคือหายไปแล้ว”
“ข้าน้อยคิดว่าพี่สะใภ้อยู่ที่โรงหมอตลอดเวลา ผนวกกับบริเวณโรงหมอเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย ก็เลยไม่ได้ใส่ใจ พอช่วงเย็น ข้าน้อยคิดว่าควรย้ำเตือนให้พี่สะใภ้ไปพักผ่อน แต่กลับพบว่าพี่สะใภ้หายไปแล้วขอรับ ข้าน้อยแทบจะพลิกโรงหมอเพื่อตามหาแล้วก็ว่าได้ แต่ไม่เห็นแม้แต่เงาพี่สะใภ้เลยขอรับ ข้าน้อยจึงไปตามหายังสถานที่อื่นๆ แต่ก็หาไม่พบเช่นกัน…” จ้าวจัวอี้กล่าวเสียงอ่อน ให้เขาคอยปกป้องนางไว้ กลับปกป้องจนหายไปเสียได้ เขาจึงรู้สึกไม่มีหน้ามาพบใต้เท้าหลี่จริงๆ
หลี่หมิงอวินกังวลยิ่งกว่าคนอื่นๆ ถึงอย่างไรหลินกลันก็เป็นสตรี แม้จะเป็นสตรีที่แต่งกายในคราบบุรุษ ทว่าหากคนอื่นสังเกตเข้าหน่อยก็จะมองออกเป็นแน่ ในเมืองล้วนเป็นบุรุษ ขณะที่นางเป็นสตรีเพียงคนเดียว ลองคิดดูสิว่ามันจะอันตรายมากเพียงใด!
“ไปแจ้งหลินเฟิงให้รับทราบ ให้เขารีบพาคนไปตามหา…เดี๋ยวก่อน บอกพวกเขาด้วยว่าอย่าให้กระโตกกระตากเกินไป” หลี่หมิงอวินสั่งการด้วยน้ำเสียงร้อนรน จากนั้นจึงรีบสวมใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อยแล้วออกไปตามหา
เวลานี้ หลินหลันกำลังนั่งยองอยู่ในโรงคลังแสง กำลังคลุกคลีกับปรมาจารย์สองท่านว่าทำกับระเบิดขึ้นมาอย่างไร เมื่อชีวิตก่อนเคยชมภาพยนตร์เรื่อง ‘สงครามกับระเบิด’ กับระเบิดในนั้นถือว่ามีความหลากหลายอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นทุ่นระเบิดต่อเนื่อง ระเบิดสะเก็ด ทุ่นระเบิดฝังดิน ระเบิดปามือ ระเบิดขึ้นทีถึงกับสนั่นหวั่นไหว ต่อมาภายหลังได้ไปเข้าชมพิพิธภัณฑ์ทหารกับเพื่อนร่วมชั้นเรียน จึงสังเกตเป็นพิเศษ วิธีการผลิตโดยสำคัญนางไม่ทราบแน่ชัด เพียงแต่พูดโดยคร่าวได้ ทว่าบรรดาปรมาจารย์ที่ผลิตดินปืนที่นี้เกิดความสนใจเป็นอย่างยิ่ง เดิมทีต้องการขับไล่นางไปห่างๆ ภายหลังกลับรั้งนางให้อยู่ไม่ยอมปล่อยไปไหน
ทั้งสามคนคลุกคลีกันอยู่ครึ่งค่อนวัน ในที่สุดก็ผลิตสิ่งของชิ้นหนึ่งขึ้นมา หลินหลันมองดูเครื่องปั้นดินเผาที่มีสีดำทะมึน มีความรู้สึกกังวลเล็กน้อย ของสิ่งนี้จะระเบิดได้จริงๆ หรือ
“ไป ไปลองกัน” ปรมาจารย์ถังอุ้มเครื่องปั้นดินเผานั่นด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่งแล้วเดินพ้นประตูออกไป เมื่อมาถึงพื้นที่โล่งกว้างผืนหนึ่ง เขาขุดหลุมแล้วนำเครื่องปั้นดินเผาดังกล่าวฝังลงไป ตามด้วยวางสายชนวนไว้เสร็จสรรพ
“หาที่หลบเร็วเข้า…” ปรมาจารย์ถังโบกมือให้หลินหลันและคนอื่นๆ ทุกคนจึงรีบไปหาที่กำบัง
ปรมาจารย์ถังลากสายชนวนและถอยออกมาเช่นกัน ทุกคนถึงกับกลั้นลมหายใจขณะจ้องมองพื้นดินผืนนั้น
“ข้าจะดึงแล้วนะ พวกขี้ขลาดอุดหูและหลับตาไว้” ปรมาจารย์ถังกล่าวเชิงหยอกล้อ จากนั้นจึงกระตุกสายชนวนในมือ ได้ยินเพียงเสียงดัง ‘ตูม’ และเศษซากดินกระเด็นกระดอนขึ้นมา บนพื้นดินที่เกิดการระเบิดปรากฏหลุมขนาดใหญ่
ปรมาจารย์ถังส่งเสียงตะโกนด้วยความตื่นเต้นดีใจ “สำเร็จแล้ว สำเร็จแล้วโว้ย…” เขาหันกลับมาตบมือลงไปที่บ่าของหลินหลันซึ่งกำลังเอามือปิดหู “ไอ้หนุ่มน้อย เจ้าว่าไอ้ของชิ้นนี้มันเรียกว่าอันใดนะ ทุ่นระเบิด? ฮ่าๆ เยี่ยม เอาชื่อนี้ละ เรียกมันว่าทุ่นระเบิด ระเบิดที่ฝังไว้ในดิน มาดูสิว่าจะเล่นงานไอ้พวกสารเลวทู่เจวี๋ยระเบิดขึ้นไปบนฟ้าได้หรือไม่…”
หลินหลันถูกเขาฟาดมือลงมาเต็มแรงสามสี่ครั้งจนเกือบกระอักเลือดกันเลยทีเดียว นางไหวหัวไหล่น้อยๆ ที่น่าสงสาร ขณะเดียวกันก็นึกคิดไปถึงทฤษฏีที่ตนเองกล่าวออกไปล้วนสะเปะสะปะ โชคดีที่พวกเขายังเข้าใจจนทำทุ่นระเบิดขึ้นมาได้จริงๆ ความชาญฉลาดของคนโบราณช่างเป็นอะไรที่ไม่อาจดูถูกได้จริงๆ!
“เหล่าเติ้ง เหล่าเคอ พวกเจ้ารีบทำตามวิธีการนี้ขึ้นมาอีกอัน แล้วไปแจ้งแม่ทัพให้ทราบ หากแม่ทัพอนุญาต พวกเราไม่ต้องทำลูกดินปืนนั่นแล้ว มาทำทุ่นระเบิดไว้หลายๆ ร้อยอันก่อนดีกว่า” ปรมาจารย์ถังยังคงอยู่ในอาการตื่นเต้นปนดีอกดีใจ เขาจึงพูดคุยด้วยน้ำเสียงดังลั่นเป็นพิเศษ
ทว่าหลินหลันสงสัยว่าหลังจากถูกเสียงดังสนั่นของระเบิดเมื่อครู่ ปรมาจารย์ถังก็หูไม่ดีไปแล้วหรือไม่ ถึงได้ต้องพูดเสียงดังเพียงนี้
หลินหลันเอื้อมมือออกไปรั้งปรมาจารย์ถังที่เตรียมเดินจากไป พลางกล่าวด้วยรอยยิ้มแห้งๆ “ปรมาจารย์ถัง ขอปรึกษาหารือกับท่านสักเรื่องสิขอรับ”
ปรมาจารย์ถังอารมณ์ดีเสียยิ่งอะไร! เขาจึงกล่าวอย่างสุขใจและยินดีตอบรับข้อเรียกร้องสำหรับผลงานครั้งใหญ่นี้ของหลินหลัน “เจ้าว่ามาเลย”
“ทุ่นระเบิดนี่เป็นพวกท่านผลิตมันขึ้นมา มิได้เกี่ยวข้องอันใดกับข้า พวกท่านออกไปอย่าได้เอ่ยถึงข้าเชียวนะขอรับ!” หลินหลันกล่าว
ปรมาจารย์ถังตะลึงงันไปชั่ววูบ จากนั้นจึงส่งเสียงหัวเราะร่า “ไอ้น้องชาย เจ้าจะถ่อมตนเพียงนี้ไปทำไมกันหรือ หากมิใช่เจ้าเสนอความคิดดีๆ นี่ออกมา พวกเราจะนึกถึงไอ้เจ้าสิ่งนี้ได้อย่างไร อีกเดี๋ยวรายงานต่อแม่ทัพหลิน แม่ทัพหลินต้องตบรางวัลอย่างงามให้เจ้าแน่นอน”
หลินหลันยกมือขึ้นโบกทันที “อย่าเอ่ยถึงข้าจะเป็นการดีกว่านะขอรับ ข้าผู้นี้มิชอบโดดเด่นเป็นจุดสนใจของผู้คน จริงๆ นะขอรับ”
ปรมาจารย์ถังมองดูหลินหลันด้วยความสงสัย “ทุกวันนี้ คนที่ถ่อมตนได้เพียงเจ้ามันน้อยคนยิ่งนัก”
“ก็ได้! ข้าพูดความจริงกับท่านก็ได้ นี่เป็นทักษะฝีมือที่สืบทอดกันมาอย่างลับๆ ของต้นตระกูลข้า ไอ้ของสิ่งนี้มันมีอนุภาคทำลายล้างสูง ทำไม่ดีจะกลายเป็นหายนะต่อปวงประชาได้ แม้ว่าข้าจะพอเข้าใจเพียงครึ่งเดียวก็ตาม คือว่า…หากให้คนของต้นตระกูลข้ารับรู้ว่าทุ่นระเบิดนี้แพร่งพรายออกจากปากข้า เช่นนั้นข้าคงได้กลายเป็นคนไร้หัวนอนปลายเท้า หลังตายไปก็คงไม่ได้เข้าไปอยู่ในโถงบรรพบุรุษของวงศ์ตระกูลเป็นแน่” หลินหลันสร้างคำลวงหลอกขึ้นมาเรื่อยเปื่อย ควบคู่กับสีหน้าที่แสดงให้เห็นถึงความกังวลใจนั่น จึงดูเสมือนจริงเป็นพิเศษ
ปรมาจารย์ถังจึงส่งเสียง ‘อ้อ’ ขึ้นทันใด “นี่ถือว่าเป็นเรื่องค่อนข้างร้ายแรงจริงๆ ไอ้น้องชาย ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ข้าเหล่าถังขอเป็นตัวแทนบรรดาทหารซาอี ขอบใจเจ้ามาก”
ช่วงเวลาเที่ยงคืนนี้ เสียงอึกทึกดังขึ้นกะทันหัน ทำให้บรรดาทหารของเมืองซาอีตื่นตระหนก และคิดไปว่าชาวทู่เจวี๋ยบุกมาอีกครั้ง ทุกคนทยอยบอกกล่าวสหายเพื่อเตรียมการสู้รบอีกครั้ง
แม่ทัพหลินลุกพรวดลงจากเตียงนอนด้วยความตระหนกตกใจจากเสียงดังสนั่นเช่นกัน เขากล่าวด้วยความร้อนรนใจ “เกิดอันใดขึ้น”
ทหารรักษาการณ์ที่คอยเฝ้ายาม กล่าวรายงาน “เรียนแม่ทัพ ดูเหมือนเสียงดังสนั่นมาจากทิศตะวันตกเฉียงใต้ขอรับ”
ทิศตะวันตกเฉียงใต้เป็นโรงคลังแสงของที่ผลิตและเก็บลูกดินปืน หรือว่าชาวทู่เจวี๋ยมันโจมตีคลังแสงเข้าแล้วหรือ แม่ทัพหลินคว้าคันธนูพร้อมลูกศรและดาบยาวลงมาจากกำแพง “ไป ไปดูกัน”
หลี่หมิงอวินและคนอื่นๆ พากันตามหาหลินหลันทั่วสารทิศ ทันทีที่ได้ยินเสียงดังสนั่นขึ้นก็ตื่นตกใจไม่แพ้กัน เสียงที่ดังสนั่นดูเหมือนล่องลอยมาจากทิศตะวันตกเฉียงใต้ ด้วยคิดว่ามีศัตรูรุกราน จึงรีบสั่งการจ้าวจัวอี้พาคนมุ่งหน้าตามหาต่อไป ส่วนตนเองและหลินเฟิงมุ่งไปทางด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้
เพียงชั่วครู่เดียว มุมเล็กๆ ทางด้านตะวันตกเฉียงใต้กลายเป็นจุดสนใจของทั่วทั้งเมือง
หลินหลันเพิ่งก้าวพ้นโรงคลังแสง ก็เห็นกลุ่มคนนำโดยแม่ทัพหลินมุ่งเข้ามาอย่างเร่งร้อน แล้วยังมีหมิงอวินอีกด้วย นางจึงรีบร้นถอยกลับเข้าไปและแอบอยู่ด้านหลังบานประตู นางหันไปถามเด็กหนุ่มที่กำลังทำงานอยู่ในลานกว้างว่า ที่นี่มีทางออกอื่นอีกหรือไม่
เด็กหนุ่มคนดังกล่าวจึงชี้นิ้วไปยังประตูบานเล็กทิศใต้ด้วยสีหน้าประหลาดใจ
หลินหลันยกสองมือขึ้นประสานกันในท่าทางคารวะและกล่าว “ขอบใจ!” จากนั้นจึงย่องเบาออกไปทางประตูทิศใต้ เมื่อเห็นว่าไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น จึงม้วนแขนเสื้อ จัดระเบียบเสื้อผ้า แล้วแทรกตัวผ่านฝูงชน มุ่งกลับไปยังจวนแม่ทัพ
“หมอหลิน?” ทหารรักษาการณ์ที่เฝ้าประตู เผยสีหน้าตกใจปนประหลาดใจเมื่อเห็นหลินหลันกลับมา
“ก็ข้าน่ะสิ มิเช่นนั้นเจ้าคิดว่าเป็นใครหรือ” หลินหลันกล่าวด้วยสีหน้าระรื่น ราวกับไม่มีเรื่องอันใดเกิดขึ้นทั้งสิ้น
“ไม่…ไม่ใช่ขอรับ จ้าวเสี้ยวเว่ยกล่าวว่าท่านหายไป ใต้เท้าหลี่เลยพาผู้คนออกไปตามหาท่านทั่วสารทิศอยู่ขอรับ!” ทหารรักษาการณ์กล่าวตะกุกตะกัก
“อ้อ! เมื่อกลางวันได้ยินบรรดาทหารพูดถึงเครื่องขว้างหินขึ้นมา ข้ารู้สึกว่ามันค่อนข้างน่าสนใจดี ก็เลยไปดูแถวๆ หัวเมือง พอได้เห็นแล้วก็กลับมานี่ละ อืม…เจ้าไปบอกพวกเขาทีว่า ข้ากลับมาแล้ว พวกเขาจะได้ไม่ต้องตามหาแล้ว”
ทหารรักษาการณ์ส่งเสียงขาน อ้อ อย่างว่าง่าย จากนั้นจึงวิ่งออกไป
หลังเวลาผ่านไปครึ่งชั่วโมง หลี่หมิงอวินเดินหน้าตั้งกลับมา แน่นอนว่า ความดีใจเป็นสิ่งที่นำหน้ามาอันดับแรก หลังทหารรักษาการณ์กล่าวว่าหลินหลันกับมาแล้ว
“หลันเอ๋อร์ ครั้งนี้เมืองซาอีมีสิ่งช่วยชีวิตแล้ว ท่านอาจารย์ถังประจำอยู่โรงคลังแสงของค่ายทหารสร้างอาวุธประเภทหนึ่งขึ้นมา เรียกว่าทุ่นระเบิด ฝังไว้ใต้ดิน ตราบใดที่มีคนไปเหยียบเข้า มันก็จะระเบิดขึ้นมา เจ้าลองคิดดูนะ หากพวกเราฝังมันไว้รอบนอกเมืองหลายๆ ร้อยอัน แล้วชาวทู่เจวี๋ยจะบุกเข้ามาใกล้เมืองซาอีได้อีกหรือ แน่นอนว่าพวกมันของต้องโดนระเบิดกลายเป็นวิญญาณก่อนแน่นอน นี่มันเยี่ยมยอดกว่าดินปืนด้วยซ้ำ แม่ทัพหลินก็ดีอกดีใจยกใหญ่เช่นกัน ตอนนี้กำลังสั่งท่านอาจารย์ถังให้พวกเขาเร่งมือผลิดทุ่นระเบิดขึ้นมาไว้มากๆ…” หลี่หมิงอวินกล่าวด้วยความดีใจ
ตั้งแต่ขึ้นมาทางตอนเหนือ หลินหลันไม่เคยได้เห็นรอยยิ้มเบิกบานเช่นนี้บนใบหน้าของหมิงอวิน รอยยิ้มเช่นนี้เป็นความสุขที่เกิดจากในใจ หลินหลันทำทีแสดงสีหน้าตื่นตกใจปนดีใจอย่างแนบเนียน “จริงหรือ เช่นนั้นก็เยี่ยมไปเลย ก่อนหน้านี้ข้ายังกังวลอยู่ว่าจะรักษาซาอีเอาไว้ไม่ได้! ท่านอาจารย์ถังผู้นั้นเก่งกาจเสียจริง”
หลี่หมิงอวินเห็นด้วยอย่างยิ่ง “คนมากความสามารถเช่นนี้มีอยู่มากมายในกองทัพ ท่านอาจารย์ถังผลิตทุ่นระเบิดขึ้นมาได้ในช่วงเวลานี้ ช่างเป็นเวลาที่ประจวบเหมาะจริงๆ สวรรค์คงต้องการปกปักษ์ราชวงศ์ของเรา”
หลินหลันนิ่งเงียบ คงเป็นเพราะสวรรค์ต้องการปกปักษ์จริงๆ นั่นละ ถึงได้ให้ข้าเข้ามาอยู่ในร่างนี้ มิเช่นนั้นทุ่นระเบิดจะได้มากจากแห่งหนใดหรือ
“อื้อ! ในที่สุดทุกคนก็นอนหลับอย่างสงบได้เสียที” หลินหลันพยักหน้าจริงจัง พลางเผยรอยยิ้มระรื่น
“คิดจะนอนหลับอย่างสงบ คงยังมิใช่ตอนนี้ ในเมื่อทหารทู่เจวี๋ยที่ซุ่มโจมตีในหยางซานยังมิได้กำจัดให้สิ้นซาก ทางด้านเซิ่งโจวนั่นจะรักษาให้รอดปลอดภัยได้หรือไม่ก็ยังไม่รู้…” หลี่หมิงอวินกล่าวด้วยความหนักใจ ทันใดนั้นเขานึกถึงเรื่องที่หลินหลันหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยเมื่อก่อนหน้าขึ้นมาได้ จึงชักสีหน้าดุดันขณะเอ่ยถาม “ก่อนหน้านี้ เจ้าหายไปไหนมาหรือ”
หลินหลันเผยสีหน้าไร้เดียงสา “ไม่ได้ไปไหน! ก่อนหน้านี้ข้าอยู่ที่โรงหมอตลอด เจ้าก็รู้ว่ามีทหารบาดเจ็บมากจนโรงหมอแทบระเบิดแล้วก็ว่าได้”
หลี่หมิงอวินจ้องนางเขม็งไม่กะพริบตา ราวกับกำลังส่งสัญญาณให้เจ้าพูดความจริงออกมา มิเช่นนั้นโดนดีแน่
หลินหลันหลบเลี่ยงสายตาอันดุดันประดุจเพลิงลุกโหมของหมิงอวิน นางมุ่ยปากกล่าว “หลังจากนั้น ข้าแอบไปเดินเล่นแถวหัวเมือง ไปดูเครื่องขว้างหินนั่น ข้าก็แค่รู้สึกสนใจนี่นา! เลยไปดูว่ามันเป็นอย่างไร จากนั้นข้าก็กลับมาแล้วนี่!”
หลี่หมิงอวินไม่ค่อยเชื่อเท่าใดนัก “เช่นนั้นหรือ”
หลินหลันพยักหน้าอย่างแรง แสดงสีหน้าไร้เดียงสาเพื่อแสร้งตบตา “แน่นอนสิ มิเช่นนั้นจะอย่างไรได้อีกหรือ ต่อให้เจ้ายอมให้ข้าวิ่งเล่นไปทั่ว ข้าเองก็มิกล้าหรอก!”
หลี่หมิงอวินนึกตำหนิอย่างเงียบๆ ไม่กล้า? เจ้ายังรู้จักถ่อมตนกับเขาอยู่หรือ ช่างเป็นพบเจอได้ยากยิ่งเสียจริงเชียว!