หลี่หมิงอวินมักรู้สึกว่าหลายวันมานี้หลินเฟิงดูผิดปกติไป บ่อยครั้งที่ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ไม่ว่าในฐานะหัวหน้าหรือในฐานะน้องเขย หลี่หมิงอวินล้วนจำเป็นต้องใส่ใจหลินเฟิงสักหน่อย
ตอนที่ตามหาหลินเฟิงจนพบ หลินเฟิงกำลังอาบน้ำแปรงขนให้ม้า ถึงจะกล่าวว่ากำลังอาบน้ำแปรงขนให้ม้า ทว่าหลินเฟิงกลับถือแปรงแปรงขนให้ม้าอยู่เพียงตำแหน่งเดียว แปรงจนแทบทำให้หนังม้าถลอกปอกเปิดแล้วก็ว่าได้ ม้าตัวนั้นถึงได้ยืนขยับไปขยับมาอย่างไม่เป็นสุข
“พี่ใหญ่” ยามที่ไม่พูดคุยถึงเรื่องเป็นทางการ และไม่มีผู้ใต้บังคับบัญชาอยู่ด้วย หลี่หมิงอวินจะเรียกว่าพี่หลินเฟิง
“ข้าเห็นว่าระยะนี้ดูเหมือนท่านจะมีเรื่องอันใดในใจนะขอรับ” น้ำเสียงที่หลี่หมิงอวินใช้แสดงให้เห็นถึงความมั่นใจ ต่อให้เป็นคนโง่เขลา เพียงเห็นสีหน้าหลินเฟิงที่เต็มไปด้วยการครุ่นคิด ก็ล้วนมองออกทั้งนั้น
หลินเฟิงชะงักมือแล้วโยนแปรงทิ้งอย่างลวกๆ พลางมองไปยังหลี่หมิงอวิน จากนั้นจึงกล่าว “น้องเขย ข้ามีเรื่องสำคัญอย่างหนึ่ง ไม่รู้ว่าควรบอกกล่าวน้องสาวข้าดีหรือไม่ เจ้าช่วยข้าพินิจพิจารณาทีสิ” เรื่องเช่นนี้ การต้องเก็บไว้ในใจไม่มีที่ให้ระบายช่างแย่นัก ถึงขั้นกินไม่ได้นอนไม่หลับด้วยซ้ำไป
หลี่หมิงอวินขมวดคิ้ว เรื่องนี้มีความเกี่ยวข้องกับหลินหลันด้วยหรือ เช่นนั้นเขายิ่งต้องรับฟังเสียแล้ว
“เดินไปคุยไปเถอะ”
หลินเฟิงนำม้ารบมอบให้ทหารชั้นผู้น้อยที่อยู่ด้านข้างแล้วออกจากคอกม้า
“ข้าสงสัยว่า แม่ทัพหลินคือบิดาของข้า” หลินเฟิงกล่าวเสียงแผ่วเบา
หลี่หมิงอวินคิดว่าตนเองหูฝาดไป จึงเผยสีหน้าสงสัยไม่มั่นใจ “ท่านอะไรนะ แม่ทัพหลินเป็นบิดาของท่าน?” นี่มันกะทันหันเกินไปจริงๆ ความรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกจึงผุดขึ้นชั่วขณะ
หลินเฟิงจ้องมองธงที่กำลังพลิ้วไหวไปตามแรงลมเหนือกำแพงสูง สายตาทอดยาวออกไปเรื่อยๆ ราวกับจมดิ่งสู่ความทรงจำที่ผ่านมายาวนาน จากนั้นจึงกล่าวขึ้นอย่างใจเย็น “หลันเอ๋อร์คงเคยพูดกับเจ้าไว้แล้วเป็นแน่ ว่าท่านพ่อของเราอาจลาจากโลกนี้ไปนานแล้ว ซึ่งมันก็ควรเป็นความจริง หลายปีขนาดนี้ พวกเราคิดมาโดยตลอดว่าเขาตายจากไปแล้ว ยามที่ข้าอายุแปดปี ท่านพ่อไปเข้าร่วมกองกำลังทหาร ตอนนั้น ท่านพ่อกวาดล้างพวกโจรอยู่แถวๆ หูเป่ย ซยังพอได้ติดต่อกับที่บ้านอยู่บ้าง ภายหลังต่อมา กองทัพของท่านพ่อมุ่งหน้าขึ้นตอนเหนือเพื่อไปสู้รบกับชาวทู่เจวี๋ยแล้วก็ขาดการติดต่อกันไป ตอนนั้นที่ข้าอายุสิบเอ็ดปี สหายหมู่บ้านเดียวกันที่เข้าร่วมกองทัพทหารไปพร้อมกับท่านพ่อ กลับมาในหมู่บ้านพร้อมกับขาที่หายไปข้างหนึ่ง และบอกกล่าวท่านแม่ข้าว่า เขาเห็นท่านพ่อข้าตกอยู่ในวงล้อมศัตรูกับตาตนเอง บนตัวถูกมีดดาบฟาดฟันลงไปไม่รู้กี่ครั้ง เกรงว่าคงไม่มีชีวิตอยู่รอดเสียแล้ว…ท่านแม่ข้าจึงเป็นลมล้มพับไป ณ ตอนนั้น…ท่านแม่ข้าไม่เชื่อว่าท่านพ่อจะตายจากไปแล้ว จึงไปเสาะหาข่าวคราวของท่านพ่อทุกหนแห่ง แต่ล้วนไม่ได้ข่าวคราวใดๆ ทั้งสิ้น ภายหลังต่อมา ที่บ้านเกิดมีภัยแล้ง จึงอดยากปากแห้ง ไม่มีแม้แต่ข้าวสารกรอกหม้อ ญาติพี่น้องจำนวนมากต่างล้มตายด้วยความอดยาก ท่านแม่ข้าจึงทำได้เพียงพาข้ากับน้องสาวข้าเดินเท้ามายังหมู่บ้านเจี้ยนซีเพื่อขอข้าวปลาอาหารประทังชีวิต…น้องสาวเกิดล้มป่วยระหว่างเดินทางหนีความอดยาก พวกเราสามแม่ลูกจึงต้องอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านเจี้ยนซีเป็นการชั่วคราว เดิมท่านแม่ข้าตั้งใจว่าจะรอให้น้องสาวหายดีแล้วค่อยกลับบ้านเกิดไปถามไถ่ข่าวคราวของท่านพ่อต่อ หากท่านพ่อไม่ตาย จะต้องกลับมาหาพวกเราเป็นแน่ คาดไม่ถึงว่าพอน้องสาวล้มป่วย กลับกินระยะเวลานานหลายปี ระหว่างนั้นข้าเคยได้รับคำสั่งจากท่านแม่ให้กลับไปบ้านเกิดครั้งหนึ่ง ผู้อาวุโสที่อยู่ ณ บ้านเกิดล้วนตายจากกันไปหมดแล้ว จะเหลือก็แต่ท่านป้าของข้า ท่านป้ากล่าวว่าท่านพ่อตายแล้ว ทางกองทัพส่งหนังสือมาแจ้งให้ทราบถึงการตาย ข้าไม่กล้าบอกข่าวคราวนี้แก่ท่านแม่ หลังกลับไปจึงบอกท่านแม่ไปว่าไม่ได้รับข่าวคราวอันใดเลย…”
มุมหัวตาของหลินเฟิงถึงกับเปียกชื้นขึ้นมาขณะกล่าว “ท่านแม่ข้าจึงไม่เอ่ยถึงท่านพ่อข้าอีกเลย แต่ข้ารู้ว่าตามจริงท่านแม่ข้าคงพอคาดเดาได้ เพียงแค่ไม่เต็มใจยอมรับ ก่อนท่านแม่ข้าลาจากโลกนี้ไป เอาแต่เรียกชื่อท่านพ่อข้าอยู่ตลอดเวลา เมื่อก่อนท่านพ่อนามว่าหลินซาน เพราะเป็นบุตรคนที่สามของครอบครัว”
หลี่หมิงอวินกล่าวอย่างไม่มั่นใจ “ท่านมั่นใจแน่หรือว่าแม่ทัพหลินก็คือ…ท่านพ่อของท่าน”
หลินเฟิงก้มหน้าปาดน้ำตา สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งเฮือก จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้น “ตอนที่ท่านพอไปร่วมกองกำลังทหาร ข้าแปดขวบแล้ว รูปลักษณ์ของท่านพ่อข้าจดจำได้ชัดเจน ถึงจะแยกจากกันไปสิบสามปีแล้ว แม้รูปลักษณ์ของท่านพ่อจะมีการเปลี่ยนแปลงไป แต่รอยปานที่คางเขาไม่มีทางเปลี่ยนไป จึงมีความมั่นใจถึงแปดส่วน อีกอย่างคือ เขากล่าวว่าเขาเป็นชาวหูโจว ซึ่งบ้านเกิดข้าก็คือหูโจว ข้ามีความมั่นใจเกือบเต็มเปี่ยมว่า แม่ทัพหลินก็คือท่านพ่อของข้า”
“เช่นนั้นเหตุใดถึงไม่เอ่ยถามให้ชัดเจนกันไปเลย” หลี่หมิงอวินเอ่ยถาม
หลินเฟิงส่ายหน้า “ข้าไม่กล้าถาม ข้าถึงขั้นหวังด้วยซ้ำว่าเขาไม่ใช่พ่อของข้า หากเขาเป็นพ่อข้า เขาไม่ตาย แล้วเหตุใดเขาถึงไม่กลับมาหาพวกเรา พวกเราจากบ้านเกิดมาก็จริง ทว่าท่านป้ายังอยู่ที่บ้านเกิด ข้าบอกกล่าวท่านป้าไว้แล้วว่าพวกเราอาศัยอยู่ที่เขตเฟิงอาน หมู่บ้านเจี้ยนซี ต่อให้เขายุ่งวุ่นวายต่อการรบรากับศัตรู ทว่าส่งใครสักคนไปถามหาข่าวคราวก็ได้ เพียงเท่านี้ก็รู้ที่ลงหลักปักฐานของพวกเราแล้ว แต่ปรากฏว่า หลายปีเพียงนี้เขาล้วนไม่เคยตามหาพวกเรา…ตอนนี้ เขาเป็นแม่ทัพฮ๋วยหยวน ณ เมืองหลวง เขามีจวนแม่ทัพของเขาเอง อีกทั้งเขายังแต่งงานกับสตรีผู้งดงามและสูงศักดิ์ ทั้งยังให้กำเนิดบุตรชายอีกคนหนึ่ง…ข้า…ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าควรเผชิญหน้าเขาอย่างไร”
หลี่หมิงอวินนิ่งเงียบ หากเป็นดังที่หลินเฟิงกล่าวจริงๆ เช่นนั้น แม่ทัพหลินก็จะกลายเป็นคนแล้งน้ำใจที่ทอดทิ้งลูกเมียและไร้ความซื่อสัตย์รักเดียวใจเดียว หลันเอ๋อร์เกลียดคนทรยศประเภทนี้มากที่สุด หากให้หลันเอ๋อร์รับรู้เข้าว่านางกำลังคบค้าสมาคมอย่างเป็นมิตรกับแม่เลี้ยงของตนเอง ไม่รู้เลยว่าหลันเอ๋อร์จะรู้สึกอย่างไร มิน่าล่ะ หลินเฟิงถึงไม่กล้าบอกกล่าวหลันเอ๋อร์ ไม่เพียงแต่หลินเฟิงที่คิดไม่ตก ตอนนี้เขาเองก็อึดอัดใจมากเช่นกัน
“ในนั้นอาจมีเรื่องอันใดเข้าใจผิดแล้วหรือไม่” หลี่หมิงอวินพยายามคิดเรื่องราวไปในแง่ดี เพราะหลายวันมานี้ที่ได้คลุกคลีกับแม่ทัพหลิน เขารู้สึกว่าแม่ทัพหลินไม่เหมือนคนประเภทไร้น้ำใจ ไม่เห็นความสำคัญของความรักและการซื่อสัตย์
“เข้าใจผิด? ข้าหวังว่าในนั้นจะมีการเข้าใจผิดเช่นกัน ทว่าข้าไม่รู้จริงๆ ว่าจะหาเหตุผลอะไรมาช่วยแก้ต่างให้เขาได้” หลินเฟิงเผยรอยยิ้มขื่นเชิงดูหมิ่น
หลี่หมิงอวินกล่าวด้วยสีหน้าครุ่นคิด “เรื่องนี้เอาเป็นว่า ปิดบังหลันเอ๋อร์ไว้ก่อนจะเป็นการดีกว่า นิสัยของนางท่านก็รู้เช่นกัน นางเกลียดเรื่องไม่ยุติธรรมเช่นนี้เป็นที่สุด ยิ่งไปกว่านั้นยังเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ของตนเองอีกด้วย ไว้ข้าจะหาโอกาสหยั่งเชิงแม่ทัพหลินดูหน่อย หลังรับรู้กระจ่างแจ้งแล้วค่อยตัดสินใจอีกที”
หลี่หมิงอวินคิดว่า หากแม่ทัพหลินเป็นคนไม่ได้เรื่องเช่นนี้จริง เช่นนั้น พ่อตาผู้นี้ เขาก็ไม่คิดจะยอมรับเช่นกัน
หลินหลันแอบอู้ระหว่างความยุ่งวุ่นวาย นางเดินทอดน่องไปยังโรงคลังอาวุธ ปรมาจารย์ถังนำคนกลุ่มหนึ่งทำงานหามรุ่งหามค่ำ จนทำทุ่นระเบิดออกมาได้หลายร้อยอัน และล้ำหน้ากว่าชิ้นที่ทดลองในตอนแรกเสียด้วย มันไม่จำเป็นต้องใช้สายชนวน เพียงแค่เหยียบก็จะทำงานเองอัตโนมัติ มีแรงระเบิดมหาศาล หลินหลันเลื่อมใสในความสามารถของปรมาจารย์ถังผู้นี้เป็นอย่างยิ่ง
“การฝังสิ่งนี้ก็ต้องอาศัยความระมัดระวังเช่นกัน ทางที่ดีที่สุดคือต้องมีแผนผังไว้ด้วย ถึงอย่างไรก็ต้องรู้ไว้ว่าตรงไหนเหยียบได้ ตรงไหนเยียบไม่ได้ เกิดกลายเป็นระเบิดใส่ตนเองขึ้นมาคงไม่ดีแน่” หลินหลันกล่าวเตือน
ปรมาจารย์ถังยกมือขึ้นตบหน้าผากของตน “นั่นสิ! หากทุกคนฝังสะเปะสะปะ แล้วตัวเองดันลืมว่าฝังไว้ตรงไหนละก็คงแย่แน่ ข้าต้องรีบไปปรึกษาหารือกับฟางเสี้ยวเว่ยสักหน่อย ทุ่นระเบิดเหล่านี้จะต้องนำไปฝังวันนี้แล้วด้วยสิ”
ปรมาจารย์ถังยื่นมือมาตบบ่าของหลินหลันอย่างหนักมืออีกครั้ง จนหลินหลันเกือบหน้าคะมำลงพื้นกันเลยทีเดียว
“ฮ่าๆ ไอ้น้องชาย เจ้าเตือนข้าได้ทันการณ์จริงๆ” ปรมาจารย์ถังหัวเราะร่า จากนั้นจึงเดินมุ่งหน้าไปหาฟางเจิ้นหน้าตาเฉย ไม่สนใจหลินหลันอีก
หลินหลันลูบคลำบ่าด้วยความเจ็บ จ้องมองไปยังแผ่นหลังของปรมาจารย์ถังพลางบนอุบ “หากถูกท่านฟาดมือลงมาอีกสองสามที ชะตาชีวิตน้อยๆ ของข้ามีหวังได้จบสิ้นแน่”
วันที่สามหลังวางทุ่นระเบิดเอาไว้ใต้ดิน ชาวทู่เจวี๋ยบุกมาอีกครั้ง จากการรายงานอย่างละเอียด ชาวทู่เจวี๋ยมากันครั้งนี้มีจำนวนประมาณหมื่นกว่าคน
หลินจื้อย่วนรู้อยู่เต็มอก การยกพลมาจำนวนน้อยนิดของชาวทู่เจวี๋ยประเภทนี้ ก็แค่ทำพอเห็นพิธีไปเท่านั้น ทว่าทุกคนยังคงมุ่งไปยังหัวเมือง มิใช่อื่นใด เพราะพวกเขาอยากเห็นอานุภาพของอาวุธใหม่นี้สักหน่อย
เห็นทหารทู่เจวี๋ยยกโขยงหนาแน่นมาแต่ไกล ประดุจเมฆครึ้มที่ขอบนภากำลังคืบคลานเข้ามา ครานี้ชาวทู่เจวี๋ยดาหน้าเข้ามาอย่างเนิบช้า แสดงให้เห็นถึงความเข็ดหลาบต่อกับดักหลุมม้า และเกรงกลัวว่าจะมีอันตรายอื่นใดอยู่ในพื้นที่อีก จึงระมัดระวังเป็นพิเศษ โดยการให้ทหารเดินเข้านำหน้าขึ้นมาก่อน
“ท่านแม่ทัพ อีกเดี๋ยวก็เข้าสู่เขตทุ่นระเบิดแล้วขอรับ” ฟางเจิ้นยืนอยู่ข้างกายแม่ทัพด้วยความกังวลและตื่นเต้นในเวลาเดียวกัน ฝ่ามือทั้งสองกำหมัดแน่นจนสั่นสะท้าน
หลินจื้อย่วนมองไกลออกไปด้วยสีหน้าสงบนิ่งเคร่งขรึม
เก๋อเปียวและคนอื่นๆ รอคอยด้วยความสงสัยเป็นส่วนใหญ่ พลางเอ่ยถามหนิงซิ่งด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “แม่ทัพ ท่านว่าเครื่องปั้นดินเผาเหล่านั้นมันจะได้ผลจริงๆ หรือขอรับ”
หนิงซิ่งมีสีหน้าเคร่งขรึม กล่าวด้วยเสียงกระซิบ “จะได้หรือไม่ได้ อีกเดี๋ยวได้เห็นก็รู้เอง”
ที่กังวลมากสุดคงหนีไม้พ้นปรมาจารย์ถังและหลินหลัน ทั้งสองจับจ้องไปยังบริเวณที่อยู่ห่างไกลเป็นระยะๆ ภายในใจแอบเฝ้าภาวนา ต้องระเบิด ระเบิดพวกสารเลวทู่เจวี๋ยเหล่านี้ให้ตายไปเสีย
“เข้าแล้ว เข้ามาแล้ว…” ฟางเจิ้งเสียงสั่นคลอนด้วยความตื่นเต้น
จากนั้นได้ยินเพียงเสียง “ตูม ตูม ตูม…” ดังสนั่นหวั่นไหวอย่างต่อเนื่อง ชาวทู่เจวี๋ยล้มเป็นหน้ากองหลายกลุ่ม ทันใดนั้นทั้งกองทัพทหารเต็มไปด้วยความโกลาหล ท่ามกลางความวุ่นวาย เสียงดังสนั่นเกิดขึ้นอีกหลายต่อหลายครั้ง
“ระเบิดแล้ว ระเบิดแล้ว มันระเบิดแล้วจริงๆ ด้วย…” บรรดาทหารโห่ร้องด้วยความตื่นเต้นดีใจ
ทหารทู่เจวี๋ยค่อยๆ ร่นถอยไป ไม่นานนัก กองทัพทหารที่อลหม่านก็เงียบสงบลง เห็นเพียงธงผืนใหญ่จากด้านหลังของกองทัพเด่นขึ้นมา ทหารทู่เจวี๋ยแบ่งออกเป็นกลุ่มย่อย แล้วมุ่งหน้าเดินต่อไป
“ฮ่าๆ ทุ่นระเบิดที่ข้าวางไว้เป็นลักษณะดอกเหมย ถึงจะแบ่งเป็นกลุ่มย่อยก็คิดว่าจะรอดพ้นไปได้หรือ” ฟางเจิ้นกล่าวด้วยความภาคภูมิใจอย่างยิ่ง
หลินจื้อย่วนชำเลืองตามองเขา ราวกับรำคาญเขาที่พูดพร่ำ ฟางเจิ้นจึงหัวเราะเจื่อน
ปรากฏว่า ทหารทู่เจวี๋ยดันเหยียบถูกทุ่นระเบิดอีกครั้ง
หนิงซิ่งกำหมัดทุบลงบนกำแพงอิฐ และกล่าวด้วยความซะใจ “ไอ้พวกทู่เจวี๋ยสารเลวนี่ ไม่กลัวระเบิดตายเลยหรือไร”
ทหารทู่เจวี๋ยหยั่งเชิงดูหลายต่อหลายครั้งล้วนบุกเข้ามาไม่สำเร็จ เมื่อมองดูซากแขนขาที่ถูกระเบิดกระจัดกระจายไปทั่วครั้งแล้วครั้งแล้ว ตลอดจนโลหิตแดงสดที่สาดกระเซ็น ล้วนสร้างความหวาดกลัวยิ่งนัก พวกเขาจึงไม่กล้ารุกล้ำเข้ามาเบื้องหน้าอีก
หลินหลันหัวเราะร่า “ในที่สุดวันนี้ก็ได้เห็นเสียทีว่าอะไรที่เรียกว่า ไม่กล้าล้ำเขตแม้แต่ก้าวเดียว”
“ชาวทู่เจวี๋ยร่นถอยแล้วขอรับ…” ฟางเจิ้นกล่าวเสียงดังขณะชี้นิ้วไปยังธงผืนใหญ่ผืนนั้นที่กำลังถอยหลังไปอย่างว่องไว
เวลานี้เอง หลินจื้อย่วนถึงได้เผยรอยยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย เห็นทีว่าของเล่นนี่จะใช้ได้ผลยอดเยี่ยมจริงๆ ทั้งยังสะดวกต่อการใช้งานอีกด้วย เขาจึงกล่าวสั่งการทันที “สั่งการโรงคลังแสง เดินหน้าผลิตทุ่นระเบิดเต็มกำลัง”
ปรมาจารย์ถังเป็นผู้มีความสามารถจริงๆ ไม่ต้องให้หลินหลันย้ำเตือน เขาได้เริ่มผลิตทุ่นระเบิดฝังดินที่มีอานุภาพรุ่นแรงยิ่งกว่าไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตัวอย่างเช่น เพิ่มเศษเหล็กลงในเครื่องปั้นดินเผา หลังระเบิดขึ้นมา เศษเหล็กจะกระเด็นออกมา มันเพียงพอที่จะเจาะทะลุของแข็ง และเพิ่มวงกว้างในการปลิดชีพได้มากยิ่งขึ้น
หลินหลันส่ายหน้าด้วยความหดหู่ ต้องยอมรับว่า โลกนี้สิ่งที่น่าเกรงกลัวมากที่สุดก็คือมนุษย์นั่นเอง
เมื่อมีเขตระเบิดเป็นแนวป้องกัน ชาวทู่เจวี๋ยคิดจะข้ามเขตระเบิดผืนนี้มา จำเป็นต้องแลกด้วยโศกนาฏกรรมอันหนักหนาสาหัส บรรดาทหารของเมืองซาอีจึงพากันเบาใจขึ้นมาก
และแผนการแอบซุ่มโจมตีของชาวทู่เจวี๋ยที่อยู่ในหยางซาน ในที่สุดก็เปิดเผยออมาอย่างชัดแจ้งเสียที ไม่เหนือจากการคาดเดาของแม่ทัพหลิน ลัวตัวนำกองทหารไปทางตะวันออกจริงๆ อย่างที่คาดการณ์ไว้ โดยบุกโจมตีหอคอยไม้ขนาดใหญ่ ณ แนวป้องกันส่วนหน้าของเซิ่งโจว แล้วนำทหารเข้าใกล้เมือง
หยางว่านหลี่ได้รับคำสั่งให้จัดการเก็บกวาดพวกทหารซุ่มโจมตีโดยด่วน จากนั้นแม่ทัพหลินจื้อย่วนจึงนำกองทัพทหารสองหมื่นนายกลับไปหนุนทัพเซิ่งโจว ทั้งยังสั่งการฟางเจิ้นนำทัพสามพันนายอ้อมไปด้านหลังของกองทัพทู่เจวี๋ยเพื่อฝังทุ่นระเบิดไว้ตามเส้นทางที่จำเป็นต้องใช้ในการแยกย้ายร่นถอย เตรียมพร้อมสำหรับการโจมตีทั้งด้านหน้าและหลัง
หลี่หมิงอวินและคนอื่นๆ ติดตามกลับไปยังเซิ่งโจวพร้อมกองหนุน ซึ่งเวลานี้ฉินเฉิงว่างรีบเผ่นออกจากเซิ่งโจวไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของกองทัพซาอี พร้อมกันโจมตีลัวตัวอย่างไม่ทันให้ตั้งตัว ส่งผลให้แผนการพังพินาศ ลัวตัวจึงจำเป็นต้องสั่งกองทัพให้ร่นถอย หลินจื้อย่วนพร้อมกองทัพตามล่าให้ยอมลดละ ทางด้านลัวตัวผู้น่าสงสาร ยามบุกโจมตีล้วนมีทหารนำหน้า ยามหนีเอาตัวรอดกลับเป็นเป็นผู้นำหน้าเสียดื้อๆ ทั้งที่มุ่งมาด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม กลับถูกกับระเบิดระเบิดขึ้นสู่ท้องนภา ทันทีที่ทหารทู่เจวี๋ยเห็นกุนซือนำทัพเสียชีวิต กลายเป็นแมลงวันไร้หัว แนวโน้มของการพ่ายแพ้อย่างย่อยยับก็ถาโถมเข้ามาประดุจภูเขาถล่ม แม่น้ำใหญ่ทลาย
ครึ่งเดือนให้หลัง ทู่เจวี๋ยต้าฮั่นจึงส่งขุนนางทูตมาร้องขอเจรจาสงบศึก