ตลอดหลายวันมานี้หลี่หมิงอวินและแม่ทัพหลิน รวมไปถึงเฝิงเต๋อผู้รักษาการณ์เมืองเซิ่งโจว ได้ปรึกษาหารือกันว่าจะเจรจากับทู่เจวี๋ยอย่างไรดี ด้วยคิดว่าเอาแน่เอานอนอะไรกับชาวทู่เจวี๋ยไม่ได้ ต่อให้การเจรจาสงบศึกประสบความสำเร็จ ตราบใดที่ทหารของพวกเขากลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง ก็คงไม่ลังเลใจที่จะฉีกสัญญาทิ้งทันที ด้วยการกระทำผิดครั้งแล้วครั้งเล่า สัญญาณกระดาษแผ่นเดียวจึงไม่อาจผูกมัดพวกเขาได้
เฝิงเต๋อกล่าว “ตามความคิดเห็นของข้า เจรจาสงบศึกไปก็เท่านั้น ส่งกองทัพใหญ่บุกไปทลายรังของทู่เจวี๋ย ทำลายพวกมันให้สิ้นซากไปเสียก็สิ้นเรื่อง”
หลินจื้อย่วนกล่าว “ต้องคำนึงว่า การกำจัดทู่เจวี๋ยให้สิ้นซากไม่ใช่เรื่องง่ายดายแต่อย่างใด ช่วงยุคสมัยเสี่ยนจง ราชวงศ์เราเคลื่อนทัพใหญ่สองแสนนายบุกไปทู่เจวี๋ย ก็ยังไม่ใช่กำจัดพวกทู่เจวี๋ยให้สิ้นซากไม่ได้หรอกหรือ พื้นที่ทู่เจวี๋ยกว้างใหญ่ไพศาล ทั้งยังเป็นชนกลุ่มเร่ร่อน พักอาศัยไม่เป็นที่เป็นทาง เจ้าไปถึง พวกเขาก็ไปแล้ว เจ้าไปแล้ว พวกเขาก็กลับมา แล้วจะกำจัดให้สิ้นซากได้อย่างไรหรือ”
หลี่หมิงอวินกล่าว “แม่ทัพหลินพูดถูกอย่างยิ่งขอรับ ทว่าเราจะยอมถูกรุกรานเช่นนี้อยู่ร่ำไปก็มิใช่เช่นกัน ไม่เพียงแต่ความพยายามทางกองทัพที่ทุ่มเทลงไปอย่างมหาศาล แต่ยังควบคุมทู่เจวี๋ยอย่างมีประสิทธิผลไม่ได้อีกด้วย ปวงประชาที่อาศัยตามแนวชายแดนต่างก็ได้รับความทุกข์จากการสู้รบได้ด้วยหลายต่อหลายปี เมื่อประชาชนอยู่เย็นเป็นสุขไม่ได้ บ้านเมืองก็ไม่อาจร่มเย็นได้ การเจรจาสงบศึก ก็แค่การให้โอกาสชาวทู่เจวี๋ยได้พักหายใจเท่านั้น สำหรับราชวงศ์เรา ก็แค่การได้มาซึ่งความสงบเพียงชั่วครู่ชั่วคราวเท่านั้น”
เฝิงเต๋อกล่าวด้วยความอึดอัดใจ “เช่นนั้นพวกท่านว่าควรทำอย่างไรหรือ”
หลี่หมิงอวินลุกขึ้นยืน แล้วเดินไปหยุดเบื้องหน้าแผนผังการจัดวางกำลังป้องกัน กล่าวขึ้นขณะมองดูพื้นที่เมืองซาอีและเซิ่งโจว “หลายวันมานี้ข้าคิดอยู่ตลอดว่า ตั้งแต่ประวัติศาสตร์ของราชวงศ์เราเป็นต้นมา ราชวงศ์เราสนใจปกปักษ์รักษาแถบหยางซานเพียงอย่างเดียว แม้ว่าส่วนหลังที่ติดกับหยางซางมีข้อได้เปรียบทางด้านการป้องกันที่มั่นคง ทว่าปัญหาก็เกิดจากการที่พวกเราคิดคำนึงเพียงว่าจะคอยป้องกันอย่างไร แต่ไม่เคยคำนึงว่าจะทำอย่างไรถึงจะสร้างการข่มขวัญแก่ทู่เจวี๋ยได้”
หลินจื้อย่วนดวงตาลุกวาวชั่ววูบ เขาลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวขึ้นมาเบื้องหน้าพลางกล่าว “ตามจริง ตลอดที่ผ่านมา ข้ามีวิธีการหนึ่งที่คิดได้” เขาชี้นิ้วไปยังตอนเหนือของแม่น้ำหวง พลางกล่าว “หากราชวงศ์เราขยับอาณาเขตเข้าไปสามร้อยลี้ ขยับเข้าไปจนถึงตอนเหนือของแม่น้ำหวง ซ่อมแซมสิ่งก่อสร้างและสร้างสิ่งก่อสร้างขึ้นเพิ่มที่นั่น ก็เสมือนกับการง้างคันธนูจ่อประตูบ้านทู่เจวี๋ยอย่างแม่นยำ ทำให้ชาวทู่เจวี๋ยรู้สึกไม่ต่างจากถูกบีบคอจนหายใจไม่ออก”
เฝิงเต๋อปรบมือพร้อมส่งเสียงกล่าว ยอดเยี่ยม! ทันทีที่ได้สดับรับฟัง
“หากทำเช่นนี้ ชาวทู่เจวี๋ยจะต้องคอยกังวลว่าจะรักษาอาณาเขตของตนไว้ได้หรือไม่เป็นอันดับแรก ซึ่งคงไม่อาจมัวครุ่นคิดมุ่งลงมาตอนใต้ได้ตามอำเภอใจอีก ครานี้ละ จะได้สั่งสอนไอ้พวกทู่เจวี๋ยให้รู้จักเสียบ้าง หากเขาตอบตกลง นั่นจะเป็นการดีที่สุด แต่หากไม่ตกลง ก็รบรากันไปจนกว่าพวกเขาจะยอมตอบตกลง”
ทั้งสามคนมองหน้ากันแล้วส่งเสียงหัวเราะขึ้นมา เมื่อภายในใจได้แผนการเป็นที่เรียบร้อย ครั้งนี้จะไม่ยอมอ่อนข้อเป็นอันขาด
ฉินเฉิงว่างได้ยินว่าคว้าชัยชนะในการสู้รบได้ อาการป่วยจึงหายเป็นปลิดทิ้งในทันที เพียงช่วงเวลาชั่วครู่ก็เดินทางกลับมายังเซิ่งโจวเพื่อทำหน้าที่ของตนเองในการเจรจาอีกครั้ง
“ใต้เท้าหลี่ พวกเราต้องร่วมมือกันดีๆ เข้าไว้ จะได้รู้ว่าควรเจรจากับทูตของทู่เจวี๋ยอย่างไร” ฉินเฉิงว่างกล่าวอย่างดิบดี
หลี่หมิงอวินทำเพียงกล่าวต่อเขาอย่างขอไปที “การเจรจากับทู่เจวี๋ยมิใช่เรื่องง่ายดายเพียงนั้น ค่อยเป็นค่อยไปเถอะ!”
“จะค่อยเป็นค่อยไปได้อย่างไรหรือ อาศัยช่วงที่คว้าชัยชนะในศึกการสู้รบครั้งนี้นี่ละ พวกเรารีบจัดการอย่างรวดเร็ว จะได้เลี่ยงปัญหาชาวทู่เจวี๋ยเปลี่ยนใจ แล้วกลายเป็นศัตรูอีกครั้ง” ฉินเฉิงว่างกล่าวด้วยความไม่พึงพอใจ
หลี่หมิงอวินนึกเหยียดหยามในใจ ใต้เท้าฉินหนอใต้เท้าฉิน เจ้าคิดอย่างไร้เดียงสาเกินไปเสียแล้ว เจ้าคิดว่าการที่ชาวทู่เจวี๋ยคิดเปลี่ยนใจ ลำพังกระดาษสัญญาใบเดียวจะควบคุมได้เช่นนั้นหรือ
“ใต้เท้าหลี่ อย่าลืมไปล่ะ เจ้าและข้าได้รับพระบัญชาฝ่าบาทให้มาที่นี่ เจ้าไม่คิดที่จะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อตอบแทนพระคุณของฝ่าบาทหรือ” ใต้เท้าฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงอันเต็มไปด้วยความฮึกเหิม เสมือนเขามีความกังวลต่อประเทศชาติและปวงประชาอย่างยิ่ง เสมือนมีความจงรักภักดีต่อฮ่องเต้และประเทศชาติเปี่ยมล้น
เฝิงเต๋อชำเลืองมองไปยังฉินเฉิงว่าง แล้วกล่าวเชิงดูถูกด้วยน้ำเสียงใจเย็น “ยามบ้านเมืองเผชิญความลำบาก ใต้เท้าฉินดันกังวลจนล้มป่วยหนักหนาสาหัส พอทู่เจวี๋ยพ่ายแพ้ ใต้เท้าฉินก็หายป่วยเสียแล้ว เห็นทีว่าใต้เท้าฉินคงเป็นห่วงบ้านเมืองและปวงประชามากมายจริงๆ นะขอรับ”
ฉินเฉิงว่างสีหน้าเปลี่ยนไป กล่าวด้วยความไม่พึงพอใจ “ใต้เท้าเฝิง กล่าวเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรหรือ”
เฝิงเต๋อเลิกคิ้วเข้มทั้งสองข้าง “ใต้เท้าฉิน ฟังไม่ออกหรือว่าข้ากำลังกล่าวชื่นชมใต้เท้าฉิน ป่วยได้ทันการณ์ และหายป่วยได้ทันการณ์เสียยิ่งกว่าอีก”
ฉินเฉิงว่างชักสีหน้าเคร่งขรึม และกล่าวด้วยความขุ่นเคือง “อย่าโทษว่าข้าไม่เตือนพวกท่านแล้วกัน หากการเจรจาสงบศึกอันเป็นเรื่องสำคัญยิ่งเกิดความผิดพลาดไป แล้วฝ่าบาทลงโทษ พวกท่านไม่ว่าใครหน้าไหนก็รับผิดชอบไม่ไหวทั้งนั้น”
หลี่หมิงอวินกล่าวด้วยคำพูดนุ่มนวล “ใต้เท้าฉินอย่าได้หุนหันพลันแล่นไปเลยขอรับ รอให้ทางกองทัพซีเป่ยกลับมาแล้ว พวกเรามีกำลังทหารในมือมากพอ การข่มขวัญพวกทู่เจวี๋ยจะได้ดูยิ่งใหญ่มากขึ้น ถึงตอนนั้นค่อยดำเนินการเจรจา มิใช่ว่าจะยิ่งมีโอกาสคว้าชัยชนะได้มากขึ้นหรอกหรือ”
“เช่นนั้น จากข้อคิดเห็นของใต้เท้าหลี่ คงต้องการยื้อเวลาการเจรจราออกไปสินะ” ฉินเฉิงว่างดูหมิ่น
หลินจื้อย่วนกล่าว “การจัดการอย่างใจเย็น แต่ได้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ ใต้เท้าฉินน่าจะเข้าใจหลักการและเหตุผลนี้มากยิ่งกว่าพวกเรานะขอรับ”
ฉินเฉิงว่างสบถ ชิ เบาๆ “เกรงก็แต่ชาวทู่เจวี๋ยจะคิดว่าราชวงศ์เราไม่มีความจริงใจ ถึงเวลาจะมาต่อสู้กันจนตายกันไปข้างเสียอีก แล้วความผิดนี้ผู้ใดจะรับผิดชอบหรือ”
เฝิงเต๋อกล่าวอย่างไม่เกรงใจ “ใต้เท้าฉิน ท่านอย่าลืมไปสิว่าตอนนี้ฝ่ายที่รบชนะคือพวกเรา มิใช่ชาวทู่เจวี๋ย ตอนนี้เป็นชาวทู่เจวี๋ยต่างหากที่ต้องหยิบยื่นความจริงใจออกมา หาใช่พวกเราไม่”
ฉินเฉิงว่างเห็นทั้งสามคนเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยจึงกล่าวด้วยความหงุดหงิด “ในเมื่อพวกท่านมีท่าทีเช่นนี้ ข้าก็คงต้องรายงานต่อราชสำนักไปตามจริง จะถูกหรือผิดให้ฮ่องเต้เป็นผู้ตัดสินแล้วกัน” เขาสะบัดแขนเสื้อหลังกล่าวจบ แล้วเดินออกไปทันที
เฝิงเต๋อรอกระทั่งเขาเดินพ้นออกไปแล้ว จึงกล่าวตำหนิ “ขี้ขลาดตาขาวกลัวตาย แล้วยังแสร้งเป็นผู้กล้าหาญที่จงรักภักดีอยู่ได้”
หลินจื้อย่วนกล่าว “ทูตทู่เจวี๋ยจะมาถึงแล้ว ช่วงก่อนที่การจัดการทัพทหารของเขายังไม่เสร็จสิ้น ทางที่ดีที่สุดอย่าให้คนผู้นี้รับรู้แผนการท่านกับข้าจะดีกว่า ใต้เท้าหลี่ ท่านส่งข่าวคราวไปให้จิ้งปั๋วโหว์เสียก่อน หากคนผู้นี้กล่าวไร้สาระเพ้อเจ้อออกไป ท่านและข้าจะไปอธิบายต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ในทันทีก็มิได้เสียด้วย...”
หลี่หมิงอวินพยักหน้าและกล่าว “เรื่องนี้ข้าเตรียมการไว้แล้วขอรับ ฝ่าบาททรงมีพระปรีชาสามารถและชาญฉลาดยิ่ง ยิ่งไปกว่านั้น ฝ่าบาททรงปรารถนาให้เขตชายแดนสงบร่มเย็นเสียยิ่งกว่าท่านและข้าด้วยซ้ำไป”
หลังสนทานาเรื่องการบ้านการเมืองเสร็จสิ้น เฝิงเต๋อจึงขอตัวออกไปก่อน
หลินจื้อย่วนกล่าว “ถือว่าได้พักหายใจหายคอกันเสียที จะว่าไปแล้ว ข้ายังมิเคยได้ขอบคุณภรรยาใต้เท้าหลี่ที่คอยดูแลเอาใจใส่ภรรยาของข้า”
หลี่หมิงอวินเผยรอยยิ้มเล็กน้อย “ท่านแม่ทัพเกรงใจกันเกินไปแล้วขอรับ หมอหลินกับภรรยาท่านพบเจอกันด้วยโชคชะตา ได้ไปมาหาสู้กันจนมีความสนิทสนม เรื่องดูแลซึ่งกันและกันจึงเป็นสิ่งสมควรขอรับ”
หลินจื้อย่วนกล่าวด้วยสีหน้าเบิกบาน “ภรรยาข้าเอ่ยถึงหลี่ฮูหยินในจดหมาย กล่าวว่าซานเอ๋อร์ชื่นชอบหลี่ฮูหยินอย่างยิ่ง จ้องแต่จะเรียกหลี่ฮูหยินว่าพี่สาว ข้าเองก็เลื่อมใสในตัวหลี่ฮูหยินอย่างยิ่งเช่นกัน ที่ทนต่อความยากลำบาก ติดตามใต้เท้าหลี่ขึ้นมาตอนเหนือได้ ”
หลี่หมิงอวินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ท่านแม่ทัพกล่าวชมกันเกินไปแล้วขอรับ ซานเอ๋อร์เป็นเด็กที่ชาญฉลาดยิ่งนัก พวกเราล้วนชื่นชอบเขาอย่างยิ่งขอรับ”
เมื่อกล่าวถึงบุตรชายแก้วตาดวงใจ สายตาของหลินจื้อย่วนจึงดูอ่อนโยนและใจดีขึ้นมาทันใด “ครั้งก่อนที่ข้าจากมา ซานเอ๋อร์ยังเดินไม่ได้เลยด้วยซ้ำ!”
หลี่หมิงอวินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้น ครั้งหน้าท่านแม่ทัพได้เจอซานเอ๋อร์ อาจจำมิได้แล้วก็เป็นได้นะขอรับ”
หลินจื้อย่วนหัวเราะร่า “คาดว่ากระทั่งข้าที่เป็นพ่อเขาคนนี้ ก็คงจำกันมิได้แล้วเช่นกัน”
“จะเป็นไปได้อย่างไรกันขอรับ! สายสัมพันธ์เลือดเนื้อเชื้อไข สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ธรรมชาติรังสรรค์ไว้แล้ว ต่อให้แยกจากกันไปนานเพียงใด ก็ไม่มีทางจำมิได้หรอกขอรับ” หลี่หมิงอวินกล่าวอย่างมีนัยนะ “จริงสิขอรับ พอกล่าวถึงเรื่องนี้ขึ้นมา บ้านเกิดภรรยาของข้าก็อยู่ที่หูโจวเช่นกันนะขอรับ ไม่รู้ว่าท่านแม่ทัพยังมีญาติมิตรอยู่ที่บ้านเกิดอยู่หรือไม่ ไม่แน่ว่าอาจรู้จักกันก็เป็นได้นะขอรับ!”
หลินจื้อย่วนเผยสีหน้าประหลาดใจ “อ้อ? เช่นนั้นก็คงบังเอิญจริงๆ เชียว พี่สาวข้ายังอยู่ที่หูโจว”
“ภรรยาข้าก็มีป้าอยู่ที่หูโจวเช่นกันขอรับ ทว่าข้ายังมิเคยไปมาก่อน จึงไม่รู้ว่าท่านป้าผู้นั้นตอนนี้เป็นเช่นไรบ้าง” หลี่หมิงอวินกล่าวหยั่งเชิง “ท่านแม่ทัพคอยเฝ้ารักษาการณ์อยู่ที่ชายแดนมาสิบกว่าปีแล้ว ได้แวะเวียนกลับบ้านเกิดไปเยี่ยมญาติบ้างหรือไม่ขอรับ”
หลินจื้อย่วนถอนหายใจ “มิได้กลับไปหลายปีมากแล้ว และไม่รู้ว่าสถานการณ์ที่บ้านเป็นเช่นไรบ้าง”
หลี่หมิงอวินจึงกล่าวขึ้นอีกครั้ง “จิตใจของท่านแม่ทัพเต็มไปด้วยการปกป้องประชาชนแนวชายแดนให้อยู่เย็นเป็นสุข จึงยอมเสียสละละทิ้งครอบครัวเพื่อได้ดูแลปวงประชาทุกคน ช่างเป็นสิ่งที่น่าเลื่อมใสยิ่งนักขอรับ ดูจากวัยท่านแม่ทัพ ควรจะได้แต่งงานมีครอบครัวตั้งนานแล้วนะขอรับ เฮ้อ! หากราชวงศ์เรามีแม่ทัพเสมือนท่านที่จงรักภักดีเพียงนี้ ใยต้องกังวลว่าจะปกป้องอาณาเขตมิได้อีก”
ชั่ววูบหนึ่งที่นัยน์ตาของหลินจื้อย่วนเคลือบไว้ด้วยความเสียใจอย่างชัดเจน ก่อนกล่าวอย่างเศร้าสลด “ใต้เท้าหลี่กล่าวชมกันเกินไปแล้ว ตามจริง ข้าก็แค่หลีกเลี่ยงมิได้ อันที่จริง ข้ามีภรรยาและลูกๆ อยู่ที่บ้านเกิด น่าเสียดาย ข้าปกป้องปวงประชาแนวชายแดนได้ แต่กลับปกป้องภรรยาและลูกของตนเองได้ ทำให้พวกเขาทั้งหมดอดยากจนเสียชีวิตไป…”
หลี่หมิงอวินตระหนกตกใจ จากนั้นจึงเอ่ยปากถาม “คู่ครองเดิมของท่านแม่ทัพเสียชีวิตไปแล้วหรือขอรับ”
หลินจื้อย่วนพยักหน้าอย่างหมดอะไรตายอยาก และกล่าวด้วยน้ำเสียงที่สัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดอย่างยิ่ง “สิบปีก่อน ที่บ้านเกิดข้ามีภัยแล้ง อดยากปากแห้ง ซากศพกระจายไปทั่วทุกหนแห่ง ภรรยาและลูกๆ ข้าก็หนีไม่พ้นเช่นกัน…เฮ้อ! เดิมทีข้าคิดว่าเมื่อได้กลับสู่บ้านเกิดอีกครั้ง จะทำให้ภรรยาและลูกๆ ได้มีชีวิตที่สุขสบาย คาดไม่ถึงว่า หลังกลับไปบ้านเกิด ดันได้ยินข่าวร้ายเช่นนี้…”
หลี่หมิงอวินประหลาดใจปนตระหนกตกใจหนักยิ่งกว่าเดิม “ท่านแม่ทัพได้เห็นกับตาหรือขอรับ”
หลินจื้อย่วนส่ายหน้าด้วยความเสียใจ “เป็นคำพูดจากพี่สาวข้า นี่ก็เป็นสิ่งที่ข้าเสียใจมากที่สุดในชั่วชีวิตนี้ หากบุตรชายคนโตของข้ายังมีชีวิตอยู่ ตอนนี้ก็คงรุ่นราวคราวเดียวกับใต้เท้าหลี่ แล้วยังมีบุตรสาวคนเล็กของข้าอีกคน เป็นเด็กสาวที่ฉลาดหลักแหลมเสียยิ่งอะไรดี แต่ก็ไม่อยู่เสียแล้ว…”
มองดูดวงตาของเขาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกเสียใจ หลี่หมิงอวินจึงเลือกที่จะไม่ซักไซ้ไล่เรียง ภายในใจก็พอได้คำตอบมาบ้างแล้วเช่นกัน เห็นทีว่าปัญหาจะเกิดจากตัวผู้เป็นป้าคนนั้น
หลี่หมิงอวินกล่าวปลอบใจแม่ทัพหลินอยู่พักหนึ่ง แล้วจึงรีบไปหาหลินเฟิง
“พี่ใหญ่ ตอนแรกท่านไปหาท่านป้า เป็นนางพูดออกมาเองหรือว่าท่านพ่อเสียชีวิตไปแล้ว”
หลินเฟิงพยักหน้าด้วยความมั่นใจยิ่งนัก “เป็นนางพูดเช่นนี้จริงๆ”
“เช่นนั้นท่านได้เห็นหนังสือแจ้งถึงการเสียชีวิตของทัพทหารหรือไม่”
“ข้าถามแล้ว แต่ป้าข้าเอ่ยว่าทิ้งไปแล้ว” หลินเฟิงกล่าว พลางขมวดคิ้วขณะจ้องมองหลี่หมิงอวิน จากนั้นหลินเฟิงจึงเอ่ยถาม “ทำไมหรือ เจ้าได้ถามเขามาแล้วหรือ เขาว่าอย่างไรบ้าง”
หลี่หมิงอวินกล่าวพลางครุ่นคิด “ปกติแล้วความสัมพันธ์ระหว่างพวกท่านกับท่านป้าเป็นเช่นไรหรือขอรับ”
หลินเฟิงครุ่นคิด แล้วกล่าว “ก็ไม่ค่อยลงรอยเท่าใดนัก ป้าข้าผู้นี้ขี้เกียจสันหลังยาว ส่วนลุงเขยข้านี่ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง แล้วยังติดการพนันอีกด้วย ตอนที่ท่านพ่อข้าอยู่ พวกเขามายืมเงินที่บ้านข้าหลายต่อหลายครั้ง ท่านพ่อข้าอาศัยการล่าสัตว์ประทังชีวิต พวกเราครอบครัวก็แทบจะไม่พอเลี้ยงปากท้องแล้วเช่นกัน แล้วจะไปเหลือเงินหรือข้าวสารให้พวกเขายืมที่ไหนกันล่ะ แรกเริ่ม พ่อข้ายังให้พวกเขายืมอยู่สามสี่ครั้ง ภายหลังต่อมาไม่มีให้ยืมจริงๆ พวกเขาก็ว่าแม่ข้ายุยง และเอาแต่พูดให้ร้ายแม่ข้าลับหลังไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร”
หลี่หมิงอวินถอนหายใจ และกล่าว “พี่ใหญ่ เห็นทีว่าทั้งหมดนี้เป็นฝีมือท่านป้าของท่านแล้วละ วันนี้ข้าได้ถามไถ่แม่ทัพหลินมาแล้ว ตอนนั้นเขากลับบ้านเกิดไปหาพวกท่าน แต่เป็นเพราะป้าของท่านบอกกล่าวเขาว่า พวกท่านทั้งหมดเสียชีวิตแล้ว เสียชีวิตเพราะอดยาก”
หลินเฟิงเผยสีหน้าตกตะลึง “เป็นไปมิได้กระมัง! ต่อให้ท่านป้าเกลียดแม่ข้ามากเพียงใด ก็คงไม่พูดโกหกถึงขั้นว่าพวกเราตายไปแล้วกระมัง”
หลี่หมิงอวินชายตามองเขา แล้วกล่าวด้วยความหดหู่ใจ “คนที่จิตใจต่ำทราม บางครั้งต่อให้เป็นญาติมิตรก็ไม่อาจเชื่อหมดใจได้”
“เช่นนั้น…เช่นนั้นจะทำอย่างไรหรือ เจ้าเชื่อที่ท่านพ่อข้าพูดหรือ” หลินเฟิงรู้สึกสิ้นหวังเล็กน้อย เขาไม่กล้าเชื่อว่าบิดาได้กลับบ้านเกิดไปตามหาพวกเขาจริง และบิดาไม่เคยลืมเลือนพวกเขา…
หลี่หมิงอวินย้อนนึกไปถึงสีหน้าอันแสดงให้เห็นถึงความเจ็บปวดและเศร้าเสียใจในตอนนั้น จึงกล่าว “ข้าคิดว่าแม่ทัพหลินดูไม่เหมือนกำลังพูดโกหกแต่อย่างใด”
หลินเฟิงกล่าวด้วยความเศร้าสลดกว่าครั้งไหนๆ “เหตุใดตอนแรกข้าถึงไม่เคลือบแคลงใจเลยสักนิดนะ เหตุใดถึงไปเชื่อคำพูดของท่านป้าเสียได้”
หลี่หมิงอวินกล่าวปลอบใจ “เรื่องนี้จะโทษท่านก็มิได้เช่นกัน ใครจะคาดถึงว่าท่านป้าท่านจะเอาชีวิตคนมาล้อกันเล่น จนทำให้พวกท่านครอบครัวต้องพลัดพรากจากกัน ทำให้ท่านแม่ท่านต้องแยกจากท่านพ่อของท่าน”
หลี่หมิงอวินกล่าวขึ้นหลังชะงักไปชั่วครู่ “เรื่องนี้ ข้าคิดว่า ควรบอกกล่าวหลันเอ๋อร์ได้แล้วละ”