หลินหลันฟังพี่ชายและหลี่หมิงอวินพูดจนจบด้วยความนิ่งงัน จากนั้นมองดูทั้งสองด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึกใดๆ
หลี่หมิงอวินและหลินเฟิงมองหน้ากันเลิ่กลั่ก มันก็จริงอยู่ที่ว่าเรื่องนี้กะทันหันอย่างยิ่ง แต่ถึงอย่างไรหลันเอ๋อร์ก็ต้องมีปฏิกิริยาโต้ตอบบ้างถึงจะถูก ไม่ประหลาดใจ ก็ดีใจ หรือไม่ก็รู้สึกเสียใจ…หรืออาจเอ่ยคำถามขึ้นมาบ้าง แต่หลันเอ๋อร์กลับไร้ปฏิกิริยาโต้ตอบใดๆ ทำให้ทั้งสองมึนงงสับสนเล็กน้อย
“น้องพี่ เจ้าว่าเรื่องนี้ควรทำเช่นไรหรือ” หลินเฟิงกลัดกลุ้มอย่างยิ่ง
หลินหลันลุกพรวด แล้วก้าวเดินมุ่งออกไปด้านนอก หลี่หมิงอวินจึงรีบติดตามไป “หลันเอ๋อร์ เจ้าจะไปไหนหรือ”
หลินหลันเดินอย่างว่องไว หลี่หมิงอวินและหลินเฟิงเห็นหลันเอ๋อร์เดินปรี่มุ่งไปยังที่พักของแม่ทัพหลิน จึงรู้สึกร้อนรนใจ เห็นท่าทางนี้ของหลันเอ๋อร์ คงต้องไปซักถามถึงที่พร้อมประณามการกระทำผิดของอีกฝ่ายเป็นแน่!
“น้องพี่ น้องพี่ เจ้าฟังข้าก่อน เรื่องนี้ พวกเรากลับไปปรึกษาหรือกันก่อนเถอะ หากเจ้ากล่าวว่ายอมรับ เราก็ยอมรับ เจ้าว่าไม่ยอมรับ ก็ไม่ยอม…” หลินเฟิงพยายามชุดกระฉากลากถูหลินหลันเพื่อหยุดยั้ง
หลินหลันสะบัดมือของพี่ชาย แล้วก้าวเดินต่อไปอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น
หลี่หมิงอวินแอบรู้สึกกลัดกลุ้ม ก็เพราะรู้อยู่แล้วว่าหลันเอ๋อร์นิสัยใจร้อน ดังนั้นจึงไม่กล้าบอกกล่าวนางมาโดยตลอด ครานี้เรื่องราวทั้งหมดสืบสาวจนได้ความชัดเจนแล้ว ถึงกล้าปรึกษาหารือกับนาง คาดไม่ถึงว่านางจะยังไม่อาจหักห้ามความโกรธเกรี้ยวไว้ได้ นี่หากเกิดปัญหาขึ้นมา ยังไม่รู้เลยว่าจะจัดการสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไรดี
หลินจื้อย่วนกำลังก้มหน้าก้มตาศึกษาลักษณะของพื้นที่ตอนเหนือของแม่น้ำหวง ได้ยินเพียงเสียงทหารรักษาการณ์ด้านนอกกล่าวขึ้น “หมอหลินขอรับ ท่านแม่ทัพกำลังปฏิบัติงาน หากยังมิได้แจ้งให้ทราบจะเข้าไปด้านในมิได้ขอรับ…”
จากนั้นได้ยินเสียงคนออกแรงผลักประตูตามมาติดๆ หลินจื้อย่วนอดขมวดคิ้วไม่ได้
หลินหลันพุ่งเข้ามาถึงเบื้องหน้าหลินจื้อย่วนประดุจลมกรด ดวงตาคู่โตเผยให้เห็นความโกรธเกรี้ยว จ้องมองบุรุษเบื้องหน้าที่เคยทำให้นางรู้สึกชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง แต่ตอนนี้ ขณะมองดูคนผู้นี้ คนที่กล่าวได้ว่าเป็นบิดาของนาง ภายในใจหลินหลันมีเพียงความโกรธเคืองเท่านั้น ในสมองเต็มไปด้วยภาพมารดาที่พร่ำเรียกชื่อหลินซานคำนี้พร้อมหยาดน้ำตาไหลริน ก่อนลาลับจากโลกนี้ไป แต่บุรุษผู้นี้กลับแต่งงานกับสตรีผู้งดงามและอ่อนหวาน ทั้งยังให้กำเนิดบุตรชายตั้งนานแล้ว
หลินจื้อย่วนถูกนางจ้องเขม็งจนรู้สึกประหลาดใจชอบกล ด้วยเหตุผลต่างๆ นานา หลินจื้อย่วนจึงพยายามอดกลั้น ให้อภัยนางที่ไร้มรรยาท แล้วกล่าวถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “หลี่ฮูหยิน มีเรื่องอันใดหรือ”
หลี่หมิงอวินและหลินเฟิงตามไปถึงติดๆ หลินเฟิงเข้าไปดึงมือน้องสาว “น้องพี่ อย่าทำเช่นนี้เลย กลับไปก่อนค่อยว่ากันอีกที…”
หลี่หมิงอวินกล่าวขออภัยต่อแม่ทัพหลิน “ขออภัยที่รบกวนท่านแม่ทัพขอรับ ข้าจะพาภรรยากลับไปเดี๋ยวนี้ขอรับ”
หลินหลันสะบัดแขนหลุดจากการเกาะกุมของพี่ชาย “ท่านจะรั้งข้าทำไมหรือ ต้องการพูดก็ต้องพูดกันต่อหน้าให้ชัดเจนไปเลย”
นางก้าวขึ้นไปประชิดเบื้องหน้าหนึ่งก้าว และกล่าวด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว “ขออนุญาตถามท่านแม่ทัพสักหน่อยนะเจ้าคะ ท่านกลับไปหูโจวเมื่อใดหรือเจ้าคะ”
หลินจื้อย่วนจ้องมองหลี่หมิงอวิน แล้วจึงมองหลินหลัน ภายในสมองเต็มไปด้วยความมึนงงสับสน “ใต้เท้าหลี่ หลี่ฮูหยิน นี่มัน…”
“ตอบข้าสิ ท่านจำเป็นต้องตอบข้า” หลินหลันถามด้วยท่าทีแข็งกร้าว
หลี่หมิงอวินกล่าวด้วยความรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “ขอท่านแม่ทัพโปรดช่วยบอกกล่าวให้ทราบด้วยนะขอรับ” ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เขาจำเป็นต้องยืนในแนวเส้นเดียวกับหลันเอ๋อร์
หลินจื้อย่วนรู้สึกไม่พึงพอใจอย่างยิ่ง นี่มันเป็นประโยคคำถามเสียที่ไหนกัน มันเป็นการเค้นถามผู้กระทำผิดเห็นๆ เพื่อเห็นแก่หน้าหลี่หมิงอวินหลินจื้อย่วนจึงกล่าว “ปีมะเส็ง เดือนสี่ ทำไมหรือ”
ปีมะเส็ง เดือนสี่? หลินเฟิงพึมพำอย่างตกตะลึง “คลาดไปเพียงเดือนเดียวเท่านั้น แค่เดือนเดียวเอง…” เขากลับหูโจวไปเมื่อ ปีมะเส็ง เดือนสาม และผู้เป็นป้าเอ่ยว่าบิดาเขาเสียชีวิตไปแล้ว
หลินหลันแสยะยิ้มเย็นชา “ปีมะเส็ง เดือนสี่ เยี่ยมมาก หากข้าจำไม่ผิด ปีนี้ซานเอ๋อร์อายุห้าขวบ เกิดตอนเดือนเจ็ด ซึ่งก็หมายความว่า หลังท่านแม่ทัพกลับหูโจว ได้ยินว่าภรรยาและลูกๆ ไม่อยู่แล้ว แม่ทัพก็เลยรีบแต่งงานใหม่ทันที ตอนนั้นแม่ทัพคงเสียใจมากเลยสินะเจ้าคะ! เหตุใดถึงไม่กลับบ้านเกิดให้เร็วหน่อย หากรู้แต่แรกว่าภรรยาและลูกๆ ไม่อยู่บนโลกนี้แล้ว ก็คงได้แต่งกับภรรยาใหม่ไปตั้งนานแล้ว นี่เลยต้องเสียเวลาไปตั้งหลายปีเพียงนี้…”
สีหน้าของหลินจื้อย่วนบึ้งตึงยิ่งขึ้น “หลี่ฮูหยิน นี่เป็นเรื่องครอบครัวของข้า จึงมิจำเป็นต้องให้หลี่ฮูหยินเอ่ยปากบอกกล่าว ข้าจะจัดการเรื่องราวอย่างไรนั้น ไม่ถึงขั้นต้องให้หลี่ฮูหยินมาเสนอความคิดเห็น” เขากล่าวด้วยความโกรธเคือง
หลินหลันยดยิ้มเศร้าสร้อย กล่าวด้วยน้ำเสียงโกรธเคือง “ท่านว่าข้าไม่มีสิทธิ์ว่ากล่าวท่านใช่หรือไม่ หลินซาน หลินจื้อย่วน ท่านเบิกตาท่านดูให้ชัดเจนว่า คนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าท่านเป็นใคร”
หลินจื้อย่วนรู้สึกประหนึ่งถูกค้อนทุบลงมาที่ศีรษะ เมื่อได้ยินคำว่าหลินซาน มันเหลือเชื่อ เขาจึงมองหลินหลันด้วยสีหน้าตระหนกตกใจ “เจ้า…เจ้าเป็นใคร”
“ข้าเป็นใครหรือ ข้านามว่าหลินหลัน เขานามว่าหลินเฟิง แม่ข้านามว่าเฉินเพ่ยหรง...” หลินหลันกระชากพี่ชายมายืนเบื้องหน้าหลินจื้อย่วน “ท่านว่าพวกเราเป็นใครหรือ”
หลินจื้อย่วนถึงกับเซถลาไปหนึ่งฝีก้าวด้วยความตื่นตกใจ หลินหลัน หลินเฟิง...นี่เป็นชื่อที่เขาตั้งให้บุตรชายและบุตรสาวของตนเอง แล้วไยเขาจะจำไม่ได้ เมื่อมองดูใบหน้าเยาว์วัยของทั้งสองที่กำลังโกรธเคือง เขาพยายามนึกทบทวนภาพในความทรงจำของทั้งสองคนนี้กับคนเองขึ้นมา
“เจ้า…คือหลันเอ๋อร์ เจ้า…คือเฟิงเอ๋อร์?” หลินจื้อย่วนกล่าวด้วยเสียงสั่นเครือ รู้สึกราวกับตกอยู่ในห้วงแห่งความฝัน เขารู้สึกเหลือเชื่อ และไม่กล้าเชื่อด้วยซ้ำไป
หลินหลันหายใจหนักและถี่ขึ้น “หลันเอ๋อร์ก็เป็นชื่อที่ท่านตั้งเช่นกันหรือ ท่านมีสิทธิ์อันใดมาเรียกข้า ในสายตาผู้อื่น ท่านเป็นแม่ทัพที่ผู้คนต่างให้ความชื่นชมและศรัทธา ขึ้นชื่อในการสู้รบที่ไม่รู้จักการพ่ายแพ้ ทว่าในใจข้า ท่านเป็นแค่ไอ้คนไร้ความรับผิดชอบและไม่มั่นคงต่อความรัก เสียดายที่ท่านแม่เฝ้ารอท่านอยู่ทุกวัน ก่อนลาจากโลกนี้ไปก็ยังพร่ำเรียกหาแต่ท่าน ทว่าท่าน เพียงแค่ได้ยินว่าคนเขาตายจากไปแล้ว ก็เข้าใจว่าพวกเราตายจากไปแล้วจริงๆ หลินจื้อย่วน ท่านเห็นพวกเราเป็นอะไรหรือ ท่านคิดว่าตนเองเลี้ยงหมาเลี้ยงแมวหรือไร ตายก็ตายไป นึกจะทิ้งก็ทิ้ง ท่านเห็นแม่ข้าเป็นอันใดหรือ คนอื่นเขาภรรยาเสียชีวิตแล้ว ยังต้องไว้อาลัยให้เป็นปีๆ แต่ดูท่านสิ กลับเร่งรักแต่งภรรยาใหม่ทันควัน เริ่มต้นชีวิตใหม่อย่างสุขสำราญ หลินซาน หลินจื้อย่วน ท่านก็คือไอ้คนไร้ความรับผิดชอบอย่างสมบูรณ์แบบดีๆ นี่เอง”
หลินจื้อย่วนได้ฟังบุตรสาวกล่าวตำหนิอย่างรุนแรง ภายในใจจึงเกิดความละอายแก่ใจและย่ำแย่ทันที เขาคาดไม่ถึงจริงๆ ว่าบุตรสาวและบุตรชายทั้งสองยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งก็อยู่ข้างกายเขานี่เอง และเป็นพี่สาวที่โกหกเขา…มันเป็นการยากยิ่งสำหรับหลินจื้อย่วนที่จะเอื้อนเอ่ยออกไป เขาจึงกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “หลันเอ๋อร์ เจ้าฟังพ่ออธิบาย…”
“พ่อ? ท่านเป็นพ่อของซานเอ๋อร์ มิใช่พ่อของข้า ท่านอย่าทำเป็นมีเยื่อใยในตอนนี้เลย ในใจของข้า ท่านพ่อข้าตายไปนานแล้ว และข้าก็ยินยอมเข้าใจว่าท่านตายไปนานแล้ว”
หลินจื้อย่วนกล่าวน้ำเสียงร้อนรนใจ “เฟิงเอ๋อร์ หลันเอ๋อร์ พ่อรู้ว่าพ่อทำผิดต่อพวกเจ้า แต่ว่า ขอพวกเจ้าโปรดเข้าใจความเสียใจของพ่อในตอนนั้นด้วย”
ความเสียใจ? ความเสียใจบ้าบออะไร ก็แค่การหาเห็นผลให้ความไม่ซื่อสัตย์ต่อความรักของตนเองเท่านั้น หลินหลันหันหน้าไปเอ่ยถามหลินเฟิง “พี่ใหญ่ พ่อเช่นนี้ ท่านยังอยากรับอีกหรือไม่”
หลินเฟิงมองดูใบหน้าของหลินจื้อย่วนที่แสดงถึงความละอายแก่ใจ พร้อมดวงตาคู่เว้าวอน นาทีนี้ เขาไม่ใช่แม่ทัพซึ่งเป็นผู้บัญชาการในสนามรบที่ดุดันและองอาจผ่าเผยอีกแล้ว เขาเป็นเพียงบิดาคนหนึ่งที่อ้อนวอนขอการให้อภัยจากบุตรชายบุตรสาว ทว่า…เขาจะยอมให้อภัยหรือไม่ บิดาเพื่อตอบแทนคุณประเทศชาติบ้านเมือง จึงไม่อาจดูแลภรรยาและลูกๆ ได้ ในส่วนนี้เขาให้อภัยได้ บิดาถูกคนโกหกหลอกลวงว่าพวกเขาไม่อยู่แล้ว และไม่ยืนหยัดที่จะตามหาพวกเขา เขายังให้อภัยได้ แต่เขาไม่อาจให้อภัยในส่วนที่ว่า ไม่ทันไรบิดาก็ลืมพวกเขาไปเสียแล้ว ไม่ทันไรก็แต่งงานใหม่เสียแล้ว แล้วนี่จะให้มารดารู้สึกอย่างไร น้องสาวพูดถูก บิดาเป็นแค่ไอ้คนไร้ความรับผิดชอบที่ไม่ซื่อสัตย์ต่อความรัก
หลินเฟิงเม้มริมฝีปากเข้าหากันแน่น ดวงตาฉายความเย็นชายิ่งขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นเขาจึงเอื้อมมือไปคว้ามือของผู้เป็นน้องสาว “พวกเราไม่รู้จักคนผู้นี้ พวกเราไปกันเถอะ”
หลินจื้อย่วนยื่นมือออกไป คิดจะรั้งบุตรสาวและบุตรชายไว้ ทว่ามือของเขายังไม่ทันแตะชายเสื้อของหลินหลัน หลินเฟิงและหลินหลันก็เดินจากไปเสียแล้ว
หลี่หมิงอวินส่ายหน้าพลางถอนหายใจบางเบา แม้ว่าแม่ทัพหลินจะมีเหตุผลที่ควรให้อภัย ทว่าที่หลันเอ๋อร์พูดก็มีเหตุมีผลเช่นกัน หากเป็นสามีที่รักใคร่ภรรยา และเป็นบิดาที่รักใคร่ลูกๆ อย่างลึกซึ้ง เหตุใดหลังแม่ทัพหลินได้รับข่าวร้ายของภรรยาและลูกๆ ถึงได้แต่งงานกับบุตรสาวตระกูลเฝิงทันที ด้วยประเด็นนี้ ต่อให้เขามีเหตุผลมากมาย ก็ทำให้คนเขาไม่อาจอภัยให้ได้
“ใต้เท้าหลี่…” หลินจื้อย่วนทั้งรู้สึกละอายแก่ใจ ทั้งรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก คาดไม่ถึงเลยว่าใต้เท้าหลี่จะเป็นบุตรเขยของเขา ตอนนี้หลันเอ๋อร์และหลันเฟิงเกลียดเขาเสียยิ่งกว่าอะไร คงไม่รับฟังเขาอธิบายเป็นแน่ เขาจึงทำได้เพียงร้องขอความช่วยเหลือจากบุตรเขยเสียแล้ว
หลี่หมิงอวินถอนหายใจออกมาเบาๆ “หากท่านแม่ทัพคิดจะให้บุตรทั้งสองยอมรับ เกรงว่าต้องเปลืองแรงสักหน่อยนะขอรับ” เมื่อกล่าวจบ เขายกสองมือขึ้นคารวะแล้วกล่าวลา
ส่วนเรื่องที่ว่าจะยอมรับเป็นบิดาหรือไม่ เขาไม่กล้าเป็นผู้กล่าวฟันธงได้
หลินจื้อย่วนหย่อนตัวลงนั่งอย่างหมดอาลัยตายยาก เขากอบกุมศีรษะด้วยความกลัดกลุ้ม เขาต้องทำอย่างไรถึงจะได้รับการให้อภัยจากหลันเอ๋อร์และเฟิงเอ๋อร์
ทันทีที่หลินหลันพ้นประตูออกมา หยาดน้ำตาก็ไหลรินไม่ขาดสาย นางมิได้ร้องไห้เพื่อตนเอง แต่เพราะรู้สึกเสียใจแทนมารดา มารดาตัวคนเดียวหอบหิ้วพวกเขาพี่น้อง เผชิญความยากลำบากมากมาย ท้ายที่สุดกลับแลกมาด้วยผลลัพธ์เช่นนี้ หรือว่าบุรุษล้วนเป็นสัตว์ที่ไร้หัวจิตหัวใจ? แน่นอนว่านางก็ต้องร้องไห้เพื่อตนเองเช่นกัน เพราะนางจะเป็นสหายที่ดีกับแม่เลี้ยงได้อย่างไร นี่มันเรื่องบ้าบออะไรกัน
“น้องพี่ อย่าได้เสียใจไปเลย พวกเราก็คิดเสียว่าท่านพ่อของพวกเราตายจากไปนานแล้วก็พอ” หลินเฟิงกล่าวปลอบใจ
“ใครว่าข้าเสียใจ ข้ามิได้เสียใจสักหน่อย ท่านพ่อแบบนี้ไม่มียังจะดีเสียกว่า” หลินหลันกล่าวด้วยความอึดอัดใจ
“อืม! เช่นนั้นพวกเราก็คิดเสียว่าไม่รับรู้เรื่องนี้ ถือว่าเรื่องว่านี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน” หลินเฟิงกล่าว
หลินหลันกลอกตามองบนใส่เขา และกล่าวด้วยอารมณ์หงุดหงิด “จะให้ถือว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนได้อย่างไร ข้าเกลียดเขา หลังจากนี้ถ้าข้าเจอหน้าเขาครั้งหนึ่ง ก็จะด่าเขาครั้งหนึ่ง”
หลินเฟิงสะดุ้งเฮือก มิต้องถึงขนาดนี้ก็ได้กระมัง!
หลี่หมิงอวินเดินเข้ามา “พี่ใหญ่ ท่านกลับไปก่อนเถิด! เดี๋ยวข้าเกลี้ยกล่อมนางเอง”
หลินเฟิงพยักหน้า ก่อนหันมองน้องสายด้วยความไม่วางใจ เขาทอดถอนหายใจออกมาอย่างหนัก แล้วจึงเดินจากไป
หลี่หมิงอวินมองดวงตาแดงก่ำของหลันเอ๋อร์ ก่อนกล่าวด้วยความห่วงใย “กลับไปล้างหน้าล้างตาก่อนเถอะ เดี๋ยวคนอื่นมาเห็นเข้า จะคิดว่าข้ารังแกเจ้าเสียอีก”
หลินหลันชำเลืองตาจ้องมองเขา และกล่าวเตือน “เจ้าห้ามช่วยเขาเป็นอันขาด มิเช่นนั้นข้าจะเอาเรื่องเจ้า”
หลี่หมิงอวินเผยรอยยิ้มเจื่อน “จะได้อย่างไรกันล่ะ ข้าเป็นสามีเจ้า ต้องช่วยเหลือเจ้าอยู่แล้ว”
เมื่อกลับเข้าไปในห้องพัก หลี่หมิงอวินบิดผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดใบหน้าให้หลินหลัน พลางกล่าวกึ่งล้อเล่น “ข้าเดาว่าชั่วชีวิตนี้ของแม่ทัพหลินคงไม่เคยถูกคนตำหนิเช่นนี้มาก่อน”
หลินหลันเม้มปาก “สมน้ำหน้าเขา”
“ทว่า ถึงอย่างไรเขาก็เป็นพ่อเจ้า เจ้าตั้งใจจะไม่แยแสเข้าทั้งชีวิตจริงๆ หรือ” หลี่หมิงอวินกล่าวหยั่งเชิง
“ข้าจะแยแสเขาไปทำไมหรือ” หลินหลันกล่าวอย่างหงุดหงิด “หากเปลี่ยนเป็นเจ้า ข้าตายไปแล้ว เจ้าจะหันไปแต่งงานกับคนใหม่ทันทีเลยหรือไม่”
หลี่หมิงอวินรีบยกมือขึ้นอุดปากของนาง “พูดอะไรของเจ้า ใครเขาเอาเรื่องเช่นนี้มาเปรียบเทียบกันหรือ”
หลินหลันดึงมือของเขาออก “เจ้าอย่ามาเฉไฉกับข้า บอกมาว่าเจ้าจะทำเช่นนั้นหรือไม่ก็พอ”
หลี่หมิงอวินกอบกุมมือของนางและกล่าวอย่างจริงจัง “หากเรื่องโชคร้ายเช่นนี้เกิดขึ้นกับข้าจริง ข้าก็จะออกจากบ้านไปเป็นพระ”
หลินหลันกล่าวเชิงดูถูก “ได้สิ! เจ้าไปเป็นพระ วัดไหนรับเจ้าไว้ รับประกันว่าต้องรุ่งโรจน์โชติช่วงเป็นแน่”
หลี่หมิงอวินเผยรอยยิ้มเจื่อน “เช่นนั้นข้าก็ตามเจ้าไปด้วยแล้วกัน เจ้าจะได้ไม่โดดเดี่ยว”
หลินหลันมองค้อน “แค่ฟังก็รู้แล้วว่าโกหก”
หลี่หมิงอวินลูบศีรษะของนาง “นี่ข้าพูดจริงๆ ต่างหากล่ะ หากไม่มีเจ้าแล้ว ข้าอยู่ลำพังบนโลกนี้ก็ไร้ความหมายเช่นกัน”
บนใบหน้าเขาแม้จะแต่งแต้มไว้ด้วยรอยยิ้ม ทว่าสายตาทั้งคู่อ่อนโยน ฉายความจริงใจอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ หลินหลันนิ่งเงียบ นางเชื่อว่านาทีนี้เขาแสดงออกมาจากใจจริง
“แล้วหลินฮูหยินล่ะ พวกเจ้าสนิทสนมกับเพียงนั้น เมื่อกลับเมืองหลวงแล้ว หากนางมาหาเจ้าจะทำเช่นไรหรือ ไหนจะซานเอ๋อร์อีก เขาชอบเกาะติดเจ้ามากที่สุด”
หลินหลันบิดผ้าด้วยความหดหู่ใจ “เมื่อก่อนไม่รู้ก็แล้วไป ตอนนี้รับรู้แล้ว จะให้ข้าทำเสมือนไม่มีเรื่องอันใดเกิดขึ้นก็คงมิได้ อย่างมากก็แค่ หลังจากนี้ไม่ไปมาหาสู่กันอีก”
“เฮ้อ…ข้าว่าแม่ทัพหลินคงได้กลัดกลุ้มจริงๆ เสียแล้ว” หลี่หมิงอวินเผยรอยยิ้มขมขื่น