หลินหลันปรับสภาพอารมณ์อยู่ชั่วขณะหนึ่ง ก่อนตัดสินใจเลิกกลัดกลุ้มเพื่อเรื่องราวนี้ และคนที่ควรกลัดกลุ้มก็ไม่ควรเป็นนาง ดังนั้นจึงมุ่งไปโรงหมออีกครั้ง
หลินจื้อย่วนกลับไร้จิตใจดูภาพแผนจัดวางการป้องกันอีกต่อไป การปรากฏตัวของหลินเฟิงและหลินหลัน ทำให้เขาทั้งดีใจทั้งทุกข์ใจ เขาครุ่นคิดตามลำพังอยู่เนิ่นนาน จากนั้นจึงคิดว่าคงจำเป็นต้องให้บุตรเขยเข้าร่วมด้วย
หลี่หมิงอวินได้ยินแม่ทัพหลินเรียกหาเขาเพื่อพูดคุยเรื่องทางการ ก็รู้ได้ทันทีว่าแม่ทัพหลินต้องการปรึกษาหารือเรื่องส่วนตัวเสียมากกว่า ทว่าคนเขาอ้างถึงเรื่องทางการไว้แล้ว เขาจะไม่ไปก็คงไม่ได้
หลินจื้อย่วนเผชิญหน้ากับหลี่หมิงอวินอีกครั้ง เขาเอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงอย่างสนิทสนม “หมิงอวิน...”
หลี่หมิงอวินกระตุกยิ้มมุมปาก รู้สึกด้านชาไปทั่วหนังศีรษะ ภาระงานนี้มันไม่ง่ายดายเลยจริงๆ! ในสายตาเขา เกี่ยวกับแม่ทัพหลิน สำหรับเรื่องหน้าที่การงานอันเป็นที่เปิดเผยเขารู้สึกเลื่อมใสศรัทธา สำหรับเรื่องส่วนตัว…ยังคงรู้สึกคับข้องใจอยู่เล็กน้อย แต่ถึงอย่างไรคนเขาก็เป็นพ่อตาที่แท้จริง หากพ่อตาเอ่ยปากขอความช่วยเหลือ เขาจะไม่ช่วยได้หรือ แต่หากช่วยเหลือแล้ว หลันเอ๋อร์ก็คงเอาเรื่องเขา นี่มันเป็นสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกชัดๆ!
หลินจื้อย่วนแสดงความเป็นมิตรอีกครั้งด้วยการบอกกล่าวให้คนไปจัดน้ำชามา หลังจากส่งคนรอบข้างออกไปหมดแล้ว จึงกล่าวถามอย่างระแวดระวัง “คือว่า…หลันเอ๋อร์นาง หลังกลับไปกันแล้วได้พูดอะไรกับเจ้าบ้างหรือไม่”
หลี่หมิงอวินส่งเสียงกระแอมไอสองครั้ง จากนั้นจึงกล่าวด้วยสีหน้าลำบากใจ “หลันเอ๋อร์เตือนข้าไว้ว่า ไม่อนุญาตให้มีส่วนข้องเกี่ยวด้วยน่ะขอรับ” หลี่หมิงอวินอยากออกตัวพาตนเองพ้นจากเรื่องราวนี้เป็นอันดับแรก
หลินจื้อย่วนเผยสีหน้าเศร้าสลด ทว่าเขาไร้หนทางอื่นจริงๆ จึงทำได้เพียงกล่าวด้วยสีหน้าเว้าวอน “หมิงอวิน เรื่องนี้ เจ้าคงต้องช่วยเหลือกันหน่อย ทางด้านหลันเอ๋อร์นั่น เจ้าต้องช่วยข้าเกลี้ยกล่อมเข้าไว้” เขาพอจะมองออกแล้วว่า หลินเฟิง บุตรชายเขาไม่ยากที่จะจัดการ แต่ส่วนที่ยากคือหลันเอ๋อร์ ขอเพียงหลันเอ๋อร์ให้อภัยเขา เฟิงเอ๋อร์ก็น่าจะไม่มีปัญหาเช่นกัน
หลี่หมิงอวินกล่าวด้วยความลำบากใจ “แม่ทัพหลินขอรับ มิใช่ข้าไม่อยากช่วย เพียงแต่…นิสัยของหลันเอ๋อร์ ท่านก็ได้เห็นกับตาแล้วเช่นกัน เรื่องราวที่นางตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ต่อให้ผู้อื่นพูดเช่นไรก็ไร้ประโยชน์ขอรับ”
เฮ้อ! ประโยคนั้นพูดมาได้อย่างไรน่ะหรือ เพราะคนที่อยู่ร่วมกันได้ มักมีอารมณ์และการใช้ชีวิตที่คล้ายคลึงกัน มิฉะนั้นคงเข้ากันได้ยาก เหตุใดเขากับหลันเอ๋อร์ถึงได้ซวยเพียงนี้ ที่ต้องพบเจอบิดาเช่นนี้ ทว่า จะว่าไปแล้ว เมื่อเทียบกับบิดาเขา แม่ทัพหลินยังถือว่าดีกว่ามาก อย่างน้อยๆ คนเขาก็สร้างคุณประโยชน์ใหญ่หลวงต่อบ้านเมือง และไม่ได้จงใจไปหลอกลวงผู้อื่น เพียงแค่ไม่มั่นคงต่อความรักไปหน่อยก็เท่านั้น
“เฮ้อ! เรื่องนี้ เป็นข้าเองที่กระทำผิด ตอนแรกที่ได้ยินข่าวร้ายก็ตระหนกตกใจ ข้าเองก็ไม่กล้าเชื่อเช่นกัน ทว่าพี่สาวที่บ้านกล่าวว่านางได้เห็นกับตาตนเอง ข้าจึงอดเชื่อไม่ได้ ข้าเศร้าโศกต่อเรื่องนี้อยู่ระยะหนึ่ง ทว่าชีวิตคนเรายังต้องดำเนินต่อไปมิใช่หรือ ข้าก็แค่คิดว่า ถึงอย่างไรจะปล่อยให้ตระกูลหลินสูญสิ้นผู้สืบทอดไปมิได้ ประจวบเหมาะกับตอนนั้นสหายร่วมงานจับคู่ให้แก่ข้า ถึงได้แต่งนางเฝิงมาเป็นภรรยา…หลันเอ๋อร์โกรธเคืองถึงเพียงนี้ ก็เป็นเรื่องที่สมควรเช่นกัน ข้ากระทำผิดต่อท่านแม่นาง กระทำผิดต่อพวกเขาสองพี่น้อง ข้าเพียงแค่อยากใช้ช่วงชีวิตที่เหลือชดเชยความเสียใจนี้” หลินจื้อย่วนกล่าวด้วยสีหน้าทุกข์ทรมานจากความละอายแก่ใจ
หลี่หมิงอวินไม่รู้ควรเอื้อนเอ่ยอะไร ตามจริงบนโลกใบนี้มีคนจำนวนมากมายที่เลวร้ายเสียยิ่งกว่าแม่ทัพหลิน อย่าว่าแต่ภรรยาเสียชีวิตไปแล้วเลย ต่อให้ภรรยายังมีชีวิตอยู่ ก็ยังใช้ชีวิตในรูปแบบสามภรรยาสี่อนุภรรยาเป็นเรื่องปกติ นี่จึงไม่ถือเป็นเรื่องใหญ่โตอันใดด้วยซ้ำ ทว่าความคิดของเขากับหลินหลันไม่ต่างกัน คือล้วนคาดหวังมีกันและกันเพียงหนึ่งเดียว เคียงคู่กันไปชั่วชีวิต บางทีอาจเป็นความคิดของพวกเขาที่ผิดแปลกไป
“แม่ทัพหลิน หลายปีมานี้ พวกเขาสองพี่นี้ผ่านความลำบากมามากมาย เพราะไม่มีการปกป้องดูแลของบิดา มารดาก็ด่วนจากไปอีก ดังนั้นนิสัยของหลันเอ๋อร์จึงเข้มแข็งเป็นอย่างยิ่ง หากไม่ใช่เช่นนี้ นางคงถูกพี่สะใภ้บังคับแต่งงานออกไปเป็นอนุภรรยาของผู้ร่ำรวยมั่งคั่งแล้วละขอรับ” หลี่หมิงอวินกล่าวด้วยความหดหู่
“อะไรนะ พี่สะใภ้นางบังคับให้นางแต่งเป็นอนุภรรยาของผู้ร่ำรวยหรือ แล้วเฟิงเอ๋อร์ล่ะ เขาในฐานะพี่ชายก็ยอมให้น้องสาวของตนเองได้รับความไม่ยุติธรรมเช่นนี้น่ะหรือ” หลินจื้อย่วนรู้สึกโกรธเกรี้ยวทันทีที่ได้ยิน
เอ่อ! เดิมทีความหมายที่หลี่หมิงอวินต้องการสื่อคือ หลันเอ๋อร์นิสัยเข้มแข็ง คิดจะเกลี้ยกล่อมนางจึงไม่ใช่เรื่องง่าย จำเป็นต้องมีความจริงใจถึงจะได้เรื่องได้ราว คาดไม่ถึงว่า การบอกกล่าวเหตุการณ์ที่พี่สะใภ้ทำตัวละโมบโลภมาก จะกลายเป็นเรื่องบานปลายขึ้นมาเสียได้
“พี่ใหญ่ไม่ยินยอมอยู่แล้วขอรับ เป็นพี่สะใภ้ที่ปิดบังพี่ใหญ่น่ะขอรับ” หลี่หมิงอวินแก้ต่างแทนหลินเฟิง ทว่า หลินเฟิงในตอนนั้นยังอ่อนปวกเปียกจริงๆ มิเช่นนั้นเหยาจินฮวาจะกล้ากำเริบเสิบสานเพียงนั้นหรือ
“นั่งชั่วช้านี่ ไว้ข้ากลับไปจะจัดการนางให้น่าดูเชียว” หลินจื้อย่วนกล่าวด้วยความเดือดดาล
หลี่หมิงอวินรำพึงรำพันในใจ หากไม่ใช่เพราะท่านหายไปหลายปีเพียงนั้น และไม่ส่งข่าวคราวให้ทางบ้านเสียบ้าง ไยจะเกิดเรื่องแย่ๆ อันใดที่นำมาซึ่งสถานการณ์ในตอนนี้ขึ้นมาได้ ท่านต้องไตร่ตรองตนเองถึงจะถูก
“แม่ทัพหลิน ตอนนั้นท่านสู้รบกับศัตรูในตอนเหนือ เหตุใดถึงไม่ส่งจดหมายไปบ้านเกิดบ้างละขอรับ ท่านแม่ของหลันเอ๋อร์เสาะหาข่าวคราวของท่านให้ทั่วเลยนะขอรับ” หลี่หมิงอวินกล่าวถาม
หลินจื้อย่วนมีสีหน้าเศร้าสลดลงไปเล็กน้อย จากนั้นจึงกล่าวด้วยความรู้สึกหดหู่ “ช่วงแรกๆ ข้าเขียนจดหมายส่งกลับไปที่บ้านตลอด ภายหลังต่อมา ครั้งหนึ่งในสนามรบ ข้าได้รับบาดเจ็บสาหัส บรรดาหมอทหารล้วนเอ่ยว่าไม่อาจช่วยชีวิตข้าได้แล้ว ข้าฝืนกัดฟันอดทนจนหลุดพ้นจากความตาย ต้องพักรักษาตัวเองกว่าครึ่งปีถึงจะหายได้ หลังจากนั้นก็ส่งจดหมายไปที่บ้านเกิดอยู่ตลอด เพียงแต่ข้าไม่รู้ว่า ตอนนั้นที่บ้านเกิดมีภัยแล้ง แม่ของหลันเอ๋อร์จึงพาพวกเขาสองพี่น้องโยกย้ายจากไป”
เมื่อกล่าวถึงประเด็นนี้ ดวงตาของหลินจื้อย่วนสว่างไสวขึ้นมาชั่ววูบ เขากอบกุมหมัดแน่น และกล่าวด้วยน้ำเสียงโกรธเคือง “ข้าควรคิดได้แต่แรก พี่สาวข้ามีใจโกรธแค้นเพ่ยหรง ข้ากลับเชื่อคำลวงหลอกของนางเสียได้ ไว้รอเรื่องทางแนวชายแดนจัดการเรียบร้อยแล้ว ข้าจะต้องกลับไปซักถามกับนางให้ได้”
หลี่หมิงอวินนิ่งเงียบไปเนิ่นนาน จากนั้นจึงเอ่ยปากขึ้นอย่างใจเย็น “แม่ทัพหลิน ตามความคิดของข้า ท่านอย่าเพิ่งร้อนรนใจไปเลยขอรับ ตอนนี้หลันเอ๋อร์กำลังโกรธขึ้นสมอง แน่นอนว่าพูดอะไรไปก็คงไม่ฟังทั้งนั้น ทว่า ข้าเชื่อว่า เพียงแค่ท่านใช้ความจริงใจแสดงออกมาอย่างเต็มที่ หลันเอ๋อร์และพี่ใหญ่จะให้อภัยท่านแน่นอนขอรับ”
“ความจริงใจนี่ เป็นสิ่งที่ต้องแสดงออกแน่นอนอยู่แล้ว พวกเขาสองพี่น้องได้รับความยากลำบากมามากมาย ข้าในฐานะพ่อที่ไม่ได้ดูแลปกป้องพวกเขาให้ดีๆ การดูแลปกป้องพวกเขา เป็นหน้าที่ที่ข้าละเลยไป ตอนนี้เบื้องบนให้โอกาสข้าเพื่อได้แก้ไขความผิด ข้ามีความเพียงความรู้สึกซาบซึ้งใจเท่านั้น” หลินจื้อย่วนกล่าวจากใจจริง
หลังนิ่งเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง หลินจื้อย่วนกล่าวโดยแฝงการยกยอปอปั้นขึ้นมาอีกระลอก “ข้าว่าเจ้ากับหลันเอ๋อร์คงมีความรักที่ลึกซึ้งต่อกันอย่างยิ่ง นางจะต้องเชื่อฟังคำเกลี้ยกล่อมของเจ้าเป็นแน่ เจ้าเองก็ช่วยข้าเกลี้ยกล่อมหน่อยแล้วกัน ตอนนี้ข้าคงได้แต่ฝากความหวังไว้ที่เจ้าเสียแล้ว”
หลี่หมิงอวินกลั้นใจ กล่าวอย่างคล้อยตาม “ข้าจะช่วยเกลี้ยกล่อมนางให้ขอรับ”
หลินจื้อย่วนถอนหายใจเฮือกยาวด้วยความโล่งอก หลังได้รับคำมั่นสัญญาหนึ่งประโยคนี้ จากนั้นสีหน้าของเขาก็ดูมีความสุขขึ้นมาทันที “เจ้าเล่าให้ข้าฟังบ้างสิ เจ้ากับหลันเอ๋อร์ไปรู้จักกันได้อย่างไรหรือ หลายปีมานี้เป็นอย่างไรกันบ้างหรือ”
คำถามนี้…หากให้พูดขึ้นมาคงยาวนานน่าดู หลี่หมิงอวินครุ่นคิดด้วยความกลัดกลุ้ม ถึงอย่างไรก็คงบอกกล่าวเขาไม่ได้กระมัง ว่าจุดเริ่มต้นของการแต่งงานระหว่างข้ากับลูกสาวท่านเกิดจากสัญญาแต่งงานจอมปลอมฉบับหนึ่ง ส่วนที่ว่าหลายปีมานี้เป็นอย่างไรกันบ้าง นั่นยิ่งแล้วใหญ่! จะพูดอย่างไรดีล่ะ
ขณะกำลังคิดไม่ตก เสียงกล่าวรายงานของทหารรักษาการณ์ด้านก็ดังขึ้น “ทูตพิเศษแห่งทู่เจวี๋ยมาถึงแล้วขอรับ…”
ครานี้เปลี่ยนเป็นหลี่หมิงอวินได้ถอนหายใจเฮือกยาวด้วยความโล่งอก “เรื่องเหล่านี้ ไว้ค่อยๆ คุยกันในวันภายภาคหน้าก็ได้ขอรับ”
หลินจื้อย่วนกล่าว “ก็ได้ ไปว่าเรื่องงานกันก่อนแล้วกัน”
ทั้งสองคนจึงมุ่งไปยังจวนผู้รักษาการณ์
ฉู่จวินห้าวมีความทรงจำต่อหลินหลันในตอนแรกไม่ค่อยดีเท่าใดนัก ด้วยรู้สึกว่าหลินหลันทำงานทำการไม่ได้เรื่อง แล้วยังตระหนี่ถี่เหนียว โดยเฉพาะหลังจากหลินหลันกลับมาจากซาอี วัตถุดิบยาที่ได้รับเข้ามากองพะเนิน เขาคงต้องคิดหาวิธีด้วยตนเองให้ได้ คนผู้นี้ไม่ได้ตระหนี่ถี่เหนียวอย่างธรรมดาทั่วไป แต่ยังเจ้าเล่ห์อีกด้วย แต่หลังจากได้รู้จักกันในหลายวันมานี้ เกิดรู้สึกขึ้นมาอีกว่า คนผู้มีทักษะการรักษาล้ำเลิศ และทุ่มเทเป็นอย่างยิ่ง นิสัยใจคอก็เข้ากับผู้คนได้ง่าย ทหารผู้บาดเจ็บเหล่านั้นดูเหมือนจะชอบสนทนากับเขามาก เพียงแต่ ฉู่จวินห้าวมักรู้สึกว่าคนผู้นี้ ช่างรูปลักษณ์เสมือนสตรีเกินไป! ได้ยินว่าเขากับทูตพิเศษมีความสัมพันธ์ไม่ใช่ธรรมดาทั่วไป แล้วยังพักอาศัยในห้องเดียวกับทูตพิเศษอีกด้วย…ทุกครั้งที่ฉู่จวินห้าวนึกถึงประเด็นนี้ ก็อดขนลุกขนชันไม่ได้ เรื่องรักร่วมเพศเขาเพียงแค่เคยได้ยินมาบ้าง แต่ไม่เคยพบเคยเห็นในชีวิตจริง คาดไม่ถึงเลยว่าใต้เท้าทูตพิเศษจะมีรสนิยมนี้
“เหวินซาน เหวินซาน…ช่วยหยิบผ้าผันแผลมาให้ข้าที” หลินหลันกำลังเปลี่ยนยาให้นายทหารที่ได้รับบาดเจ็บผู้หนึ่ง
เหวินซานส่งเสียง เอ้อ แล้วรีบยื่นผ้าพันแผลให้ทันที เหวินซานมาที่นี่ เดิมทีเพื่อดูแลนายน้อยรอง ปรากฏว่าดันกลายเป็นบุรุษพยาบาลที่คอยวิ่งตามนายหญิงสะใภ้รองไปทั่วโรงหมอเสียได้
หลินหลันช่วยพันแผลให้ทหารที่รับได้บาดเจ็บอย่างคล่องแคล่วเป็นที่เรียบร้อย จากนั้นจึงบอกกล่าว “บาดแผลฟื้นตัวดีเยี่ยม ทว่ายังต้องคอยระมัดระวังเอาไว้ อย่าให้ถูกน้ำเชียว และก็ดื่มสุราไม่ได้ด้วย…”
“เข้าใจแล้ว หมอหลิน ท่านกำชับเช่นนี้หลายครั้งแล้วกระมัง” ทหารผู้ได้รับบาดเจ็บกล่าวด้วยสีหน้าเบิกบาน
หลินหลันเลิกคิ้วขึ้น “มากมายขนาดนี้เชียวหรือ เหตุใดข้าไม่ยักจะจำได้”
นายทหารผู้บาดเจ็บคนหนึ่งซึ่งอยู่ด้านข้าง เขยิบเข้ามาและกล่าว “สือโถวคงนำคำบอกกล่าวที่หมอหลินพูดกับคนอื่นนับรวมไปด้วยกระมังขอรับ สือโถวคิดว่าทุกคำพูดที่หมอหลินพูดล้วนเป็นการพูดกับเขาน่ะขอรับ!”
ทุกคนพากันส่งเสียงหัวเราะลั่น
ทหารบาดเจ็บที่นามว่าสือโถวกล่าวอย่างไม่แยแส “นั่นเป็นเพราะที่หมอหลินกล่าวล้วนเป็นคำชี้แนะอันล้ำเลิศ พวกเราก็จำขึ้นใจไว้ด้วยล่ะ”
หลินหลันเข้าใจความหมายในคำพูดของบรรดาทหารเหล่านี้ดี นี่จะโทษคนเขาก็ไม่ได้เช่นกัน แม้นางจะแต่งกายเป็นบุรุษ แต่จะมองดูอย่างไรก็ไม่เหมือนบุรุษ ท่ามกลางทหารบางคนที่รับรู้ ในเวลาส่วนตัวก็จะเรียกนางว่าพี่สะใภ้ เมื่ออยู่ภายนอกล้วนเรียกนางว่าหมอหลิน ส่วนมากจึงคิดว่านางเป็นประเภทรักร่วมเพศอะไรทำนองนั้น ซึ่งในโบราณก็มีเรื่องประเภทนี้เช่นกัน ทว่าทุกคนก็แค่หยิบยกมาพูดเล่นเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาร้ายอันใด นางจึงไม่เก็บเอามาใส่ใจ
หลินหลันพยักหน้าแล้วกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “สือโถวเป็นแบบอย่างที่ดีของทหารที่ได้รับบาดเจ็บ พวกเจ้าต้องเอาเขาเป็นเยี่ยงอย่าง การที่พวกเจ้ากระทำได้เช่นนี้ก็จะช่วยเบาแรงหมอไปมาก เจ้า เถี่ยต้าน เมื่อวานแอบดื่มสุราแล้วใช่หรือไม่” หลินหลันชี้นิ้วไปยังทหารบาดเจ็บที่เอ่ยปากพูดเมื่อครู่ และจงใจชักสีหน้าถาม
เถี่ยต้านกล่าวด้วยความประหลาดใจ “หมอหลิน ท่านไม่เพียงแค่ทักษะการรักษาล้ำเลิศ กระทั่งจมูกก็ยังรับกลิ่นไวเพียงนี้เชียวหรือขอรับ”
หลินหลันเดินเข้าไปเขกศีรษะเขาหนึ่งที “ถุงสุราโผล่ออกมาเพียงนี้แล้ว ยังต้องให้สูดดมอีกหรือ”
เถี่ยต้านรีบก้มหน้าลงมองใต้หมอนหนุนทันที ปรากฏว่าไม่ทันได้แอบซ่อนถุงสุราให้ดิบดี จึงโผล่พ้นออกมาเสียแล้ว เขาจึงได้แต่ยิ้มเจื่อนแล้วกล่าว “ด้านในเป็นน้ำดื่มน่ะขอรับ แค่น้ำดื่ม…”
หลินหลันไม่เชื่อคำพูดปลิ้นปล้อนของเขา “เหวินซาน เก็บไปให้หมด”
เหวินซานเดินเข้าไปด้วยสีหน้าระรื่น แล้วคว้าถุงสุราออกมาจากใต้หมอน จากนั้นจึงส่ายมันไปมาต่อหน้าเถี่ยต้าน “เจ้าสิ่งนี้ ข้าจะช่วยดูแลแทนเจ้าแล้วกัน”
เถี่ยต้านเผยสีหน้าเศร้าสลด และบ่นพึมพำ “หมอหลินนี่ร้ายกาจยิ่งกว่าบรรดาแม่นางทั้งหลายเสียอีก”
สือโถวหัวเราะอย่างคึกครื้น จากนั้นมีคนโห่ร้องตามขึ้นมา “หมอหลินหล่อเหลากว่าบรรดาแม่นางทั้งหลายตั้งเยอะ…”
ผู้คนพร้อมใจกันส่งเสียงหัวเราะร่าขึ้นมาอีกครั้ง หลินหลันใช้สองมือเท้าเอว ก่อนชี้นิ้วไปที่พวกเขาแต่ละคน “ข้าว่าปากของพวกเจ้าแต่ละคนร้ายกาจยิ่งกว่าบรรดาแม่นางทั้งหลายด้วยซ้ำไป”
ทันใดนั้น ทุกคนก็เผยสีหน้าประดุจเห็นผีขึ้นมากะทันหัน แล้วพร้อมใจกันสงบเงียบ เอนกายลงไม่ขยับเขยื้อนอย่างว่าง่าย
หลินหลันหันกลับไปมอง ที่แท้เป็นฉู่จวินห้าว หนุ่มผู้มีใบหน้าเย็นชาคนนี้มาเยือนนี่เอง ฉู่จวินห้าวผู้นี้ ไม่ต่างจากภูเขาน้ำแข็งยักษ์ เดินไปที่ไหน เป็นอันต้องทำที่นั่นเย็นยะเยือกได้ทันที
ฉู่จวินห้าวกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “หมอหลิน ท่านตามข้ามาหน่อยสิ”
หลินหลันเบ้ปาก นางไม่ชอบคำพูดคำจาเช่นนี้ของฉู่จวินห้าวมากที่สุด ทุกครั้งที่เรียกนาง นางล้วนมีความรู้สึกตรึงเครียดและความคร่ำครึ ประหนึ่งถูกหัวหน้าคณบดีเรียกไปอบรมรมสั่งสอน
“เหวินซาน เจ้าช่วยเก็บข้าวของทางด้านนี้ให้หน่อยแล้วกัน” หลินหลันบอกกล่าว จากนั้นจึงเดินตามฉู่จวินห้าวไป