“หมอหลิน ได้ยินเหวินซานเอ่ยว่า ท่านเปิดร้านยาอยู่ที่เมืองหลวงหรือ” ฉู่จวินห้าวพูดอย่างเย็นชา
“ใช่แล้ว!” หลินหลันตอบอย่างขอไปที
“เช่นนั้น ท่านคงรู้จักคุณชายฮว๋าเจ้าของเต๋อเหรินถางในเมืองหลวงสินะ”
“ท่านหมายถึงฮว๋าเหวินไป่?” หลินหลันกล่าวด้วยความประหลาดใจ หรือว่าเข้าก็รู้จักฮว๋าเหวินไป่เช่นกัน
ฉู่จวินห้าวขมวดคิ้ว เมื่อได้ยินหลินหลันเรียกชื่อของฮว๋าเหวินไป่ เห็นว่าคงรู้จักกัน จึงกล่าว “ในเมื่อท่านเปิดร้านยาในเมืองหลวง ทั้งยังรู้จักคุณชายฮว๋า มีเรื่องหนึ่งจำเป็นต้องขอร้องให้ท่านช่วยเหลือสักหน่อย”
โอ๊ะ! การจะได้ยินคำว่า ‘ขอร้อง’ จากเจ้าของใบหน้าน้ำแข็ง ช่างไม่ง่ายดายจริงๆ หลินหลันที่อยู่ในท่าทางกอดอก จับจ้องเขาอย่างจดจ่อ ราวกับกำลังตั้งหน้าตั้งตารอสดับรับฟัง
ฉู่จวินห้าวกล่าว “เจ้าก็รู้อยู่เช่นกันว่าวัตถุดิบยาของเราเหลือไม่มากแล้ว และทางแถบตอนเหนือก็ขาดแคลนวัตถุดิบยา ข้าเร่งเร้าไปแล้วหลายครั้ง ที่เพิ่มเสริมมาให้ล้วนไม่เพียงพอ ตอนนี้สถานการณ์สู้รบคลี่คลายลง วัตถุดิบยาที่เหลือยังพอให้ใช้ไปได้อีกระยะหนึ่ง แต่เกิดแนวโน้มสถานการณ์มีการเปลี่ยนแปลง ผู้ได้รับบาดเจ็บเพิ่มมากขึ้น จะให้ขาดยาคงมิได้ เมื่อถึงเวลา ลำพังทักษะการรักษาของท่านและข้าจะยังช่วยอันใดได้ ในเมื่อหากปราศจากเงื่อนไขด้านวัตถุ ก็ไม่อาจทำงานออกมาอย่างดีไปได้!”
หลินหลันพินิจพิจารณาความหมายของเขา “ท่านอยากให้ข้ากลับเมืองหลวงไปเตรียมวัตถุดิบยาใช่หรือไม่”
ฉู่จวินห้าวจ้องมองนางอย่างแน่วแน่ “ถูกต้อง ท่านมีร้านยาอยู่ในเมืองหลวง ทั้งยังรู้จักคุณชายฮว๋า จัดการเรื่องนี้คงง่ายดายอย่างยิ่ง”
“ท่านก็รู้จักกับคุณชายฮว๋าเช่นกันนี่! เหตุใดท่านไม่ไปด้วยตนเองล่ะ” หลินหลันไม่อยากไปจากที่นี่เสียหน่อย! เรื่องของหมิงอวินยังไม่สำเร็จเสร็จสิ้น แล้วนางจะไปได้อย่างไรกัน
ฉู่จวินห้าวส่งเสียงจิ๊ปาก “ก็ข้าปลีกตัวไปจากทางนี้มิได้หนิ! ข้าไปแล้ว ที่นี่ใครจะรับผิดชอบ ท่านหรือ”
หลินหลันยืดลำตัวตรงแน่ว “ข้ารับผิดชอบก็ได้ ทักษะการรักษาของข้าสู้ท่านไม่ได้หรือไร”
ฉู่จวินห้าวจ้องมองนางอย่างนิ่งเงียบอยู่ชั่วขณะ แล้วจึงกล่าว “หากท่านเต็มใจอยู่ที่ชายแดนตลอดไป ข้าเองก็ยินดีอย่างยิ่งที่จะให้ท่านเป็นผู้รับผิดชอบ”
เอ่อ! ให้อยู่ที่ชายแดนถาวรคงเป็นไปไม่ได้ หมิงอวินเสร็จสิ้นภารกิจก็ต้องกลับเมืองหลวงไปรายงานการปฏิบัติภารกิจ ถึงตอนนั้น แน่นอนว่านางต้องกลับไปด้วย ลำตัวที่ยืดตรงของหลินหลันจึงห่อเหี่ยวลงอีกครั้ง
ฉู่จวินห้าวหัวเราะขึ้นมาเบาๆ ก็รู้อยู่แล้วว่านางไม่ยินยอมอยู่ที่นี่ “หากท่านเป็นห่วงใต้เท้าหลี่ ข้าให้คำมั่นสัญญาเจ้าได้ว่า ใต้เท้าหลี่ไปแห่งหนใด ข้าฉู่จวินห้าวก็จะไปแห่งหนนั้น ข้ารับประกันความปลอดภัยของเขาไม่ได้ แต่ข้ารับประกันได้ว่าหากเกิดเหตุไม่คาดคิดกับใต้เท้าหลี่ ข้าจะช่วยชีวิตเขาได้ทันเวลาแน่นอน ซึ่งที่ท่านทำได้ก็มีเพียงประเด็นนี้มิใช่หรือ และทักษะการรักษาของข้าก็มิได้ด้อยไปกว่าท่านเช่นกัน”
ถุยๆๆ คุยเรื่องงานก็คุยเรื่องงานไปสิ เหตุใดต้องมาแช่งหมิงอวินของข้าด้วย หลินหลันมองค้อนใส่เขาอย่างดุดัน
“บรรดาทหารสู้รบ สละเลือดเนื้อเพื่อบ้านเมือง สิ่งที่ท่านและข้าทำได้ มีเพียงการพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อทำให้การรักษาผู้บาดเจ็บมีประสิทธิผล หมอหลิน เรื่องนี้ทำได้เพียงรบกวนท่านเท่านั้นแล้ว” ฉู่จวินห้าวกล่าวอย่างสุภาพ
หลินหลันลังเลใจ เรื่องนี้ก็สำคัญยิ่งเช่นกัน และดูเหมือนไม่มีตัวเลือกที่เหมาะสมกว่านางแล้วจริงๆ เพียงแต่…
“แล้วเงินที่จัดซื้อวัตถุดิบยาล่ะ” หลินหลันเอ่ยถาม ไม่มีเงินแล้วจะจัดการเรืองนี้ได้อย่างไร นี่คงไม่ใช่ค่าใช้จ่ายจำนวนน้อยๆ คงไม่ต้องให้ข้าสมทบทุนหรอกกระมัง! นางสมทบทุนไปไม่ใช่น้อยๆ แล้ว ครั้งนี้วัตถุดิบยาที่นำมาเซิ่งโจว อย่างน้อยๆ ก็มีสามส่วนเป็นของที่นางดึงของตนเองมา
มุมฝีปากของฉู่จวินห้าวเผยรอยยิ้มจางๆ ซึ่งน้อยครั้งนักที่จะได้เห็น “เรื่องเงินท่านมิต้องกังวลไป ใต้เท้าเฝิงจะเป็นผู้จัดการด้วยตนเอง โดยสรุปแล้วไม่ทำให้กิจการท่านต้องต้องขาดทุนเป็นแน่”
หลินหลันก้มหน้า ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ แล้วจึงกล่าว “เรื่องนี้ ข้าตัดสินใจเองมิได้ ข้าจะเป็นต้องถามไถ่ใต้เท้าหลี่แล้วถึงจะตัดสินใจได้”
ภายในห้องตำราหลวงแห่งพระราชวัง ฮ่องเต้หยิบสมุดพับฉบับหนึ่งออกมา พลางกล่าวต่อจิ้งปั๋วโหว์ “นี่เป็นหนังสือเร่งด่วนที่ส่งมาจากชายแดน ท่านลองดูสิ”
โจวซิ่นโน้มลำตัวลงเบื้องหน้าพร้อมยื่นสองมือออกไปรับสมุดพับ เขาเปิดมันแล้วอ่านอย่างละเอียด อดเผยสีหน้าดีใจไม่ได้ “ฝ่าบาทพะย่ะค่ะ หากเรื่องนี้สำเร็จ จะเป็นความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ในรอบประวัติศาสตร์เลยนะพะย่ะค่ะ!”
ฮ่องเต้เลิกคิ้วแล้วตรัสอย่างใจเย็น “ท่านคิดว่าเรื่องนี้จะเป็นไปได้หรือไม่”
โจวซิ่นกล่าว “ฝ่าบาท โปรดประทานอภัยที่กระหม่อมกล่าวอย่างตรงไปตรงมาพะย่ะค่ะ ราชวงศ์เรามีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล อุดมสมบูรณ์ไปด้วยพืชพันธุ์ ตลอดที่ผ่านมาเพราะพวกต่างชนกลุ่มละโมบโลภมากต้องการยึดครองพื้นที่ ส่งผลให้แนวเขตชายแดนตั้งแต่ยุคประวัติศาสตร์เกิดสงครามไม่เคยสงบสุข มีเพียงช่วงสมัยเกาจงเท่านั้นที่ทั่วทั้งโลกก้มศีรษะให้ราชวงศ์เรา เพราะอันใดน่ะหรือ ก็เพราะยุคสมัยเกาจงทหารสู้รบแข็งแกร่ง พวกต่างชนกลุ่มต่างเผาพันธุ์ไม่กล้ารุกราน แต่หลังจากช่วงสมัยเกาจง ผู้ปกครองประเทศในยุคประวัติศาสตร์ล้วนมุ่งเน้นไปที่ความเป็นอยู่ของปวงประชา ค่อยๆ มองข้ามอำนาจทางทหาร แม้ประเทศจะร่ำรวยมั่งคั่ง แต่ทหารไม่แข็งแกร่ง ส่งผลให้พวกต่างบ้านต่างเมืองได้ใจ มาจนถึงปัจจุบันนี้ ทู่เจวี๋ยทางด้านตอนเหนือ ทู่โปทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือ และพวกชนกลุ่มน้อยมากมายทางด้านทิศใต้ รวมไปถึงวอจู๋ที่กั้นกลางด้วยทะเลก็ค่อยๆ กำเริบเสิบสานขึ้น พวกเขาล้วนจับจ้องมาที่ราชวงศ์เรา ครั้งก่อนรบชนะทู่โปได้ ส่วนหนึ่งเพราะกลยุทธ์ทางการทหาร แต่ประเด็นสำคัญคือภายในทู่โปเองก็วุ่นวายอยู่ด้วย ทันทีที่ทู่โปกุมอำนาจมั่นคงเมื่อใด คงต้องวกกลับมารุกรานอีกครั้งเป็นแน่ ซึ่งหากเป็นการร่วมมือกับพวกชนกลุ่มอื่นๆ ราชวงศ์เราคงได้ตกอยู่ในอันตรายพะย่ะค่ะ!”
ฮ่องเต้พยักพระพักตร์เห็นด้วยอย่างยิ่ง
โจวซิ่นกล่าว “ครั้งนี้กองทัพใหญ่ของแม่ทัพหลินเอาชนะทู่เจวี๋ยได้ องค์ชายสามผู้ซึ่งเป็นที่รักใคร่ของชาวทู่เจวี๋ยเคอฮั่นก็เสียชีวิตที่ชายแดนด้วยเช่นกัน ทู่เจวี๋ยเต็มไปด้วยความโกลาหล จึงจำเป็นต้องเอ่ยขอเจรจาสงบศึก ชาวทู่เจวี๋ยมักกลับกลอกไปมา ต่อให้ลงนามสัญญาไปแล้วก็เท่านั้น ทันทีที่พวกเขามีโอกาส ก็ไม่ลังที่จะฉีกสัญญาทิ้งและบุกโจมตี ตามแผนการของทูตพิเศษหลี่และแม่ทัพหลิน กระหม่อมคิดว่าเป็นกลยุทธ์ที่ยอดเยี่ยมพะย่ะค่ะ ฝ่าบาทควรใช้โอกาสอันดีงามนี้ สั่งสอนให้ชาวทู่เจวี๋ยรู้ซึ้งเสียบ้าง ขยายพื้นที่สามร้อยลี้ ตั้งกองทัพทหารประจัญบานหน้าประตูเมืองทู่เจวี๋ย เขยิบเข้าเพื่อสร้างความอันตรายให้แก่ราชสำนักทู่เจวี๋ย ร่นถอยโดยมีแนวผืนแม่น้ำหวงเป็นแนวกั้นทั้งรุกและตั้งรับ เช่นนี้ถึงทำให้ชาวทู่เจวี๋ยเกรงกลัวได้ ทำให้พวกเขารู้ว่าราชวงศ์เราไม่อาจรุกรานได้ ผู้ใดฝ่าฝืนจงหยวน ต้องรับโทษทัณฑ์แม้อยู่ระยะห่างไกล”
โจวซิ่นกล่าวด้วยความรู้สึกเห็นดีเห็นงามอย่างยิ่ง ฮ่องเต้เมื่อได้สดับฟังก็ถึงกับโลหิตร้อนพลุ่งพล่านเช่นกัน เขาลุกขึ้นจากบัลลังก์ เดินวกไปวนมาอยู่ในห้องหนังสือ ก่อนหยุดชะงักฝีก้าวกะทันหัน แล้วเงยหน้าขึ้น บนใบหน้าปรากฏความลังเลอยู่เล็กน้อย “การกระทำเช่นนี้จะกระตุ้นความโกรธแค้นต่อทู่เจวี๋ยหรือไม่”
โจวซิ่นกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “การต่อกรศัตรูภายนอกที่แข็งแกร่ง ทำได้เพียงต้องแข็งแกร่งยิ่งกว่าพวกเขา ผู้ชนะเป็นราชันย์ ผู้แพ้เป็นศัตรู กองทัพเราที่ประจำการในตอนเหนือ ณ ซีเป่ยและหยางซานเอาชนะทู่เจวี๋ยได้อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ความแข็งแกร่งลดลง และเกิดความโกลาหลครั้งใหญ่ ชาวทู่เจวี๋ยต่อให้ไม่ยินดียอมรับ ต่อให้โกรธแค้น ภายในระยะเวลาอันสั้นก็ไม่อาจต่อกรกับกองทัพเราได้พะย่ะค่ะ นี่จึงเป็นโอกาสดีที่ฟ้าประทานให้ หากพลาดไป รอทู่เจวี๋ยฟื้นฟูกลับคืนมาได้ หรือผนึกข้อตกลงกับทู่โปกลายเป็นประเทศใหญ่ ราชวงศ์เราคิดจะกระทำการอันใดอีกก็คงเป็นเรื่องยากพะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้จมสู่ภวังค์ความคิดอีกระลอก
โจวซิ่นกล่าวขึ้นอีกครั้ง “ยามที่กองทัพซีเป่ยจำนวนหนึ่งแสนนายกลับถึงซานหยางเป็นเรียบร้อย ผนวกกับทหารประจำการหยางซาน อย่างน้อยๆ ก็เป็นจำนวนสองแสนกว่านาย ตอนนี้ฝ่ายที่ด้อยกว่าเป็นทู่เจวี๋ย จึงเป็นพวกเขาที่ควรเกรงกลัวพะยะค่ะ”
ฮ่องเต้ได้ยินดังกล่าวจึงค่อยๆ คลายคิ้วที่ขมวดเข้าหากัน ตามด้วยถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา เขาเดินด้วยฝีก้าวฉับไวมุ่งไปยังโต๊ะหนังสือ จากนั้นหยิบพู่กันแล้วเขียนตอบกลับในสมุดพับ อนุมัติเห็นชอบ!
จากนั้นบัญชาคนให้เร่งนำไปส่งแนวชายแดนโดยด่วน
แต่สมุดพับที่อยู่บนโต๊ะหนังสืออีกฉบับหนึ่งซึ่งส่งมาโดยฉินเฉิงว่าง กลับถูกฮ่องเต้โยนลงกระถางไฟเผาไหม้ไปเสียแล้ว
หลี่หมิงอวินกับทูตพิเศษทู่เจวี๋ยทำเพียงสนทนาแลกเปลี่ยนกันอย่างผิวเผินเท่านั้น ภายใต้ท่าทีไม่แสดงความไม่เป็นมิตร แต่ก็ไม่ได้แสดงออกอย่างเป็นกันเองแต่อย่างใด นี่เป็นท่าทีของผู้อยู่ในฐานะคว้าชัยนะ ทว่าฉินเฉิงว่างไม่ได้เรื่องได้ราวเอาเสียเลย นอกจากเผยใบหน้ายิ้มแย้มแล้วยังคอยปรนนิบัติอย่างระมัดระวัง ใบหน้าค่าตาราวกับไอ้พวกทาสช่างประจบสบพลอ เฝิงเต๋อและหลินจื้อย่วนถึงกับเดือดดาลอยู่ในใจเมื่อมองเห็นการกระทำดังกล่าว โชคดีที่เขาเป็นเพียงรองทูต หากเป็นผู้นำทูต บรรดาแม่ทัพคงได้กระอักเลือดกันเป็นแถว ที่สู้รบชนะไปก็คงเปล่าประโยชน์
หลินหลันรอกระทั่งหมิงอวินกลับมา แล้วจึงนำเรื่องที่ฉู่จวินห้าวต้องการให้นางกลับเมืองหลวงไปจัดเตรียมวัตถุดิบยาบอกกล่าวเขาอย่างชัดเจน
เป็นที่แน่นอนว่าหลี่หมิงอวินต้องเห็นด้วยอยู่แล้ว สภาพอากาศแนวชายแดนย่ำแย่ มีสายลมที่พัดหอบฝุ่นทรายไปมาตลอดทั้งวัน กระทั่งเขายังรู้สึกไม่ค่อยจะรับได้เท่าไหร่นัก แล้วนับประสาอะไรกับหลันเอ๋อร์ ผนวกกับจู่ๆ ดันมีบิดาปรากฏตัวขึ้นมาเสียดื้อๆ ซึ่งหลันเอ๋อร์จะโมโหทันทีที่เอ่ยถึงแม่ทัพหลิน ส่วนแม่ทัพหลินน่ะ! เอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาต้องการให้บุตรสาวยกโทษให้ เล่นเสียทุกคนล้วนไม่อาจทำงานอย่างสงบจิตสงบใจได้ หากหลันเอ๋อร์ไปจากที่นี่ คงช่วยให้บรรยากาศตึงเครียดผ่อนคลายลงไปได้สักนิด สงบนิ่งกันขึ้นมาหน่อย ซึ่งเป็นประโยชน์สำหรับทุกคน
“เจ้าอยากให้ข้าไปจริงๆ หรือ” หลินหลันมุ่ยปากด้วยรู้สึกไม่พึงพอใจเล็กน้อย เหตุใดหมิงอวินถึงตอบตกลงอย่างง่ายดายเพียงนี้ล่ะ ไม่แสดงท่าทีอาลัยอาวรณ์เลยแม้แต่น้อย
หลี่หมิงอวินกล่าวเกลี้ยกล่อม “ข้าต้องหวังให้เจ้าอยู่ข้างกายข้าอยู่แล้ว แต่การจัดซื้อยาเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่า หมอทหารฉู่มอบเรื่องนี้ให้เจ้า เป็นเพราะมีความเชื่อมั่นในตัวเจ้า ซึ่งข้าก็คิดเช่นกันว่าเรื่องนี้ไม่มีผู้ใดเหมาะสมไปมากกว่าเจ้าแล้ว พวกเรายึดเรื่องของประเทศชาติบ้านเมืองเป็นสำคัญมิใช่หรือ อีกอย่าง ไม่กี่วันนี้กองทัพซีเป่ยก็จะมาถึงแล้ว ที่นี่จะมีกองทัพทหารประจำการหลายแสนนาย นี่ยังกลัวว่าชาวทู่เจวี๋ยจะรุกคืบเข้ามาโจมตีได้อีกหรือ ต่อให้ชาวทู่เจวี๋ยกล้าหาญมากมายเพียงใด พวกมันก็ไม่กล้าหรอก! เจ้าวางใจเถิด! เจ้าเชื่อสามีอย่างข้า ไม่มีอันใดอันตรายหรอก”
ภายในใจหลินหลันค่อยๆ คล้อยตาม นางรู้ดีว่าหมิงอวินพูดถูกทั้งหมด เพียงแต่นางก็ยังวางใจไม่ลงเสียที
หลินหลันพึมพำ “เช่นนั้น…ให้เหวินซานคอยอยู่ปรนนิบัติเจ้าแล้วกัน”
“มิต้องหรอก ระยะทางกลับเมืองหลวงยาวไกลยิ่งนัก! ข้างกายเจ้าไม่มีคนที่ไว้เนื้อเชื่อใจได้ติดตามไป แล้วข้าจะวางใจได้อย่างไรกันหรือ ให้ติดตามเจ้าไปนั่นละ ข้าจะให้จ้าวจัวอี้พร้อมพี่ๆ น้องๆ อีกจำนวนหนึ่งอารักขาส่งเจ้ากลับเมืองหลวง”
หลินหลันโอบกอดรอบเอวของเขา แล้วซุกใบหน้าบนแผงอกอันอบอุ่นของเขา พลางบ่นพำพึม “เช่นนั้นช่วงที่ข้าไม่อยู่ เจ้าต้องดูแลตนเองให้ดีๆ ด้วย ห้ามปล่อยให้ตนเองหิว ปล่อยให้ตนเองหนาว ห้ามเอาตัวเองไปเสี่ยงอันตราย หากไปเจรจา ข้างกายต้องพาคนไปด้วยมากๆ หน่อย…แล้วก็ นอกจากพูดคุยเรื่องภารกิจทางการ ห้ามพูดคุยเป็นเพื่อนผู้เฒ่านั่นเป็นอันขาด…”
หลี่หมิงอวินโอบกอดนางขณะขานรับทุกถ้อยคำ จนกระทั่งได้ยินคำขอสุดท้าย หลี่หมิงอวินอดหลุดหัวเราะออกมาไม่ได้ จากนั้นจึงเอ่ยกระซิบข้างใบหูนาง “เจ้าเกรงว่าข้าจะถูกดึงไปเป็นพวกเขาหรือไร”
หลินหลันเงยหน้าขึ้นและกล่าว “เรื่องแบบนี้มันพูดยาก เจ้าจำเป็นต้องยืนหยัดมั่นคง จำเป็นต้องสนับสนุนข้าอย่างเด็ดขาด”
หลี่หมิงอวินจรดจุมพิตลงบนหน้าผากของนางอย่างเอ็นดู แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “น้อมรับบัญชาขอรับ ภรรยาของข้า…”
“แล้วก็ช่วยดูๆ พี่ชายให้ข้าด้วย พี่ใหญ่ไม่ค่อยจะมีความนึกคิดเป็นของตัวเองมาแต่ไหนแต่ไร ไม่แน่ว่าจะถูกผู้เฒ่านั่นพร่ำพรรณนายามอยู่ต่อหน้าและบีบน้ำตานิดๆ หน่อยๆ เขาก็คงใจอ่อนจนได้” หลินหลันยิ่งคิด เรื่องที่ชวนให้กังวลก็ทวีมากขึ้นเรื่อยๆ
หลี่หมิงอวินกล่าวเชิงล้อเล่น “ข้าว่า เจ้าอยู่ควบคุมพี่ใหญ่ด้วยตนเองจะดีเสียกว่า”
“เจ้าคิดว่าข้าไม่อยากหรือ! แต่ข้าต้องแบกรับภาระหน้าที่อันสำคัญยิ่งนี่มิใช่หรือ” หลินหลันกลอกตามองบน
หลี่หมิงอวินยิ้มเล็กยิ้มน้อยขณะกระชับอ้อมกอดนางไว้แนบแน่น ไม่อยากให้ไปเลยจริงๆ!
“หลันเอ๋อร์ เจ้ากลับไปก็มิต้องกลับมานี่แล้วละ วัตถุดิบยาให้จ้าวจัวอี้ส่งกลับมาก็เป็นพอ เจ้าอยู่รอข้าที่เมืองหลวง ไว้ข้าเสร็จสิ้นภารกิจแล้วก็จะกลับไปทันที” หลี่หมิงอวินกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“ทว่า ภารกิจของเจ้าจะลุล่วงเมื่อใดหรือ! เกิดฮ่องเต้มีพระราชโองการ สั่งให้เจ้าอยู่ควบคุมการสร้างเมืองจะทำอย่างไรล่ะ” หลินหลันรู้ว่าหมิงอวินส่งสารขึ้นไปเพื่อขอฮ่องเต้ทรงพระราชทานอนุญาตแผนการของพวกเขาเป็นที่เรียบร้อย เพียงแต่เรื่องนี้ไม่ใช่จะจัดการให้เสร็จสิ้นภายในเดือนสองเดือนได้ ไม่แน่ว่าอาจต้องกินเวลาไปยาวนานทีเดียว
หลี่หมิงอวินจับบ่าทั้งสองข้างของนาง กล่าวด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย “ดังนั้นเจ้าถึงจำเป็นต้องกลับไป มิเช่นนั้น อาจเป็นไปได้ว่าข้าจำเป็นต้องอยู่ทางด้านนี้สามหรือห้าปีก็เป็นได้”
หลินหลันนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ฉับพลัน “ข้ารู้แล้วว่าควรทำอย่างไร ข้าไม่อยากให้เจ้าอยู่ที่นี่นานเพียงนั้นหรอก จะให้อยู่ก็ปล่อยผู้เฒ่านั้นอยู่ไป ให้เขาแก่ตายอยู่ที่ชายแดนนี่เป็นอันสิ้นเรื่อง”