เมืองหลวงในเดือนสาม แม้ยังหลงเหลือความหนาวเย็นอยู่บ้าง ทว่าต้นไม้ผลัดกิ่งก้านเก่า และเริ่มแตกกิ่งก้านสาขาใหม่ขึ้นมาแล้ว สีสันของฤดูใบไม้ผลิจึงค่อยๆ ชัดเจนขึ้น
หลินหลันพร้อมขบวนติดตามกลุ่มหนึ่งเดินทางยาวไกลกินเวลากว่าหนึ่งเดือน ในที่สุดก็ถึงจุดหมายปลายทาง
จ้าวจัวอี้จัดการพี่ๆ น้องๆ ที่อยู่ใต้บัญชาไปพักยังโรงเตี๊ยม ส่วนตนเองติดตามหลินหลันไปยังจวนหลี่
หลินหลันไม่ได้บอกกล่าวคนของตระกูลหลี่ให้ทราบล่วงหน้า เพราะคิดเตรียมมอบความประหลาดใจให้ทุกคน ใครจะรู้ว่าพอไปถึงประตูทางเข้าจวน ตนเองกลับเป็นฝ่ายถูกทำให้ประหลาดใจเสียได้
เห็นเพียงโลงศพโรงหนึ่งวางอยู่ประตูทางเข้าออกจวนหลี่ พร้อมคนจำนวนหนึ่งสวมใส่เสื้อผ้าไว้ทุกข์กำลังร้องห่มร้องไห้อยู่ตรงนั้น มีเพื่อนบ้านจำนวนมากกำลังรายล้อมเฝ้าดู คนผู้หนึ่งกำลังส่งเสียงตะโกนด่าทอ “หลี่หมิงเจ๋อ เจ้าไอ้คนสารเลว เจ้ามันโกหกหลอกลวง ตอนแรกเป็นเจ้าที่พูดจาไว้อย่างดิบดี ให้คำมั่นสัญญาเสียมากมาย ข้าถึงได้เชื่อใจเจ้า คาดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะเป็นไอ้ขี้ขลาดเสมือนเต่าหดหัวอยู่ในกระดอง พอเกิดเรื่องแล้วก็เอาแต่หลบซ่อน แม่ของเจ้ายิ่งแล้วใหญ่ ถึงขั้นวางยาข้าเพื่อต้องการเอาชีวิตของข้า ตระกูลหลี่ของพวกเจ้ากระทำเรื่องเลวทราม ไม่กลัวว่าจะถูกเล่นงานกลับคืนบ้างหรือไร หลี่หมิงเจ๋อ เจ้าโผล่หัวออกมาเดี๋ยวนี้ มิเช่นนั้น ข้าจะเอาหัวโขกให้ตายไปต่อหน้าบ้านเจ้านี่ละ…”
หลินหลันได้ยินคำพูดของคนผู้นี้ นี่มันไม่ใช่ปี้หรูหรอกหรือ นางให้แม่อู๋มอบเงินให้นางไปสามสิบตำลึงเงินเพื่อให้นางออกจากเมืองหลวงไปแล้วไม่ใช่หรือไร เหตุใดยามนี้ถึงมาโวยวายสาดเสียเทเสียหน้าจวนหลี่ไปได้
“ติงหลั้วเหยียน เจ้าเป็นสตรีขี้หึงหวง เจ้าบีบบังคับน้องสาวข้า เอาชีวิตของน้องสาวข้าคืนมา…” มีบุรุษอีกคนพุ่งออกมาจากฝูงชน ส่งเสียงตะโกนสุดฤทธิ์เบื้องหน้าประตูบานใหญ่ของจวนหลี่
ผู้ที่สวมใส่ชุดไว้อาลัยจำนวนหนึ่งนั่น ยิ่งส่งเสียงร้องห่มร้องไห้หนักหน่วงขึ้นกว่าเดิม
“ลูกที่น่าสงสารของข้า…”
“ท่านพี่…”
ทางด้านนอกโวยวายจนฟ้าแทบถล่ม ทว่าประตูบานใหญ่ของจวนหลีกลับปิดสนิทมิดชิด เอ่อ! นี่มันช่างขายหน้าเกินไปแล้วกระมัง สรุปแล้วมันเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่
หลินหลันยังไม่เข้าใจสถานการณ์ จึงไม่สะดวกที่จะปริปาก นางหันไปบอกกล่าวเหวินซาน จากนั้นทั้งสามจึงพากันอ้อมไปยังประตูด้านทิศตะวันตก
เหวินซานเดินนำหน้าไปเคาะประตู “เหล่าจาง เหล่าจาง เปิดประตูหน่อย ข้าเอง เหวินซาน…”
ช่องหน้าต่างเล็กที่อยู่บนนานประตูเปิดออก คนผู้หนึ่งด้อมๆ มองๆ ผ่านหน้าต่างบานเล็ก เมื่อเห็นว่าเป็นเหวินซานจริง จึงรีบเปิดประตู
เหล่าจางเผยสีหน้าเป็นหวาดระวังอย่างยิ่ง เขากล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา “รีบเข้ามาเร็วเข้า อย่าให้คนเหล่านั้นเห็นเอาได้”
“เหล่าจาง นี่มันเกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ” หลินหลันเอ่ยถามหลังเดินพ้นประตูเข้าไป
หลินหลันแต่งกายในชุดบุรุษ เหล่าจางมองไม่ออกในตอนนั้น เหวินซานจึงกล่าวย้ำเตือน “ตอบเอ้อร์เส้าหน่ายนายด้วยสิ!”
“เอ้อร์เส้าหน่ายนาย?” เหล่าจางเพ่งพินิจอย่างละเอียด จากนั้นจึงกล่าวด้วยความดีอกดีใจ “เอ้อร์เส้าหน่ายนาย ท่านกลับมาได้เสียที ขืนยังไม่กลับมา บ้านนี้เป็นอันวุ่นวายไม่เป็นท่าแล้วแน่ๆ ขอรับ”
“เหล่าจาง เกิดเรื่องอันใดขึ้นแล้วหรือ” หลินหลันตระหนกตกใจด้วยคำพูดของเขา
เหล่าจางทอดถอนหายใจ แล้วกล่าว “เป็นเพราะต้าเส้าเหยียคนเดียวเลยเชียว! ตอนแรกต้องการขับไล่เว่ยอี๋เหนียง ทว่าเว่ยอี๋เหนียงไม่ยอมไป ต้าเส้าหน่ายนายก็เลยเกลี้ยกล่อม ต้าเส้าเหยียด้วยจนปัญญา จึงปล่อยให้เว่ยอี๋เหนียงอยู่ต่อไป ทุกคนล้วนคิดว่าเรื่องนี้จะปล่อยผ่านไปเช่นนี้ ที่ไหนได้พอพ้นเทศกาลปีใหม่ ต้าเส้าเหยียดันเอ่ยขึ้นมาอีกว่าต้องการขับไล่คนเขาออกไป ตอนนั้นเว่ยอี๋เหนียงด้วยความทำใจไม่ได้ ก็เลย…” เหล่าจางทำท่าทางผ่านมือเป็นการบอกกล่าวถึงการใช้เชือกแขวนคอ
“ตอนนี้คนครอบครัวเว่ยจึงแบกโลงศพมาโวยวายถึงหน้าบ้าน และเอาแต่พูดว่าต้าเส้าเหยีย ต้าเส้าหน่ายนายบีบบังคับจนทำให้เว่ยอี๋เหนียงต้องเสียชีวิตน่ะขอรับ”
เหวินซานกล่าวด้วยความประหลาดใจ “คงคิดจะมาเรียกร้องเงินกระมัง!”
เหล่าจางกล่าวด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม “ก็ใช่น่ะสิ ทว่าคนเขาทั้งๆ ที่คิดกระทำเรื่องไม่ดีแล้วยังต้องการชื่อเสียงดีงามอีก ทั้งยังต้องการเงินด้วย แล้วยังต้องการให้นำเว่ยอี๋เหนียงเข้าสู่สุสานบรรพบุรุษของตระกูลหลี่เรา ต้องการให้วิญญาณของเว่ยอี๋เหนียงเข้าสู่โถงบรรพบุรุษตระกูลหลี่ นี่…นี่มันจะได้อย่างไรกันละขอรับ…”
หลินหลันได้ยินดังกล่าว อดรู้สึกเดือดดาลขึ้นมาไม่ได้ นางสะกดกลั้นความโกรธแล้วเอ่ยถามอีกครั้ง “แล้วปี้หรูนั่น มันเรื่องอันใดอีกหรือ”
เหล่าจางกล่าว “บ่าวก็ไม่รู้เช่นกันว่าปี้หรูโผล่มาจากไหน ครอบครัวเว่ยมาโวยวายอยู่หลายวันแล้ว ส่วนนางเพิ่งมาปรากฏตัวเมื่อวานนี้ขอรับ”
หลินหลันพอจะเข้าใจเรื่องราวโดยรวมแล้ว จึงสั่งการเหล่าจาง “เจ้าไปบอกกล่าวต้าเส้าเหยียและต้าเส้าหน่ายนายว่าข้ากลับมาแล้ว ข้าขอตัวกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน อีกเดี๋ยวจะไปหาพวกเขา”
เหล่าจางส่งเสียงขานรับแล้วรีบเดินไปบอกกล่าว
จ้าวจัวอี้กล่าว “พี่สะใภ้ หรือไม่ข้าไปขับไล่พวกเขาให้ ต่อกรกับพวกอันธพาลไร้ยางอายเหล่านี้…” จ้าวจัวอี้ชูกำปั้นของเข้าขึ้น “ใช้หมัดน่าจะได้เรื่องมากที่สุดขอรับ”
หลินหลันชำเลืองตามองเขา “เจ้าก็รู้ว่าพวกเขาเป็นอันธพาลไร้ยางอาย แล้วจะขับไล่ได้ง่ายดายเพียงนั้นหรือ” อีกอย่าง หากขับไล่จนถึงแก่ชีวิตคน ยังจะต้องขึ้นโรงขึ้นศาลเอาได้ คนที่อยู่ภายนอกไม่รู้เรื่องราว ยังจะกล่าวหาว่าจวนหลี่อาศัยอำนาจรังแกผู้คนเสียอีก!
เหวินซานตบมือลงบนบ่าของจ้าวจัวอี้ “ข้าพาเจ้าไปลงหลักปักฐานก่อนแล้วกัน”
หลินหลันกลับมาถึงเรือนหลั้วเซี๋ยจาย อวิ๋นอิงที่เฝ้าประตูมองเห็นเอ้อร์เส้าหน่ายนาย ตื่นเต้นดีใจถึงขั้นพูดไม่ออก “แม่โจว กุ้ยซ่าว เอ้อร์เส้าหน่ายนายกลับมาแล้วขอรับ…” เหวินซานส่งเสียงตะโกน
แม่โจวกับกุ้ยซ่าวกำลังพูดคุยเรื่องของเว่ยอี๋เหนียงอยู่ในบ้าน ทั้งสองต่างตกตะลึงไปชั่วครู่ เมื่อได้ยินเสียงเหวินซานตะโกน “เหมือนข้าได้ยินเสียงของเหวินซาน” แม่โจวกล่าว
กุ้ยซ่าวพยักหน้า “ข้าก็ได้ยินที่เอ่ยเช่นกันว่า เอ้อร์เส้าหน่ายนายกลับมาแล้ว”
ทั้งสองเบิกตาโตจ้องมองกัน ทันใดนั้นจึงรีบลุกขึ้นแล้วเดินไปเปิดประตูด้วยสีหน้าตื่นตกใจ
หลินหลันประหลาดใจ ผู้คนล่ะ ผู้คนหายไปไหนกันหมดแล้วหรือ
เหวินซานกำลังเตรียมส่งเสียงตะโกนอีกครั้ง เห็นเพียงคนที่อยู่ในห้องครัว ห้องทางด้วยปีตะวันออกและปีกตะวันตกล้วนวิ่งออกมา
แม่โจวเห็นว่านายหญิงสะใภ้รองกลับมาแล้วจริงๆ จึงรู้สึกทั้งตื่นตกใจทั้งดีใจ นางรีบสั่งการทันที “อวิ๋นอิงรีบไปเก็บกวาดห้อง หรูอี้ รีบไปบอกหยินหลิ่วที่ร้านยาให้รับรู้ กุ้ยซ่าว ไปดูทีว่าในห้องครัวยังมีผักสดอันใดอยู่หรือไม่ รีบไปจัดซื้อมาเพิ่มเติมเร็วเข้า…”
การได้เห็นใบหน้าที่คุ้นตาอยู่พร้อมกันมากมายเพียงนี้ ช่างให้ความรู้สึกสนิทสนมเป็นกันเองอย่างแท้จริง หากไม่ใช่เพราะด้านนอกประตูยังมีโลงศพวางขวางอยู่ หลินหลันก็อยากจะกอดแม่โจวแล้วพร่ำพรรณนาเรื่องราวต่างๆ นานาให้นางฟังจริงๆ
“แม่โจว ให้คนช่วยตักน้ำมาให้ข้าล้างหน้าล้างตาสักกะละมัง หน้าข้านี่สกปรกจนแทบไม่มีหน้าไปพบเจอผู้ใดแล้ว แล้วก็ช่วยเตรียมชุดให้ข้าสักชุด ข้าต้องไปพบต้าเส้าหน่ายนาย”
แม่โจวตระหนักได้ว่า นายหญิงสะใภ้รองเพิ่งกลับบ้านมาแท้ๆ ก็ดันเผชิญเรื่องชวนรำคาญใจเช่นนี้เสียแล้ว ด้วยนิสัยของนายหญิงสะใภ้รอง มีหรือจะนั่งมองดูเฉยๆ ได้
“เดี๋ยวข้าไปตักน้ำล้างหน้าเอง” กุ้ยซ่าวรีบเดินไปตักน้ำในห้องครัว
“ข้าน้อยไปเตรียมเสื้อผ้าให้นะเจ้าคะ” จิ่นซิ่วก็วิ่งจากไปเช่นกัน
ส่วนทางด้านตงจึพาเหวินซานและจ้าวจัวอี้ไปเข้าที่พัก
ไม่นานนัก กุ้ยซ่าวตักน้ำอุ่นมา แม่โจวปรนนิบัตินายหญิงล้างหน้าล้างตาด้วยตนเอง
“เอ้อร์เส้าหน่ายนายเจ้าคะ ท่านจะกลับมาทั้งที เหตุใดถึงไม่ส่งจดหมายมาที่บ้านเสียก่อนล่ะเจ้าคะ การไปปฏิบัติหน้าที่ครั้งนี้คงลำมากไม่น้อยกระมัง บ่าวดูท่านผิวคล้ำและผอมลงไปมากทีเดียวเชียว เอ้อร์เส้าเหยียล่ะเจ้าคะ เอ้อร์เส้าเหยียมิได้กลับมาด้วยหรือเจ้าคะ” แม่โจวมีคำถามที่ต้องการถามอัดแน่นอยู่เต็มอก
หลินหลันล้างหน้าไป พลางบอกเล่า “เอ้อร์เส้าเหยียยังไม่กลับมาหรอก! ภารกิจทางด้านนั้นยังไม่ลุล่วง ข้ากลับมาครานี้ก็เพื่อจัดเตรียมวัตถุดิบยา”
“เช่นนี้ ท่านยังต้องกลับไปอีกหรือเจ้าคะ” แม่โจวยากเกินกว่าจะกลบเกลื่อนสีหน้าผิดหวังไว้ได้
หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่แล้วละ หลังเตรียมวัตถุดิบยาเรียบร้อยแล้ว เดี๋ยวมีคนนำไปส่งเอง ข้าก็รอเอ้อร์เส้าเหยียที่บ้านนี่ละ”
แม่โจวค่อยรู้สึกวางใจขึ้น “เช่นนี้ก็ดีไปเลย เยี่ยมไปเลย เอ้อร์เส้าเหยียและเอ้อร์เส้าหน่ายนายไม่อยู่ ที่บ้านนี่ไม่เหมือนบ้านเอาเสียเลยเจ้าค่ะ”
จิ่นซิ่วกล่าว “เอ้อร์เส้าหน่ายนายเจ้าคะ พวกเราคิดถึงท่าน ทุกวันล้วนบ่นกันว่า เมื่อไหร่เอ้อร์เส้าหน่ายนายจะกลับมาเสียที!”
หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “มิน่าล่ะ หูของข้าถึงร้อนผ่าวอยู่เรื่อย ที่แท้เพราะถูกพวกเจ้าบ่นถึงนี่เอง”
ขณะสนทนา อวิ๋นอิงที่อยู่ด้านนอกส่งเสียงบอกกล่าว “ต้าเส้าหน่ายนายมาเยือนเจ้าค่า”
หลินหลันเร่งรีบผูกเชือกคาดเอว “จิ่นซิ่ว ไปเปิดประตู”
“น้องสะใภ้ เจ้ากลับมาแล้วจริงๆ ด้วย เหล่าจางมารายงาน ข้ายังไม่กล้าเชื่อด้วยซ้ำ! จึงรีบมาดูให้เห็นกับตาตัวเอง” ติงหลั้วเหยียนจับมือของหลินหลันไว้ กวาดสายตามองสำรวจบนเรือนร่างนาง ทันใดนั้นดวงตาคู่สวยก็เอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำตาอย่างไม่รู้ตัว “ดูหมองคล้ำเสียแล้ว ผอมลงด้วย อยู่ที่ชายแดนคงต้องลำบากอย่างยิ่งเลยสินะ!”
“ชายแดนต้องไม่สุขสบายเท่าบ้านเราอยู่แล้วเจ้าค่ะ แต่ก็ไม่ได้ย่ำแย่ขนาดนั้นเช่นกันเจ้าค่ะ” หลินหลันให้ติงหลั้วเหยียนนั่งลง จากนั้นส่งสายตาให้แม่โจว แม่โจวจึงพากุ้ยซ่าวและจิ่นซิ่วถอยออกไป
“พี่สะใภ้ เรื่องของเว่ยอี๋เหนียง ท่านตั้งใจว่าจะจัดการอย่างไรหรือเจ้าคะ” หลินหลันพุ่งเข้าประเด็นหลัก ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมารำลึกความหลัง พอนางนึกถึงโลงศพนั่นขึ้นมา ภายในใจก็รู้สึกอึดอัดจะแย่
ติงหลั้วเหยียนปาดน้ำตา กล่าวอย่างหดหู่ “เว่ยอี๋เหนียงคอยติดตามข้าตั้งแต่ยังเด็กๆ ระหว่างเราแม้จะเรียกว่าเป็นนายและข้ารับใช้ แต่กลับสนิทสนมกันเหมือนพี่น้อง พี่ใหญ่เจ้าไม่รู้เช่นกันว่าเป็นอันใดไป ถึงต้องการขับไล่นางออกไปให้ได้…เว่ยอี๋เหนียงจึงตัดสินใจแขวนคอตนเองในกลางดึก เว่ยอี๋เหนียงไม่อยู่แล้ว ในใจข้าก็รู้สึกเสียใจมากเช่นกัน แล้วตอนแรกข้ายังเป็นคนตัดสินใจยกเว่ยอี๋เหนียงขึ้นมา…” ติงหลั้วเหยียนสะอึกสะอื้น หลังผ่อนน้ำเสียงให้สงบลงได้จึงกล่าวต่อ “ด้วยเห็นแก่มิตรภาพในวันเก่าๆ เดิมข้าคิดจะตอบแทนครอบครัวเว่ยให้เต็มที่ พวกเขาต้องการเงินเท่าใดล้วนให้ได้ทั้งนั้น ในเมื่อนั่นเป็นชีวิตคนคนหนึ่ง ทว่าครอบครัวเว่ยไม่ต้องการเงิน แต่ต้องการเพียงตั้งป้ายวิญญาณเว่ยอี๋เหนียงในโถงบรรพบุรุษ แต่มีที่ไหนกันจะให้ตั้งป้ายผู้ที่เป็นอนุภรรยาไว้ในโถงบรรพบุรุษ แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยมีธรรมเนียมปฏิบัติประเภทนี้มาก่อน”
ครอบครัวเว่ยไม่ต้องการเงิน ประเด็นนี้กลับเป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมายของหลินหลัน เป็นเพราะดูถูกเงินที่ให้ไปมันไม่มากพอ หรือไม่ต้องการจริงๆ กันแน่
“แล้วพี่ใหญ่ว่าอย่างไรบ้างหรือ”
“เขาก็รู้สึกเสียใจมากเช่นกัน เขาเพียงแค่อยากให้นางออกไป แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าภายภาคหน้าจะทิ้งขว้างไม่ไยดีนาง ตราบใดที่เว่ยอี๋เหนียงไม่ได้แต่งงานใหม่ เขาก็จะรับผิดชอบชีวิตหลังจากนี้ของเว่ยอี๋เหนียง เขาไม่ได้ต้องการบีบบังคับเว่ยอี๋เหนียงถึงขั้นให้เสียชีวิตเช่นนี้…” ติงหลั้วเหยียนกล่าวด้วยความเศร้าสลด
หลินหลันพอจะเข้าใจแนวคิดของหลี่หมิงเจ๋อได้ พี่สะใภ้อยู่ในตระกูลหลี่แม้ช่วงเวลาที่ตกต่ำโดยไม่ทอดทิ้งเขา คิดๆ ดูแล้วคงทำให้หลี่หมิงเจ๋อประทับใจอย่างใหญ่หลวง ดังนั้น จึงคาดหวังที่จะใช้การกระทำอย่างจริงจังเพื่อมาตอบแทนติงหลั้วเหยียน คาดไม่ถึงว่ากลับเป็นการบีบบังคับให้คนหนึ่งถึงแก่ชีวิตไปได้ เขามีความรักที่แท้จริงต่อติงหลั้วเหยียน แต่สำหรับอนุภรรยาเว่ย ดันเป็นความไร้หัวใจ
“ตอนนี้ดันมีปี้หรูปรากฏออกมาอีกคน ด่าทอมาสองวันสองคืนแล้ว กล่าวว่าตอนนั้นท่านแม่คิดจะฆ่านางให้ตาย นางพร่ำตระโกนจนเพื่อนบ้านล้วนรับรู้ ข้า…ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าควรทำอย่างไรดี” ติงหลั้วเหยียนกล่าวด้วยความกลัดกลุ้ม
ที่ปี้หรูพูดนั้นไม่บิดเบือนจากความจริงแต่อย่างใด ตอนนั้น นางฮานลงมือต่อนางอย่างโหดเหี้ยมจริง เพียงแต่การมาโวยวายสร้างปัญหาครั้งนี้ของปี้หรู เป็นเพื่อระบายความเคียดแค้น หรือยังมีจุดมุ่งหมายอื่นกันแน่
หลินหลันนิ่งเงียบไปชั่วครู่ ก่อนกล่าวปลอบใจ “ถึงอย่างไรก็ต้องมีวิธีขจัดปัญหาที่เกิดขึ้นได้ ปี้หรูจัดการได้ไม่ยากหรอก ให้นางเป็นหน้าที่ของข้าเอง ส่วนคนของครอบครัวเว่ย ไว้พวกเราค่อยพูดคุยกับพวกเขาอีกที”
“กับครอบครัวเว่ยพูดคุยกันไปหลายต่อหลายครั้งแล้ว ล้วนไม่เป็นผล” ติงหลั้วเหยียนกล่าวด้วยความอ่อนใจ
“เช่นนั้นก็พูดคุยอีก หรือไม่ไปเชิญคนเขาเข้ามาตอนนี้เลย” หลินหลันกล่าวอย่างแน่วแน่
ติงหลั้วเหยียนมองดูหลินหลันด้วยความประหลาดใจ “ตอนนี้?”
“ใช่แล้ว! พวกเขาโวยวายเช่นนี้ มันดูไม่ดีเอาเสียเลย เรื่องนี้จำเป็นต้องจัดการโดยเร็วที่สุด”
ติงหลั้วเหยียนกัดริมฝีปากล่าง แล้วกล่าว “ตกลง ข้าจะให้เหล่าจางไปเชิญคนเขาเข้ามาเดี๋ยวนี้ละ”
“ให้พี่ใหญ่มาด้วย เขาเป็นคู่กรณี เขาจำเป็นต้องออกหน้าด้วย”
หลังติงหลั้วเหยียนเดินจากไป หลินหลันจึงให้แม่โจวออกไปนำตัวปี้หรูแยกออกมาก่อน โดยกล่าวว่าหลินหลันต้องการพบนาง นางช่วยชีวิตปี้หรูไว้ จึงคาดว่าปี้หรูคงไม่ปฏิเสธที่จะไปพบเจอนาง
หลังเวลาผ่านไปครึ่งชั่วโมง ทุกคนมาพร้อมกันที่โถงรับแขกส่วนหน้า หลินหลันเกรงว่าคนครอบครัวเว่ยจะเล่นตุกติก จึงเรียกเหวินซานและจ้าวจัวอี้มาอยู่ด้วยเป็นการเฉพาะ
บุรุษที่หลินหลันเห็นเคาะประตูเมื่อก่อนหน้านี้ คือพี่ชายของอนุภรรยาเว่ย เมื่อครู่หลินหลันพอได้ทำความเข้าใจสถานการณ์ของครอบครัวเว่ยจากปากติงหลั้วเหยียนแล้ว ครอบครัวเว่ยเพียงแค่ยากจน ยากจนจนเกินบรรยาย ทว่านิสัยใจคอไม่ได้เลวร้ายอันใด หลายปีมานี้ ต้องขอบคุณความช่วยเหลือจากอนุภรรยาเว่ย พี่ชายของนางถึงได้แต่งภรรยามาคนหนึ่ง ตอนนี้อนุภรรยาเว่ยเสียชีวิตไปแล้ว สำหรับครอบครัวเว่ยจึงไม่ต่างจากการตัดหนทางเลี้ยงชีวิตไปหนึ่งสาย แล้วคนเขาจะยอมเลิกราวีได้หรือ ผนวกกับมีสายสัมพันธ์ความเป็นพี่ชายน้องสาวอยู่บ้าง การโวยวายใหญ่โตเช่นนี้จึงเป็นเรื่องที่พอเข้าใจได้
ตามจริงการจัดการสถานการณ์เช่นนี้เป็นอะไรที่ชวนปวดสมองนัก หลินหลันจึงต้องยินยอมให้พวกเขาเป็นพวกอันธพาลไร้ยางอายต่อไป