บทที่ 401 พวกเจ้ากลับไปได้ + บทที่ 402 บอกมา แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า

ภรรยาแม่ทัพเป็นสาวชาวบ้าน

บทที่ 401 พวกเจ้ากลับไปได้

หลังจากนั้น นางจึงแต่งงานกับเซียวอี้หลิน แต่เขากลับสนใจนังแพศยานามว่าเซียวเฉิงหย่าเพียงผู้เดียว ตั้งแต่นั้นมา นางก็รู้ว่าเซียวอี้หลินมีความรู้สึกลึกซึ้งต่อเซียวเฉิงหย่า จากนั้น นางจึงหาโอกาสพูดคุยกับเซียวเฉิงหย่าเกี่ยวกับเรื่องนี้ เซียวเฉิงหย่าที่กำลังค่อยๆ ฟื้นตัวอยู่นั้น เมื่อรู้ว่าพี่ชายสายเลือดเดียวกันรู้สึกกับตนเช่นนั้น นางก็หมดสติไป

นับตั้งแต่นั้นมา เซียวเฉิงหย่าก็ไม่ฟื้นขึ้นมาอีกเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อนางรู้ว่าลูกของตนนั้นถูกส่งไปยังหอนางโลม นั่นเปรียบดั่งคลื่นลูกที่สองที่ซัดกระหน่ำเข้ามาอย่างจัง

หลี่หลินเอ๋อร์หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “ปีนั้น หม่อมฉันเป็นคนนำตัวเซียวเฉิงหย่าออกไปเองเพคะ น่าเสียดายที่นางยังมีชีวตอยู่”

“เหตุใดเจ้าจึงทำเช่นนั้น” เซียวชวี่เฟิงขมวดคิ้วขณะมองอีกฝ่าย เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดนางจึงทำเช่นนั้น

หลี่หลินเอ๋อร์ยิ้มเยาะให้กับตนเอง “เหตุใดน่ะหรือ แน่นอนว่าเป็นเพราะชายหนุ่มที่มีชื่อว่าเซียวอี้หลินเพคะ”

“เจ้าหมายความว่าอย่างไร”

“เขาหลงรักเซียวเฉิงหย่าเพคะ ไม่ใช่ความรักระหว่างพี่ชายน้องสาว แต่เป็นความรักแบบชายหญิงเพคะ” หลี่หลินเอ๋อร์กล่าวอย่างฉุนเคือง

ในเมื่อเขามิได้รักใคร่ชอบพอกับนาง แล้วเหตุใดเขาต้องมาแต่งงานกับนางด้วยเล่า

ขณะนั้น ทุกคนต่างตกตะลึงและมองนางอย่างไม่อยากเชื่อ ท่าทีของพวกเขาราวกับโดนสายฟ้าฟาดเข้าอย่างจัง

“อย่าพูดจาเหลวไหล”

“หม่อมฉันพูดจาเหลวไหลหรือเพคะ มีเหตุผลอะไรที่หม่อมฉันจะต้องพูดจาเหลวไหลเพคะ ตอนนี้เซียวเฉิงหย่ากลายเป็นเจ้าหญิงนิทราที่ยังไม่ตายแต่ก็ไร้ชีวิตอยู่เช่นนี้ เพราะนางรู้เรื่องนี้เช่นไรเล่าเพคะ” หลี่หลินเอ๋อร์พูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ

เซียวชวี่เฟิงและคนอื่นๆ ต่างปวดเศียรเวียนเกล้า และรู้สึกว่าวันนี้เกิดปัญหามากมายนัก

“เจ้ามีความสัมพันธ์อย่างไรกับราชครูแห่งเหมียวเจียงหรือ” เซียวชวี่เฟิงไม่อาจถามเรื่องเหล่านี้ได้อีกต่อไป หากยังดื้อดึงซักถามเรื่อยๆ เขาคงไม่อาจระงับโทสะของตนได้

หลี่หลินเอ๋อร์หัวเราะลั่น นางหรี่ตามองพวกเขา

“ฝ่าบาทรู้เรื่องราชครูได้เช่นไรกันเพคะ”

“เจ้าไม่ต้องสนใจเรื่องนั้น”

“เช่นนั้นหรือเพคะ ราชครูเป็นคนแข็งแกร่งมากๆ คนหนึ่ง พวกท่านไม่อาจต่อกรกับเขาได้หรอกเพคะ ไม่ช้าก็เร็ว เมืองทั้งหมดจะต้องตกเป็นของท่านราชครูอยู่ดี” หลี่หลินเอ๋อร์มองเซียวชวี่เฟิง พร้อมกับพูดถากถาง

“ดูเหมือนว่าราชครูจะเป็นคนทะเยอะทะยานเสียจริง”

“หึ”

ท้ายที่สุดแล้ว หลี่หลินเอ๋อร์ก็พูดเฉพาะสิ่งที่สามารถพูดได้เท่านั้น แต่นางไม่ยอมบอกเฉียวเทียนช่างและคนอื่นๆ ในเรื่องที่นางไม่อาจพูดถึงได้

“ไปเถอะ ถามต่อไปก็ไม่ได้ข้อมูลอะไร” ทันใดนั้น เฉียวเทียนช่างก็พูดขึ้น

“ออกไปกันเถอะ”

เมื่อออกมาจากห้องใต้ดิน เฉียวเทียนช่างก็มองเซียวชวี่เฟิงและคนอื่นๆ “พวกเจ้าคิดว่าคำพูดของหลี่หลินเอ๋อร์นั้น…”

“นางยังปกปิดข้อมูลอื่นๆ อีกมาก แต่ข้าคิดว่านางคงไม่กล้าพอที่จะพูดถึงเรื่องนั้น” อวี้เฟิงยิ้ม โดยใบหน้าอันหล่อเหลาของเขานั้นมีสีแดงชาดแต่งแต้มอยู่

เฉียวเทียนช่างผงกศีรษะ “จริงด้วย อย่างไรก็ตาม ข้าเกรงว่าจะจัดการตระกูลหลี่ไม่ได้ง่ายๆ ”

“ใช่ ข้าจะส่งคนกลุ่มหนึ่งไปจัดการตระกูลหลี่เอง” เซียวชวี่เฟิงหรี่ตาและเอ่ยขึ้น

เมื่อเห็นว่าหลี่หลินเอ๋อร์พูดจาอ้อมค้อม พวกเขาจึงสัมผัสได้ว่าตระกูลหลี่นั้นไม่ธรรมดา

“ตกลง”

“พวกเจ้ากลับกันได้แล้ว” เฉียวเทียนช่างพูดตรงๆ อย่างไม่เกรงใจ

เซียวชวี่เฟิงหันหน้ามองชายหนุ่ม “เจ้าควรให้เราเข้าไปพักผ่อนมิใช่หรือ”

“หากพรุ่งนี้เหยาเหยาเห็นพวกเจ้า ข้าคงลำบากที่จะต้องอธิบายเรื่องราวเหล่านี้ ดังนั้นพวกเจ้ากลับไปเถิด” เขาหมุนตัวจากไปหลังจากพูดจบ และไม่เหลียวมองพวกเขาอีก

เซียวฉีเทียนมองร่างของชายหนุ่มที่เดินจากไป “ท่านพี่คิดว่าหลังจากเฉียวเทียนช่างแต่งงาน เขาเปลี่ยนไปหรือไม่ ดูเหมือนว่าตอนนี้เขาจะเข้มงวดมากขึ้นกว่าแต่ก่อน”

“ใช่ แต่แบบนี้ก็ดีแล้ว” เซียวชวี่เฟิงผงกศีรษะ มันไม่ใช่เรื่องผิดอะไรที่จะมีนิสัยเช่นนี้

เซียวฉีเทียนเลิกคิ้วขึ้น “จริงด้วย ถ้าเช่นนั้น เราไปกันเถอะ”

หลังจากสองพี่น้องจากไป อวี้เฟิงและมู่เฉินก็มองหน้ากันและยักไหล่ ก่อนจะเดินทางกลับไปที่ตำหนักองค์หญิง

สองวันต่อมา ข่าวเกี่ยวกับตระกูลหลี่ก็แพร่สะพัดไปทั่ว จนทำให้เหล่าประชาชนรู้สึกโกรธแค้น

หลังจากฝูงชนเห็นหลักฐานคดีอาญาของตระกูลหลี่ บรรดาผู้คนก็มิได้สะทกสะท้านต่อความตายของพวกเขา หนำซ้ำยังพึงพอใจกับมันอีกด้วย

เมื่อตระกูลหลี่ถูกตัดศีรษะในห้องใต้ดินของวังหลวง เซียวชวี่เฟิงก็ได้กลิ่นอันไม่พึงประสงค์ตรงทางเดิน เขาจึงมุ่งหน้าไปดู

เมื่อหัวหน้าของตระกูลหลี่ได้ยินเสียงมาจากด้านนอก เขาก็ตัวแข็งเกร็งทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเห็นว่าเซียวชวี่เฟิงกำลังเดินเข้ามา

บทที่ 402 บอกมา แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า

“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” เมื่อผู้คนในห้องใต้ดินเห็นเซียวชวี่เฟิง ก็เนื้อตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว โดยเฉพาะลูกชายของหัวหน้าตระกูลหลี่

“ฝ่าบาท พวกเราถูกใส่ความพ่ะย่ะค่ะ โปรดช่วยพวกเราด้วย”

เซียวชวี่เฟิงมองเขา ก่อนยิ้มมุมปากเล็กน้อย “ใส่ความหรือ ถ้าเช่นนั้นตอบข้ามาว่านี่คืออะไร”

เมื่อเห็นสิ่งของในมือเซียวชวี่เฟิง ดวงตาของหัวหน้าตระกูลหลี่ก็หดเล็กลง ใบหน้าของเขาดูสิ้นหวัง นั่นคือเหตุผลที่แท้จริงว่าทำไมตระกูลหลี่ถึงถูกลงโทษ

เซียวชวี่เฟิงหัวเราะเบาๆ หลังจากเห็นท่าทีของอีกฝ่าย “ดูเหมือนว่าหัวหน้าตระกูลหลี่คงรู้แล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป”

“ในเมื่อฝ่าบาทรู้อยู่แล้ว ทำไมถึงยังต้องมาที่นี่อีกพ่ะย่ะค่ะ”

“ข้ามีคำถามมากมายที่ต้องการคำตอบ ข้าจึงอยากรู้ว่าหัวหน้าตระกูลหลี่จะช่วยคลายข้อสงสัยให้ข้าได้หรือไม่” เซียวชวี่เฟิงพูดอย่างเป็นกันเอง พลางนั่งบนเก้าอี้ที่องครักษ์นำมาให้

“ฝ่าบาท พวกเรายอมบอกทุกอย่างที่ฝ่าบาทอยากรู้พ่ะย่ะค่ะ ขอเพียงฝ่าบาทโปรดไว้ชีวิตพวกเราด้วยพ่ะย่ะค่ะ” ลูกชายของหัวหน้าตระกูลหลี่พูดขัดจังหวะ ก่อนที่พ่อของเขาจะเอ่ยคำใดออกไป

เซียวชวี่เฟิงต้องการเห็นอากัปกิริยาเช่นนี้ เขามองนายน้อยแห่งตระกูลหลี่ ก่อนพูดขึ้นว่า “เจ้าบอกทุกอย่างที่ข้าอยากรู้ได้จริงหรือ”

“กระหม่อม…กระหม่อมรู้ กระหม่อมรู้ทุกเรื่องพ่ะย่ะค่ะ แต่ถึงกระหม่อมจะไม่รู้ ท่านพ่อของกระหม่อมก็จะบอกฝ่าบาทเองพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมขอเพียงฝ่าบาทไว้ชีวิตพวกเราเท่านั้น” นายน้อยหลี่คุกเข่าอ้อนวอน

หัวหน้าตระกูลหลี่รู้สึกละอายใจเมื่อเห็นท่าทีขี้ขลาดของลูกชาย เป็นความผิดของเขาเอง มิเช่นนั้น ลูกชายของเขาก็คงจะไม่ถูกเลี้ยงดูมาเช่นนี้

“จริงหรือ”

“พ่ะย่ะค่ะ ท่านพ่อ บอกฝ่าบาทเถอะ ข้ายังไม่อยากตาย” นายน้อยพยักหน้าหนึ่งครั้ง ก่อนจะอ้อนวอนผู้เป็นพ่อ

หัวหน้าตระกูลหลี่นั้นไม่อยากพูดอะไร แต่สายตาของเซียวชวี่เฟิงกลับดูสบายใจ ขณะมองดูเหตุการณ์ตรงหน้า เขารู้ว่าอีกไม่นานตนเองจะได้ในสิ่งที่ต้องการ

“ดูเหมือนว่าหัวหน้าตระกูลหลี่จะไม่อยากบอกข้อมูลให้ข้าฟัง”

“ฝ่าบาทคิดจะทำอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ” ก่อนที่นายน้อยหลี่จะเอ่ยอะไร หัวหน้าตระกูลหลี่ก็มองเขาก่อนเอ่ยถามอย่างเคร่งขรึม

เซียวชวี่เฟิงมองอีกฝ่าย พร้อมรอยยิ้มเบิกบานบนใบหน้า “พูดมาแล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า เจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า”

“ท่านพ่อ…”

“หุบปาก ข้ามีลูกชายไร้ประโยชน์เช่นเจ้าได้อย่างไรกัน”

เซียวชวี่เฟิงเห็นว่าหัวหน้าตระกูลหลี่มองคนข้างๆ อย่างเด็ดเดี่ยว จึงเอ่ยขึ้น “ในเมื่อหัวหน้าตระกูลหลี่แน่วแน่เช่นนั้น ข้าก็ไม่ขอบังคับฝืนใจ และจะดำเนินการต่อไป”

คนที่ยืนอยู่ด้านหลังเซียวชวี่เฟิง เดินเข้ามาจับนายน้อยหลี่และมัดเขากับเครื่องทรมาน หนึ่งในองครักษ์หยิบกริชแหลมคมเล่มหนึ่งออกมา ก่อนจะจ้วงแทงร่างกายของนายน้อยหลี่

“อ๊าก…” นายน้อยหลี่กรีดร้องโหยหวนอย่างทรมาน

นั่นเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น

“ฝ่าบาท กระหม่อมยอมบอกแล้วพ่ะย่ะค่ะ…กระหม่อมยอมพูดแล้ว” เมื่อชิ้นเนื้อของผู้เป็นลูกชายขาดกระเด็น เขาก็ไม่อาจอดทนดูต่อไปได้

หัวหน้าตระกูลหลี่มองสิ่งที่เกิดขึ้นกับลูกชายด้วยดวงตาโกรธแค้น

ผู้เป็นลูกชายนั้นรู้เรื่องราวมากมายเกี่ยวกับตระกูลหลี่ เมื่อเห็นลูกชายตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ เขาก็ไม่อาจปิดบังได้อีกต่อไป

เซียวชวี่เฟิงโบกมือให้องครักษ์หยุด

“พูดมา”

หลังจากนายน้อยหลี่รู้สึกว่ากริชในร่างกายนั้นถูกดึงออกไปแล้ว จึงเริ่มปริปากพูด

เขาบอกความลับของตระกูลหลี่เท่าที่เขารู้ให้เซียวชวี่เฟิงฟัง

หลังจากได้คำตอบที่ต้องการ ผู้เป็นฮ่องเต้จึงพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “หากเจ้ายอมบอกเร็วกว่านี้อีกหน่อย ก็คงจะดีกว่านี้ ทำไมต้องรอจนถึงตอนนี้ด้วยเล่า”

หลังจากเซียวชวี่เฟิงจากไป หัวหน้าตระกูลหลี่ก็ทรุดไปกองกับพื้น และรู้สึกว่าหัวสมองของตนด้านชา ‘พวกเขาจบสิ้นแล้ว ทุกอย่างพังทลายไปหมด’

ส่วนนายน้อยหลี่นั้นกลับรู้สึกดีใจที่รอดชีวิตจากเหตุการณ์เลวร้ายเมื่อครู่ได้

แต่ทว่า เขากลับดีใจได้ไม่นานนัก ก่อนจะเสียชีวิตลงโดยไม่ทราบสาเหตุ

ไม่เพียงแค่เขาเท่านั้น แต่สมาชิกที่เหลือของตระกูลหลี่ทั้งหมดก็เสียชีวิตลงในคืนเดียวกัน พวกเขาเสียชีวิตโดยที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

เซียวชวี่เฟิงมองคนตรงหน้า “จัดการคนพวกนั้นเรียบร้อยแล้วใช่หรือไม่”

“พ่ะย่ะค่ะ”

“ดีมาก แจ้งเทียนช่างให้รู้เกี่ยวกับข่าวที่เราเพิ่งได้มาจากตระกูลหลี่ซะ”

“พ่ะย่ะค่ะ”

หลังจากพวกเขาจากไป เซียวชวี่เฟิงก็พิงบัลลังก์มังกรของตนเอง ก่อนจะหรี่ตาลง มันมีเรื่องที่ซ่อนเร้นอยู่ภายใน ดูเหมือนว่าราชครูจะเป็นคนรอบคอบอย่างยิ่ง เขาวางหมากกระจัดกระจายอยู่ทั่วเมือง โดยไม่มีผู้ใดรู้ตัวตนของอีกฝ่ายเลย ส่งผลให้การตรวจสอบของพวกเขายากลำบากมากขึ้น