บทที่ 193 ความเป็นผู้หญิงกับความสง่างาม

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

ไคหมิงรัชกาลที่สิบสอง วันที่ยี่สิบเจ็ดเดือนสองปีสิบเก้า

จูเหิงที่รักษาตัวอยู่บนภูเขาหมินซาน “ป่วยตาย” กะทันหัน ทันทีที่มีข่าวออกไป ทั้งหวังเฉิงก็ต่างสวมสีขาวไว้ทุกข์

สาเหตุที่จูเหิงเป็นที่รักและเคารพของราษฎรเพราะว่าตามปกตินอกจากเขาจะปรนนิบัติสู่อ๋องแล้ว ยังมีภารกิจหลักในการจัดเรื่องการทำนา มหาเสนาบดีกล่าวว่าจูเหิงทำงานด้วยตัวเองก็ใช่ว่าไม่มีหลักฐานพิสูจน์ เขาจะลาดตระเวนที่ทุ่งนาเป็นการส่วนตัวทุกครั้งเมื่อถึงฤดูกาลเก็บเกี่ยวเพื่อเข้าถึงความรู้สึกของผู้คน ไม่ว่าผลงานทางการเมืองของเขาจะเป็นอย่างไร อย่างน้อยเขาก็ทุ่มเทมาตลอดสิบกว่าปีฐานะข้าราชการ

ซ่งชูอีที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงด่านเจียเหมิงได้รับข่าวแล้วก็ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ตามแผนการของนาง สู่อ๋องจะพิจารณาอย่างน้อยสามถึงห้าเดือน แต่กลับไม่คาดคิดว่าเขาจะลงมือรวดเร็วปานนี้! นางเพิ่งจะนึกอยู่เลยว่าจะใช้วิธีใดในการเร่งให้สู่อ๋องลงมือฆ่าและล่อลวงให้เขาลงมือภายในหนึ่งเดือน

จูเหิงเป็นพระอนุชาแท้ๆ ของสู่อ๋อง ทั้งรัฐสู่นอกจากองค์รัชทายาทแล้วเขาเป็นคนที่มีเกียรติที่สุดในราชวงศ์ เมื่อรัฐสู่ยังไม่ล่มสลายก็ยังมองไม่เห็นประโยชน์ของเขา ทว่ททันทีที่รัฐสู่ล่มสลาย จูเหิงก็จะเป็นอุปสรรคชิ้นใหญ่ที่สุดสำหรับรัฐฉินในการปกครองรัฐสู่ ดังนั้นไม่ช้าก็เร็วเขาก็ต้องตาย ยิ่งสู่อ๋องลงมือเร็วก็จะยิ่งสามารถเข้าใกล้ความสัมพันธ์อันบาดหมางระหว่างจวินกับเหล่าขุนนางในรัฐสู่ได้ โดยเฉพาะสู่อ๋องกับขุนนางใหญ่ที่มีอำนาจ จูเหิงตายเยี่ยงไรนั้น อาจจะถูกเก็บอยู่ในความมืดจากราษฎรผู้ไม่รู้เรื่องรู้ราว ทว่าจะปิดบังบุคคลสำคัญเหล่านั้นได้เยี่ยงไร? สู่อ๋องสังหารแม้กระทั่งน้องชายของตัวเอง ทั้งราชสำนักจะไม่รู้สึกถึงภัยคุกคามเชียวหรือ?

จวินและเหล่าขุนนางแตกแยก การทำลายสู่ก็อยู่ใกล้เพียงเอื้อม

นี่เป็นไปตามเจตนาของซ่งชูอี ทว่าในใจของนางไร้ซึ่งความสุขของความสำเร็จ

ซ่งชูอียืนมองดอกตู้เจวียนที่แพร่ขยายไกลสุดลูกหูลูกตาอยู่บนเนินเขา จู่ๆ ก็เอ่ยขึ้น “ฮ่วน นำเหล้ามา”

จี้ฮ่วนปลดถุงสุราแล้วยื่นให้นาง

ซ่งชูอีเปิดขวดถุงสุรา หันหน้าไปทางหมินซาน เทสุราลงตรงหน้า “ใต้เท้าเหิง ซ่งหวยจินดื่มให้ท่าน”

การวางอุบายต่อรัฐจำต้องกำหนดชีวิตคน สองรัฐเผชิญหน้ากัน ขุนนางผู้ภักดีของแต่ละรัฐล้วนเป็นศัตรูคู่อาฆาตต่อกัน โลกมันก็เป็นแบบนี้ ซ่งชูอีไม่รู้สึกผิดใดๆ สุรากานี้เป็นเพียงการเคารพจูเหิงในฐานะผู้ซื่อสัตย์เท่านั้น มิได้เป็นการเสแสร้งเลย

“องค์จวินในแต่ละรัชสมัยแห่งรัฐสู่ย่ำแย่ลงทุกทีแล้ว ยิ่งไร้ความทะเยอทะยานและไร้สมองอีกด้วย!” จี้ฮ่วนถอนหายใจเอ่ย

ซ่งชูอียื่นถุงสุราให้เขา สอดมือไว้ในแขนเสื้อมองดูดอกตู้เจวียนที่งดงาม เอ่ยขึ้นเรียบๆ “เมล็ดพันธุ์มังกรจะได้รับการเพาะปลูก แมลงโง่จะถูกเก็บเกี่ยว”

“วาจาของท่านนี้โหดร้ายนัก” จี้ฮ่วนมเม้มริมฝีปากเอ่ย

สู่อ๋องก็มิใช่คนเขลา ประเด็นสำคัญคือเขามิได้ใช้ความฉลาดไปกับสิ่งที่ถูกต้อง นอกจากใช้ผิดที่แล้วยังมีจิตใจโหดเหี้ยมอีกด้วย

นี่คือเคราะห์ร้ายของรัฐสู่ ทว่าเป็นความโชคดีของรัฐฉิน

“ของกำนัลเข้ารัฐสู่แล้วหรือยัง?” ซ่งชูอีถามเสียงเบา

“ยังขอรับ แต่ได้ข่าวว่าบัดนี้ของอยู่ในมือของชาวสู่แล้ว คาดว่าอีกสามถึงห้าวันก็จะมาถึงด่านเจียเหมิง” จี๋อวี่ตอบ

“อืม แจ้งท่านแม่ทัพซือหม่าว่าเตรียมโจมตีเถิด” ซ่งชูอีกล่าว

“ขอรับ” จี๋อวี่รับคำสั่งแล้วไปสมทบกับซือหม่าชั่ว

“น่าเสียดายที่ร่างกายของข้านี้สะดุดตาเกินไป มิฉะนั้นก็คิดอยากจะต่อสู้จริงๆ!” เลือดร้อนของจี้ฮ่วนพุ่งพล่าน เขามิได้ต่อสู้นานแล้ว

โดยปกติผู้คนส่วนใหญ่ล้วนกลัวตาย เมื่อกล่าวถึงการต่อสู้ทุกคนมีเพียงอาการสั่นกลัว แต่เลือดและการต่อสู้ยังสามารถกระตุ้นความดุร้ายที่ซ่อนอยู่ในเลือดของบางคนได้เช่นกัน เมื่อถูกยั่วยุให้ต่อสู้ การเข่นฆ่าในสนามรบก็จะเป็นกลายเป็นสิ่งเสพติดชนิดหนึ่ง บุคคลประเภทนี้ถูกลิขิตให้เป็นนักรบที่สู้จนตัวตายในสนาม จี้ฮ่วนก็เป็นหนึ่งในนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย

“ความขัดแย้งระหว่างรัฐเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ไม่ขาดสงครามเป็นที่สุด” ซ่งชูอีเอ่ย

ครั้งนี้ พวกเขาจะแสร้งทำเป็นว่ามาจากรัฐจูเพื่อปล้นของกำนัลของรัฐฉิน ฉะนั้นจึงต้องเลือกนายทหารที่มีความสูงไม่มาก คนเหล่านี้ถูกแบ่งออกเป็นสามกลุ่ม กลุ่มหนึ่งจะโจมตีกองทัพสู่เพื่อบังคับให้เข้าไปในหุบเขา กลุ่มที่สองซุ่มโจมตีในบริเวณใกล้เคียงหุบเขา กลุ่มที่สามครั้นภารกิจเสร็จสิ้นแล้วก็จะทำความสะอาดศพ

รัฐสู่มีภูเขาหลายแห่งซึ่งทำให้ไม่สะดวกในการสกัดกั้นเป็นวงกว้างเช่นเดียวกับในพื้นที่ราบ ทว่าด้วยภูมิประเทศเช่นนี้การซุ่มโจมตีกลับเป็นวิธีอันยอดเยี่ยม

หลังจากการเตรียมการนับเดือน จุดสำคัญจะเกิดขึ้นภายในบัดดล!

“ไปเถิด ไปสมทบกับพี่จาง” ซ่งชูอีตบๆ ไป๋เริ่นที่กำลังเอ้อระเหย

ความรู้สึกต่อทิศทางของหมาป่านั้นดีเป็นพิเศษโดยเฉพาะในป่าและพื้นที่รกร้าง ซ่งชูอีคิดจะหลบเลี่ยงทหารสู่ ออกไปจากหุบเขาด้วยทางลัดก็ทำได้เพียงพึ่งพาการนำทางของไป๋เริ่นเท่านั้น  ในระยะเวลานี้สู่อ๋องหาซ่งชูอีไม่เจอล้วนเป็นเพราะความพยายามของไป๋เริ่น

จนกระทั่งตอนนี้ ซ่งชูอีจึงสามารถถอนหายใจเอ่ยจากก้นบึ้งของหัวใจ ‘เจ้าหมอนี่ที่เอาแต่กินและเกียจคร้าน ในที่สุดก็มีประโยชน์ในเวลานี้ นับว่าเลี้ยงไม่เสียเปล่า!’

ที่จริงแล้วไป๋เริ่นน้อยอกน้อยใจและเสียใจเป็นอย่างมาก ครั้นอยู่กับเจ้าอี่โหลวอยากกินอะไรก็ได้กิน อีกทั้งทุกวันนอกจากกินแล้วก็เล่น อยู่ซ่งชูอีลำบากยังไม่พอยังต้องถูกรังเกียจอีก

เป็นหมาป่าว่ายากแล้ว เป็นหมาป่าที่ซ่งชูอีเลี้ยงยากยิ่งกว่า!

ในฐานะหมาป่าหิมะตัวหนึ่ง ไป๋เริ่นควรจะนอนกลิ้งอยู่บนหิมะทั้งวัน แต่เนื่องจากถูกซ่งชูอีบังคับให้เป็นหมาป่าภูเขาผู้นำทาง บัดนี้ขนที่ขาวบริสุทธิ์ไร้ที่ติได้ถูกย้อมจนเนื้อตัวมอมแมม โดยเฉพาะใบหน้าหมาป่าที่ไร้เดียงสาของมันที่เลอะจนมองไม่เห็นเค้าเดิมแล้ว ดังนั้นเมื่อจางอี๋เห็นมันในวันที่หกก็ยังถามซ่งชูอีด้วยความประหลาดใจ “เจ้ารับเลี้ยงหมาป่าจากภูเขาอีกตัวรึ?”

ครั้นเข้าถึงกระโจม จางอี๋ก็รีบส่งให้คนเตรียมน้ำร้อนให้ซ่งชูอีได้อาบ

ไป๋เริ่นผ่านน้ำถึงสามถังจึงจะสามารถชำระล้างได้สะอาดหมดจด

หลังจากซ่งชูอีอาบน้ำเสร็จแล้วก็นั่งผิงไฟอยู่กลางกระโจมกับไป๋เริ่น รอข่าวของซือหม่าชั่ว

“หวยจิน ราตรีนี้ยังอีกยางไกล มาเดินหมากกันสักตาเถิด!” ก่อนที่คำพูดจะสิ้นสุดลง จางอี๋ก็เลิกผ่านเดินเข้ามาแล้ว

เขาเห็นซ่งชูอีที่คุกเข่าอยู่หน้ากองไฟ อดที่จะประหลาดใจไม่ได้ ภายใต้แสงไฟสะท้อนวูบวาบนั้น ผมดกดำที่เปียกชื้นของซ่งชูอีพาดอยู่ด้านหลัง ลายเส้นบนใบหน้าอ่อนโยนเป็นอย่างยิ่ง ความรู้สึกระหว่างคิ้วตาเกียจคร้านและนุ่มนวลกว่าปกติ ท้ายที่สุดแล้วดูเหมือนผู้หญิงเสียสามส่วน…

อย่างไรก็ดีจางอี๋คิดทันใดว่าบัดนี้ซ่งชูอีอายุเพียงสิบเจ็ดสิบแปดเท่านั้น ความคมชัดของใบหน้าย่อมมีน้อยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ รออีกสองสามปีก็จะชัดเจนกว่านี้อย่างแน่นอน

“มามา หวยจิน พวกเรามาเดินหมากกินรัฐใหญ่กัน!” จางอี๋ทิ้งความคิดแปลกประหลาดชั่วครู่ไว้เบื้องหลัง ถือชามหมากรุกสองใบพร้อมลากซ่งชูอีมาเดินหมาก

เมื่อครู่จางอี๋พุ่งพรวดเข้ามา ซ่งชูอีก็ตกใจมากเช่นกัน ทว่าเมื่อเห็นสีหน้าของเขากลับไปเป็นปกติ ก็วางใจขึ้นมาบ้างเล็กน้อย หาแถบผ้ารวบผมทั้งหมดขึ้นด้วยความรวดเร็ว

“หวยจินรับเครื่องกวนแล้วหรือ?” จางอี๋มองดูกิริยาของนาง จู่ๆ ก็นึกขึ้นมาได้ว่าปกติแล้วซ่งชูอีไม่ปล่อยผม

ก่อนที่เด็กหนุ่มจะสวมเครื่องกวน[1] ส่วนมากก็จะมัดผมเพียงครึ่งหนึ่งหรือไม่ก็ถักเป็นเปียเล็กน้อย รอจนกระทั่งวันที่บรรลุนิติภาวะแล้วจึงหวีรวบผมทั้งหมดขึ้นไป จากนั้นก็ให้อาจารย์เป็นผู้สวมเครื่องกวน ทว่าซ่งชูอีกลับมัดผมทั้งหมดเป็นมวยอยู่ตลอดเวลา

ซ่งชูอียิ้มเอ่ย “บิดาของข้าจากไปเร็ว ในตระกูลไม่มีคนอื่นเลย อีกทั้งออกเดินทางตั้งแต่เด็ก ด้วยรูปลักษณ์ที่เหมือนเด็กจึงพบทางตันครั้งแล้วครั้งเล่า ฉะนั้นข้าจึงหวีรวบผมขึ้นมาเอง หากมีวาสนาได้พบกับอาจารย์อีกครั้งในปีที่บรรลุภาวะก็จะเชิญให้เขาสวมเครื่องกวนให้ข้า หากไม่พบก็ทำได้เพียงไปที่หน้าหลุมศพของบิดาแล้วสวมเครื่องกวนให้ตัวเองแล้ว!”

ไม่ใช่ว่าทุกคนจะมีผู้อาวุโสสวมเครื่องกวนให้ คำพูดของซ่งชูอีนี้สมเหตุสมผลยิ่ง จางอี๋ก็รู้ว่าซ่งชูอีมาจากสำนักเต๋า สำนักเต๋ามีอิสระเสรีเสมอมา เคารพในมารยาททว่ากลับไม่บังคับในเรื่องประเพณี

จางอี๋พยักหน้า “ปีนี้อายุยังน้อย มีความเป็นผู้หญิงบ้างก็ช่วยไม่ได้ ไว้เป็นหนุ่มก็จะหายไป”

“ความเป็นผู้หญิง? หึ! ข้าเรียกมันว่าความสง่างามต่างหาก!” ซ่งชูอีหยิบเสื้อคลุมขึ้นมาแล้วนั่งลงหน้ากระดานหมากรุก “มาเถิด! ในเมื่อท่านเย้าแหย่ข้า ข้าก็เป็นแขก ข้าเดินก่อนดีหรือไม่?”

จางอี๋ถอนการประเมินเมื่อครู่อยู่ในใจเงียบๆ “ผลประโยชน์เล็กน้อยดั่งหัวแมลงวันก็ไม่ปล่อย ได้ ให้เจ้าเดินก่อน”

“หมากสีดำ รัฐฉิน เป็นผลประโยชน์เล็กน้อยหรือไม่?” ซ่งชูอีหัวเราะเสียงดัง แล้วหยิบชามหมากสีดำขึ้นมา

“เดินก่อนมีโอกาสชี้ขาดสินะ!” จางอี๋เอ่ยอุทาน

การเล่นหมากล้อมชนิดนี้ ผู้ที่เดินก่อนมีข้อได้เปรียบกว่ามาก อีกทั้งผู้เล่นยังคิดว่าการเลือกทิศทางที่ดีและตัวหมากรุกที่ชื่นชอบอาจส่งผลต่อโชคในการชนะหรือแพ้ ซ่งชูอีมีโอกาสได้เดินหมากก่อนอีกทั้งยังเลือกรัฐฉินผู้มีชีวิตชีวา ยังไม่ทันเริ่มหมากก็ถือไพ่เหนือกว่าแล้ว จึงไม่ใช่ผลประโยชน์เล็กน้อยดั่งหัวแมลงวันเป็นแน่

ทว่าผู้ที่มีความมั่นใจในตัวเองเช่นจางอี๋นั้นไม่เก็บมาใส่ใจอยู่แล้ว เขาพิจารณาครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “ข้าเลือกรัฐหาน!”

[1] เครื่องกวน สิ่งที่เด็กชายชาวจีนในสมัยโบราณใช้สวมครอบบนศีรษะเพื่อเป็นเครื่องแสดงว่าได้บรรลุนิติภาวะโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว