บทที่ 194 พบหน้าตูเว่ยม่อเป็นครั้งแรก

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

หลังจากแต่ละคนเลือกรัฐที่จะเดินท่ามกลางพลังสังหารแล้ว เส้นทางหมากรุกที่เล่นจะต้องรวมเข้ากับเงื่อนไขของรัฐ โดยไม่สามารถแยกออกจากกรอบนี้ได้ หลังจากทั้งสองฝ่ายได้กำหนดสถานการณ์โดยรวมแล้วก็เริ่มเดินหมากอย่างมีสีสัน

จางอี๋กับซ่งชูอีล้วนเป็นผู้ชำนาญในการเดินหมาก อีกทั้งเป็นการเผชิญหน้ากันครั้งแรก เมื่อพบคู่ต่อสู้ที่ฝีมือสูสี ทั้งสองคนก็เข้าสู่ห้วงความคิดโดยไม่รู้ตัวแล้ว

ภายในกระโจมเงียบสงัดมาก ไป๋เริ่นที่อยู่ข้างๆ ตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง มันสามารถจับอารมณ์ที่ละเอียดอ่อนของซ่งชูอีได้อย่างดีเยี่ยม เวลาที่นางกระวนกระวายใจ มันก็จะเกร็ง หูตั้งขึ้นอย่างตื่นตัว ขณะที่นางผ่อนคลาย มันก็จะกระดิกหูและหาง ต่อมาเมื่อพบว่ามิได้มีภยันตรายใดๆ ก็ออกไปเล่นข้างนอกแล้ว

ไป๋เริ่นเพิ่งจะออกไปไม่ถึงสองเค่อ ก็มีทหารรายงานด้วยความร้อนรนอยู่นอกกระโจม “ท่านทั้งสอง หมาป่าสองตัวข้างนอกกัดกันแล้วขอรับ บัดนี้เสียเลือดด้วย!”

ทุกคนในค่ายต่างรู้ดีว่าไป๋เริ่นกับจินเกอเป็นสัตว์เลี้ยงที่สองคนนี้เลี้ยงไว้ มีความละเอียดอ่อนเป็นอย่างยิ่ง ไป๋เริ่นเพิ่งเข้ามา พวกเขายังไม่ใคร่รู้นิสัยของมันเท่าใดนัก แม้จินเกอจะไปๆ มาๆ อยู่ในค่ายเป็นประจำทว่าก็ไม่เคยโจมตีผู้ใด ชอบหมอบอยู่ในคอกม้าเพื่อดูม้าเป็นที่สุด

จางอี๋เอ่ยถามโดยไม่เงยหน้าขึ้นมามอง “ใครถือไพ่เหนือกว่า?”

ทหารที่อยู่นอกกระโจมมองไม่เห็นสีหน้าของเขา นิ่งไปครู่หนึ่งก่อนที่จะรู้ตัวว่าเขากำลังถามถึงการต่อสู้ระหว่างไป๋เริ่นกับจินเกอ “หมาป่าสีขาวถือไพ่เหนือกว่าขอรับ”

จางอี๋แทบไร้ความกังวลใดๆ จินเกอมักจะทำให้เขาโมโหอยู่เสมอ จึงหัวเราะอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น วางหมากสีขาวเม็ดหนึ่งแล้วถามซ่งชูอีว่า “ไป๋เริ่นน่าจะแยกแยะได้กระมัง”

หมาป่ามีเขี้ยวและเล็บแหลมคม การบาดเจ็บจากอุบัติเหตุเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ความหมายของเขาก็คือหากไป๋เริ่นต้องการกัดจินเกอให้ตายก็เป็นเรื่องเพียงชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น คงไม่ต้องรอให้มีคนเข้ามารายงาน ดูท่าทางแล้วคงเป็นเพียงการเย้าเล่นเท่านั้น

“เรื่องนั้นข้าไม่รู้ ทว่าข้าแยกแยะได้ดีมาก” ซ่งชูอีแสยะยิ้มเอ่ย

เห็นได้ชัดว่าเป็นการยั่วยุ จางอี๋สะบัดแขนเสื้อ ลักษณะราวกับว่าพร้อมที่จะมีเรื่อง “เยี่ยม เช่นนั้นก็ให้พี่ชายให้ดูว่าหวยจินจะแยกแยะเยี่ยงไร!”

พูดจบ ทั้งสองคนก็ไม่สนใจการรายงานอีก ก้มหน้าเดินหมากต่อ

บัดนี้ใกล้เข้าสู่ราตรีแล้ว หมาป่าสองตัวด้านนอกกัดกันเป็นก้อนกลมอยู่บนพื้นที่ว่างเปล่า ส่งเสียงหอนเป็นระยะๆ บนกระดานหมากภายในกระโจมก็กำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด ครั้นนายทหารไม่ได้คำตอบก็ทำได้เพียงไปรายงานตัวกับหัวหน้าค่าย

เมื่อฟ้าสาง

จางอี๋และซ่งชูอีได้ยินเสียงฝีเท้าที่เป็นระเบียบเรียบร้อยดังขึ้นจากด้านนอก เงยหน้าขึ้นพร้อมกัน เมื่อสายตาประสานกันก็เห็นรอยยิ้มในดวงตาของกันและกัน

หลังจากนั้นไม่นานผ้าม่านที่ประตูก็ถูกเลิกขึ้นตามคาด คลื่นสายลมหนาวที่ปะปนกับลมหายใจกระหายใจเลือดลอยพุ่งเข้ามา ซือหม่าชั่วในชุดเกราะสีดำหัวเราะเสียงดัง “ท่าทางของท่านทั้งสองที่กำลังกุมชัยชนะช่างน่าชื่นชมจริงๆ”

การโจมตีซึ่งหน้ายังไม่ได้รับข่าวแห่งชัยชนะ แต่พวกเขาสองคนกลับกำลังเดินหมากอย่างลืมตัว ในสายตาของคนอื่นมันคือความมั่นใจในชัยชนะของการต่อสู้ครั้งนี้

อย่างไรก็ดีมีเพียงซ่งชูอีและจางอี๋ที่สามารถเข้าใจอารมณ์ของกันและกันในเรื่องนี้ได้ เมื่อเทียบกับการต่อสู้ระหว่างสองรัฐแล้ว นี่เป็นเพียงสงครามที่เล็กยิ่ง ทว่ามันสำคัญสำหรับการโค่นรัฐสู่เป็นอย่างมาก อีกทั้งสำคัญต่อซ่งชูอีและจางอี๋มากเช่นกัน ฉะนั้นต่อให้ควบคุมได้ถึงเก้าส่วน พวกเขาก็อดเป็นกังวลมิได้

“ดูจากสีหน้าท่านแม่ทัพแล้ว จะต้องเป็นชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่แน่!” จางอี๋ยิ้มพร้อมลุกขึ้นต้อนรับพร้อมกับซ่งชูอี

“ชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่!” ซือหม่าชั่วอาวุโสกว่าพวกเขาทั้งสอง แม้ว่าเขาจะเป็นท่านแม่ทัพ ทว่าเขาเคารพคนที่มีความรู้และมีความสามารถเสมอมา ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีทัศนคติดูหมิ่นเนื่องจากอายุที่ยังน้อยของพวกเขา “แผนการท่านหวยจินล้ำเลิศ กองทัพของข้าสกัดกั้นของกำนัลเหล่านั้นได้สำเร็จ สนามรบก็ยังได้รับการจัดการอย่างเหมาะสม”

“ท่านแม่ทัพซือหม่าถ่อมตัวเกินไปแล้ว ชนะหรือไม่นั้นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับข้าเลย” แน่นอนว่าซ่งชูอีเป็นเจ้าแผนการทั้งหมด แต่การต่อสู้ครั้งนี้เป็นเพียงคำแนะนำคร่าวๆ เท่านั้น การตัดสินใจในขั้นตอนสุดท้ายยังคงเป็นของซือหม่าชั่ว

ซ่งชูอีถามต่อ “ชูหลี่จี๋กลับรัฐฉินอย่างปลอดภัยหรือไม่?”

“ใต้เท้าได้รับราชโองการแล้ว จะรีบกลับเสียนหยางในชั่วข้ามคืน” ซือหม่าชั่วเห็นว่าทั้งสองแสดงความสงสัยก็มิได้ปิดบัง “ต้าเหลียงเจ้านำทัพปะทะเว่ยและได้ชัยชนะซ้ำๆ รัฐเว่ยจึงได้ยุติการต่อสู้เพื่อสันติภาพแล้ว ทันทีที่สงครามต่างแดนสิ้นสุดลงก็มีคนรายงานว่าไต้ซือกานหลงเป็นแกนนำตระกูลเก่าแก่กว่าสิบตระกูลร่วมกับอวี้ฉวีเพื่อก่อบกฏต่อฉิน และยังสืบเจอว่าตอนนั้นบุคคลเหล่านี้ได้ช่วยเหลือกงจื่อเฉียนเพื่อกล่าวข้อหาเท็จต่อซางจวิน ทำให้ขุนนางผู้จงรักภักดีเช่นซางจวินต้องรับโทษประหารชีวิต จึงได้กวาดล้างตระกูลเก่าทั้งสิบกว่าตระกูลนั้น มีผู้เสียชีวิตมากกว่าหนึ่งพันคนในลานประหารเว่ยสุ่ย บัดนี้ราชสำนักโล่งไปครึ่งหนึ่ง ฝ่าบาทกำลังต้องการขุนนางเพิ่มเติมในขณะนี้”

จำนวนคนมากมายเพียงนี้หนักหนายิ่งกว่าสมัยของซางยางเสียอีก อาจจะถูกผู้คนใต้หล้าชี้หน้าว่าเป็นทรราชได้ง่ายดายมาก ในความเป็นจริงแล้วการเคลื่อนไหวนี้ทำให้เกิดความปั่นป่วนในหมู่รัฐต่างๆ ไม่น้อย แม้แต่โจวเทียนจื่อที่ไม่ใคร่สนใจเรื่องใดนักก็ยังส่งราชทูตมาสอบถามสาเหตุ

ครั้นเผชิญกับคำถามจากสำนักในรัฐต่างๆ อิ๋งซื่อยังคงยึดมั่นในรูปแบบพูดน้อยต่อยหนักของเขา เพียงอ้างถึงประโยคหนึ่งของเมิ่งจื่อ ‘ราษฎรในรัฐกล่าวว่าสมควรฆ่า!’

หนึ่งประโยคตรงประเด็น! คนเหล่านั้นเอาแต่ตำหนิอิ๋งซื่อว่าไม่หวงแหนชีวิตคน ใช้ความรุนแรง ไร้คุณธรรมและไร้ความเมตตา แต่คำพูดของเมิ่งจื่อนี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่ง “ความเมตตากรุณา” อิ๋งซื่อกำลังบอกผู้คนใต้หล้าว่าเขามิได้ทำเช่นนี้เพื่อประโยชน์ส่วนตัวแต่เพื่อทำตามความคิดเห็นของสาธารณชน

ละทิ้งบ้านเมือง คิดก่อการกบฏ หลักฐานชัดเจน ไม่ว่าใครก็อาจถูกลงโทษประหารชีวิต ยิ่งไปกว่านั้นคนเหล่านี้สมคบกันเพื่อกล่าวหาซางหยางอย่างผิดๆ ใช้ความเกลียดชังส่วนตัวตัดสินประหารชีวิตเขาด้วยวิธีห้ารถม้าแยกร่าง เป็นที่เกลียดชังของทั้งมนุษย์และเทพเจ้า

ร่างกายเส้นผมและผิวหนังล้วนมาจากบุพการี โดยทั่วไปการลงโทษที่รุนแรงที่สุดคือการหั่นร่างกายครึ่งหนึ่งหรือตัดศีรษะ ตำนานเล่าว่าการใช้ห้ารถม้าแยกร่างเป็นการลงโทษในสมัยโบราณ หากมิได้ก่ออาชญากรรมร้ายแรงที่ไม่น่าให้อภัยก็ไม่ควรใช้วิธีลงโทษนี้ ตั้งแต่ยุคชุนชิวจนถึงปัจจุบัน ซางจวินเป็นผู้เดียวที่ได้รับการประหารชีวิตเช่นนี้

หลังการรื้อคดีของอิ๋งซื่อคราวก่อนก็สามารถยืนยันได้ว่าซางจวินถูกใส่ร้าย คนที่ยืนกรานใช้วิธีนี้ลงโทษขุนนางผู้โดดเด่นในครั้งนั้นไม่สมควรได้รับโทษตายชดเชยความผิดหรอกหรือ?

ไม่ช้ารัฐฉินก็ประกาศรายชื่อและสถานะของผู้ถูกทรมาน ทั้งหมดล้วนเป็นผู้นำของแต่ละกลุ่มและผู้ที่เข้าร่วมในการก่อกบฏ ไล่เรียงความผิดออกมาทีละรายการ เมื่อทำการสำรวจแล้วเกรงว่าคนที่กล้าเถียงว่าพวกเขาไม่สมควรตายคงจะถูกก่นด่าจนจมน้ำลายตายทันที

ในที่สุด โจวเทียนจื่อก็ส่งราชทูตมาปลอบขวัญอิ๋งซื่อสองสามคำ คลื่นลูกใหญ่อันน่าตกใจที่เพิ่งเริ่มต้นขึ้นก็ค่อยๆ สงบลงอีกครั้ง

ซ่งชูอีกับจางอี๋ฟังจบแล้ว ก็อดที่จะจำนนต่ออิ๋งซื่อมิได้ เรื่องนี้มีความเกี่ยวโยงซับซ้อนยิ่ง แม้การถอนรากถอนโคนดูเหมือนง่าย แต่หากทำขึ้นมาจริงๆ ก็ไม่ง่ายเลย? เขาต้องพยายามทำเรื่องมากมายที่ผู้คนไม่รู้อยู่เบื้องหลัง มิฉะนั้นจะเป็นเพียงสถานการณ์การขาดแคลนคนในราชสำนักได้เยี่ยงไร? เรื่องนี้ได้รับการจัดการอย่างไร้ที่ติ ตรึกตรองอย่างรอบคอบด้วยวิธีที่โหดเหี้ยมและมีความกล้าหาญที่จะลงมือทำ อีกทั้งความใจเย็นและสติปัญญาของเขาในการรับมือกับการประณามของผู้คนใต้หล้าล้วนเป็นสิ่งที่น่าชื่นชม

“รัฐฉินมีองค์จวินเยี่ยงนี้ นับเป็นวาสนาของมันแล้ว! จางอี๋ได้พบกับฉินกงก็เป็นวาสนาของเขาแล้ว!” จางอี๋อุทานออกมาจากใจ

บนใบหน้าของซ่งชูอีก็มีรอยยิ้มแห่งความสุขเช่นกัน การอุทานของจางจี๋ก็คือสิ่งที่นางรู้สึก กุนซือกับบัณฑิตธรรมดานั้นต่างกัน โดยทั่วไปแล้วพวกเขาไม่ได้ภักดีกับรัฐใดๆ ทว่าหากได้พบกับองค์จักรพรรดิ เมื่อจวินและขุนนางร่วมมือกันก็จะสำเร็จขึ้นเป็นสองเท่าอย่างไม่ต้องสงสัย นี่คือสิ่งที่กุนซือทุกคนใฝ่ฝัน

หนึ่งจักพรรดิ หนึ่งข้าราชบริพาร การที่เรื่องนี้ทำให้ราชสำนักว่างเปล่านั้น ในใจส่วนลึกของซ่งชูอี จางอี๋ และซือหม่าชั่วสามคนมีความสุขเป็นอย่างยิ่ง นั่นหมายความว่าตราบใดที่พวกเขามีส่วนร่วมในความสำเร็จของปาสู่ครั้งนี้ กลับไปก็จะมีตำแหน่งขุนนางระดับสูงรออยู่

ในเวลานี้ทั้งสามคนเปี่ยมไปด้วยพลังงาน  ซือหม่าชั่วยังไม่ทันถอดชุดเกราะก็หารือกับจางอี๋และซ่งชูอีถึงแผนการขั้นต่อไปแล้ว

“ท่านแม่ทัพ ท่านทั้งสอง มีราชโองการขอรับ!” มีรายงานดังมาจากนอกกระโจม

ทั้งสามคนมองหน้ากัน รีบลุกขึ้นจัดกระชับเสื้อผ้าและเครื่องกวน ซือหม่าชั่วกล่าว “โปรดพาผู้นำราชโองการเข้ามา”

ไม่นาน ผู้ส่งสารในชุดเกราะสีดำคนหนึ่งถือสมุดไผ่เดินเข้ามา ทั้งสามคนประสานมือคำนับ

ด้วยสถานะของผู้ส่งสารเองไม่บังอาจรับการคำนับจากพวกเขา เมื่อเห็นดังนี้ก็คลี่สมุดไผ่ออกทันที “ฝ่าบาทมีราชโองการให้ท่านแม่ทัพซือหม่าชั่วและเค่อชิงจางอี๋กลับเสียนหยางทันที อย่าได้ล่าช้า ซ่งหวยจินควบคุมให้สถานการณ์ในปาสู่มีเสถียรภาพในฐานะที่ปรึกษาทางทหาร รอรับราชโองการอยู่ที่นี่”

“น้อมรับราชโองการ” ทั้งสามคนค้อมคำนับ

“ท่านแม่ทัพซือหม่า จางจื่อ ได้โปรดกลับเสียนหยางโดยเร็วที่สุด ข้าน้อยจะล่วงหน้าไปก่อน” ผู้ส่งสารประสานมือเอ่ย

“ช้าก่อน” ซือหม่าชั่วรั้งผู้ส่งสารไว้ เอ่ยถาม “ฝ่าบาทได้ส่งคนมาที่นี่เพื่อช่วยเหลือท่านซ่งหรือไม่?”

“เรียนท่านแม่ทัพ เป็นท่านแม่ทัพซย่าเฉวียนและตูเว่ยม่อขอรับ”

ซือหม่าชั่วพยักหน้า

หลังจากส่งผู้ส่งสารกลับไปแล้ว จางอี๋ก็เอ่ยขึ้น “ไม่รู้ว่าฝ่าบาทวางแผนจะโจมตีสู่เมื่อใด หวยจินจะสามารถจัดการกับเวลาได้หรือ?”

ซ่งชูอีหัวเราะขมขื่น “พี่ชายคิดว่าหวยจินสามารถกำใต้หล้าอยู่ในฝ่ามือได้จริงหรือ? ตั้งแต่ที่ของกำนัลถูกส่งออกจากเสียนหยาง ก็ทำได้เพียงชี้ทิศทางของแผนการเท่านั้น ไม่สามารถกำหนดและควบคุมได้ แต่คิดว่ายังมีเวลาเตรียมตัวอีกสามถึงสี่เดือน หากพลาดโอกาสครั้งนี้ไปก็หมดหวังที่จะโค่นรัฐสู่แล้ว” นางประสานมือเอ่ยกับจางอี๋และซือหม่าชั่ว “หวังว่าทั้งสองท่านจะนำเรื่องนี้ไปกราบทูลฝ่าบาท”

เรื่องบางเรื่องมีโอกาสเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ปา สู่ จูสามรัฐนั้นใช่ว่าใครคิดจะครอบครองก็สามารถครอบครองได้!

“หวยจินวางใจเถิด ฝ่าบาทจะต้องมีการตัดสินที่ชัดเจนแน่นอน” จางอี๋มั่นใจในตัวอิ๋งซื่อเป็นอย่างยิ่ง

จางอี๋เป็นกุนซือทว่าก็มีความรู้ทางทหารอยู่บ้าง แน่นอนเขาเข้าใจเหตุผลง่ายๆ ที่ว่าความรวดเร็วเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการทำสงคราม แม้ว่าปากเหมือนจะพูดตามอำเภอใจ ที่จริงแล้วในใจก็เห็นด้วยกับความสำคัญของซ่งชูอี

ซ่งชูอียกเสื้อคลุมขึ้น หยิบม้วนหนังแกะที่ไม่รู้ว่ามาจากเสื้อตัวกลางหรือใต้กระโปรงออกมาม้วนหนึ่ง “นี่คือ ‘ทิวทัศน์รัฐสู่’ ที่ข้าบันทึกไว้หลายเดือนมานี้ มีสองพันคำ ช่วยให้เหล่าขุนนางและทหารเข้าใจสถานการณ์ทางภูมิศาสตร์ของรัฐสู่ได้ดียิ่งขึ้น เพื่อที่จะรับมือได้แต่เนิ่นๆ”

ซือหม่าชั่วรับ ‘ทิวทัศน์รัฐสู่’ มาอย่างเคร่งขรึม “ลำบากท่านแล้ว”

จางอี๋ยิ้มเอ่ย “หวยจินซ่อนไว้มิดชิดเสียจริง!”

“ชมเกินไปแล้ว ชมเกินไปแล้ว” ซ่งชูอีหัวเราะเสียงดัง

บัดนี้ท้องฟ้าด้านนอกสว่างขึ้นโดยไม่รู้ตัว ซ่งชูอียกแผนที่รัฐสู่ให้กับซือหม่าชั่วซึ่งบัดนี้เสียนหยางนำไปปรับใช้อย่างละเอียด

ซ่งชูอียืนมองพวกเขาจากไปภายใต้แสงอาทิตย์ยามเช้า

นางมองดูแผ่นหลังของจางอี๋ที่พาจินเกอไปด้วยจู่ๆ ก็ยิ้ม เพราะนางรู้สึกว่าหมาป่าจินเกอตัวนี้ดูสุภาพอ่อนโยนในที่สาธารณะแต่กลับเป็นทรราชในบ้าน ดูภายนอกเหมือนโง่เขลาทว่าเพียงพริบตาเดียวก็สามารถทำจางอี๋ถึงตายได้ ครั้งนี้จินเกอถูกไป๋เริ่นรังแกไม่สิ้นสุดก็ต้องระบายหน่อยประไร?

ขณะที่ซ่งชูอีกำลังครุ่นคิดอยู่นั้นก็มีเงาสีขาววิ่งผ่านข้างกายไปฉับพลันราวกับสายฟ้าและทำให้ฝุ่นบนพื้นฟุ้งกระจายจางๆ มันพุ่งตรงไปหาจินเกอ

ทุกคนก็ต่างเห็นมันจึงทยอยกันหยุดเดินเพื่อชื่นชมฉากอันน่าประทับใจนี้ ในใจพลันคิดว่าเจ้าหมาป่าสองตัวนี้เมื่อวานยังทำร้ายกันปางตายอยู่เลย วันนี้กลับอาลัยอาวรณ์ที่จะจากกัน อารมณ์จริงใจเช่นนี้ราวกับมนุษย์อย่างไรอย่างนั้น!

ในขณะที่ทุกคนกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ก็เห็นไป๋เริ่นพุ่งเข้าไปตรงหน้าจินเกอ ยกกรงเล็บขึ้นมาตะปบหัวของมันอย่างรุนแรงและรวดเร็วปานสายฟ้า จากนั้นหันหัววิ่งจากไป

‘แม่งช่างน่าขายหน้าจริงๆ!’ ซ่งชูอียกแขนเสื้อขึ้นมาปิดหน้า หมุนตัวเดินกลับไปอย่างเด็ดขาด

ไป๋เริ่นเดินตามอยู่ข้างหลัง หมุนไปรอบๆ ซ่งชูอีราวกับอารมณ์ดีมาก

ข้างนอกเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงระเบิดหัวเราะ

ซ่งชูอีตำหนิมันเสียงเบา “ยังจะร่าเริงอีก! ดูสิว่าเจ้าทำอะไรลงไป! ท่ามกลางสายตาของทุกคน เจ้าทำตัวใจแคบเกินไปแล้ว!”

หมาป่าน่าเกรงขามที่ตัวเองเลี้ยงไว้เหยียดกรงเล็บข่วนหมาป่าตัวอื่นเหมือนกับแมวตัวหนึ่ง แม้ว่าการข่วนนั้นรุนแรงทว่าก็เปลี่ยนความจริงของการข่วนมิได้ ซ่งชูอียิ่งคิดก็ยิ่งขายหน้า อดที่จะพูดอย่างโมโหไม่ได้ “อย่างน้อยเจ้าก็ควรจะชนจินเกอให้ตัวลอยเลยนี่นา! ข้าจะลงโทษเจ้าไม่ให้กินเนื้อห้าวัน!”

ไป๋เริ่นไม่เข้าใจ ยังคงทำตัวร่าเริงเหมือนเก่า จนกระทั่งถึงเวลาอาหารกลางวันที่คาดหวังไว้มากที่สุดและชามที่วางอยู่ด้านหน้ามีเพียงผัก มันจึงตระหนักถึงความร้ายแรงของเหตุการณ์นี้

ที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นก็คือ หลังจากนั้นก็มีเพียงผักเป็นเวลาสี่วันติดต่อกันจริงๆ!

ไป๋เริ่นนอนอยู่บนตั่งด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจพร้อมกับมองดูซ่งชูอีที่กำลังกินอย่างอิ่มหนำสำราญ หัวใจของหมาป่าที่แตกสลายคิดถึงเจ้าอี่โหลวขึ้นมาอย่างสุดหัวใจ

“ท่านขอรับ ท่านตูเว่ยขอพบ” มีคนรายงานอยู่หน้ากระโจม

“เชิญเขาเข้ามา” ซ่งชูอีวางสมุดไผ่ลง ลุกขึ้นต้อนรับ

ตำแหน่งอย่างเป็นทางการของตูเว่ยนั้นเป็นรองจากท่านแม่ทัพ ซย่าเฉวียนเป็นนาย ตูเว่ยเป็นรอง แม้ว่าราชโองการของอิ๋งซื่อจะมีนางเป็นผู้บังคับบัญชากองทัพ ทว่าซ่งชูอีก็ไม่สามารถแสดงออกมาได้

ม่านในกระโจมถูกเลิกขึ้น ซ่งชูอีหรี่ตามองก็เห็นผู้ชายในชุดเกราะสีดำคนหนึ่งเดินเข้ามาท่ามกลางแสงไฟเจิดจ้า ชุดเกราะหนักอึ้งไม่เป็นภาระบนร่างกายเขาเลยสักนิด ในทางตรงกันข้ามมันเผยโครงเส้นของไหล่กว้างและเอวคอดได้อย่างชัดเจน บนเอวมีดาบขนาดมหึมาเล่มหนึ่ง ดูผ่าเผยเป็นอย่างยิ่ง

คนนั้นยังไม่ทันจะยืนอย่างมั่นคง ไป๋เริ่นก็พุ่งลงมาจากบนตั่ง ทิ้งตัวลงบนขาของชายคนนั้นราวกับเห็นพ่อบังเกิดเกล้า ส่งเสียงร้องอิ๋งอิ๋งเบาๆ

ชายผู้นั้นยกมือขึ้นลูบหัวของไป๋เริ่น มันกระดิกหางอย่างประจบประแจงทันที หมาป่าผู้น่าเกรงขามได้กลายเป็นสุนัขไปแล้ว

ซ่งชูอีไม่มีความสนใจที่จะตำหนิมันในเวลานี้ ได้แต่พินิจพิเคราะห์ชายหนุ่มผู้องอาจผึ่งผายตรงหน้า ดวงหน้าที่หล่อเหลาจนทำให้บ้านเมืองระส่ำระส่ายมีเหลี่ยมมุมที่เห็นได้อย่างชัดเจนแล้ว คิ้วแหลมทั้งคู่ชี้เข้าไปในขมับ ดวงตาที่ลึกล้ำคู่นั้นเปล่งประกายมากกว่าเดิม

“ตูเว่ยม่อคารวะท่านซ่ง!” ชายผู้นั้นกำหมัด เสียงที่ไพเราะกลมกล่อมดูเหมือนจะสามารถกระตุ้นหัวใจของผู้คนได้อย่างง่ายดาย

“เจ้าเสี่ยวฉงกลายเป็นตูเว่ยแห่งรัฐฉินตั้งแต่เมื่อใดกัน?” ซ่งชูอียิ้มทันใด

รอยยิ้มก็ผุดขึ้นบนใบหน้าที่เคร่งขรึมของเจ้าอี่โหลวเช่นกัน “หวยจิน”

“ฝ่าบาทช่างกล้าใช้คนจริงๆ” ซ่งชูอียิ้มกว้าง สำรวจเจ้าอี่โหลวอย่างละเอียดทั้งด้านหน้าและด้านหลัง “ผ่าเผย!”

เจ้าอี่โหลวเป็นองค์ชายแห่งรัฐเจ้าย่อมไม่มีอุปสรรคอะไรในจุดนี้ ทว่าตอนนั้นเขาก็เกือบจะได้เป็นองค์จวินแห่งรัฐเจ้าแล้ว จึงต้องเปลี่ยนชื่อเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่ไม่จำเป็น และเนื่องจากอาจารย์ของเขามาจากสำนักม่อ ดังนั้นจึงเปลี่ยนชื่อเป็นม่อพยางค์เดียว ซ่งชูอีคิดเพียงแวบเดียวก็เข้าใจแล้ว

นางมองเจ้าอี่โหลว อดคิดในใจไม่ได้ว่าเวลาช่างผ่านไปเร็วจริงๆ! ไม่ทันรู้ตัวก็ผ่านไปเกือบสองปีแล้ว เมื่อก่อนเจ้าอี่โหลวยังคงร่อนเร่พเนจรอยู่ในหุบเขาและแย่งอาหารจากสัตว์ป่า ร่างกายผอมบางอ่อนแอ ห่างกันเพียงสองปี แต่กลับดูเหมือนว่าจะเติบโตเป็นชายหนุ่มที่สูงและหล่อเหลา

“เจ้าฝึกวิชาดาบที่สำนักม่อมิใช่หรือ? เหตุใดจึงมารับใช้รัฐฉินรวดเร็วเพียงนี้?” ซ่งชูอีกล่าวด้วยความสงสัย

“อาจารย์กล่าวว่าวิชาดาบของข้าคืบหน้าเพียงน้อยนิด ออกมาหาประสบการณ์ก็เป็นการดี” เจ้าอี่โหลวกล่าวอ้อมๆ

จริงอยู่ที่อาจารย์ของเขากล่าวเช่นนี้ ทว่าเขากล่าวเช่นนี้ภายใต้ความจำใจ