เล่ม 1 ตอนที่ 203 ทำลายล้างกลุ่มทหารรับจ้างโอหัง (1)

สลับชะตา ชายามือสังหาร

ซุนหรานหร่านเล่าสถานการณ์ปัจจุบันให้เขาฟัง ถ้าหากมิใช่เพราะนางจัดการได้ดี ต้านทานการโจมตีของกลุ่มโอหังอย่างสุดกำลังตลอดหลายวันนี้ เกรงว่าตอนนี้พวกเขาคงจะตายไปกันหมดแล้ว

“พี่ฉุน ข้ารู้สึกว่ามีหนอนบ่อนไส้ของกลุ่มโอหังอยู่กับเราที่นี่ นอกจากนี้ยังมีระดับขั้นไม่น้อยอีกด้วย” ซุนหรานหร่านพูดออกมาในที่สุด

“หนอนบ่อนไส้หรือ!”

ซุนหรานหร่านพยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “มีคนรู้เรื่องที่พวกเจ้าสังหารฉินอู่ไม่มากนัก และผู้ที่รู้ว่าท่านพ่อของเจ้าจะไปปฏิบัติภารกิจด้วยตัวเอง และจะไปปฏิบัติภารกิจที่ไหนนั้นยิ่งมีน้อยเข้าไปใหญ่ แต่คนของกลุ่มโอหังกลับล่วงรู้เรื่องเหล่านี้ทั้งหมด”

ไป๋หยวนฉุนพูดอย่างเห็นด้วย “คราวก่อนที่ข้าเห็นฉินหมิงมาถามหาตัวคนก็คาดเดาเช่นนี้เอาไว้แล้วเหมือนกัน แต่เพราะเวลากระชั้นชิด จึงยังมิทันได้หาตัวหนอนบ่อนไส้ออกมา”

“เช่นนั้นโยวเย่ว์ก็น่าจะเดาได้แล้วเช่นกัน มิน่าเล่า นางจึงอยากปิดข่าวที่รักษาอาการบาดเจ็บของท่านพ่อหายแล้วเอาไว้” ไป๋อวิ๋นฉีพูดอย่างเข้าใจ

“เด็กคนนั้นช่างเป็นเด็กฉลาดนัก แค่ฟังผู้อื่นพูดเพียงไม่กี่ประโยคก็คาดการณ์ได้ถึงขนาดนี้แล้ว” ซุนหรานหร่านพูด

“ท่านพ่อ ท่านแม่ ต่อจากนี้พวกเราจะทำเช่นไรกันดีเล่า” ไป๋อวิ๋นฉีถาม

“ตอนนี้สมาชิกกลุ่มที่ออกไปปฏิบัติภารกิจได้ถูกคนของกลุ่มโอหังสังหารไปเป็นจำนวนมากแล้ว ยามนี้ยังมิได้ลงมือกับพวกเราก็จริง แต่คาดว่าคงกำลังคิดจะตัดกิ่งก้านของพวกเราอย่างช้าๆ อยู่นั่นแหละ” ซุนหรานหร่านพูด “พี่ฉุน จ้าววิญญาณสองคนนั้นมีพลังยุทธ์เป็นเช่นไรบ้างหรือ”

“คนหนึ่งเป็นขั้นสอง อีกคนเป็นขั้นสาม” ไป๋หยวนฉุนพูด “ตอนนี้ข้าเลื่อนระดับไปถึงขั้นสามแล้ว เมื่อเทียบกับพวกเขาก็ยังด้อยกว่าอยู่เล็กน้อย คนระดับจ้าววิญญาณขั้นสามผู้นั้นดูไม่เหมือนผู้ที่เพิ่งจะเลื่อนระดับเร็วๆ นี้เลย”

“กลัวอะไรกันเล่า!” ไป๋อวิ๋นฉีพูด “ในเมื่ออีกฝ่ายมีจ้าววิญญาณสองคน พวกเรากำจัดทิ้งไปคนหนึ่งก็ใช้ได้แล้วนี่ เรื่องที่ท่านพ่อเกือบถูกฆ่าตาย จะปล่อยไปเช่นนี้มิได้เป็นอันขาด!”

“อยากจะฆ่าสักคนหนึ่ง ทำไม่ได้ง่ายเหมือนพูดหรอก!” ซุนหรานหร่านขมวดคิ้ว

“ท่านแม่ ท่านลืมไปแล้วหรือว่าเรามีผู้ที่ร้ายกาจกว่าอยู่” ไป๋อวิ๋นฉีพูด

“ผู้ที่ร้ายกาจกว่าอย่างนั้นหรือ” ซุนหรานหร่านชะงักไปครู่หนึ่งก่อน จากนั้นจึงพูดอย่างนึกออกว่า “เจ้าหมายถึงเจ้าไก่ฟ้าอย่างนั้นสินะ”

“ถูกต้องแล้ว เขานั่นแหละ” ไป๋อวิ๋นฉีพูด “เขาเป็นถึงสัตว์อสูรเหนือเทพ แม้ต้องสู้กับจ้าววิญญาณก็ไม่หวั่น! กลัวแต่ว่าเขาจะไม่ยอมลงมือเท่านั้น ถึงอย่างไรเขาก็รับปากเพียงแค่ว่าจะอารักขาโยวเย่ว์เท่านั้น”

“ถ้าหากเป็นไปได้ พวกเราบอกให้โยวเย่ว์ช่วยก็ได้นี่” ซุนหรานหร่านไตร่ตรองอยู่ชั่วครู่แล้วพูดว่า “ข้าก็ไม่เห็นว่าเด็กผู้นั้นจะเป็นคนพูดด้วยยากแต่อย่างใดเลย”

“ยิ่งกว่าพูดยากเสียอีก ท่านไม่เห็นสีหน้าของพวกจือฉีเมื่อครู่หรือ ข้าว่าตอนนี้พวกเขาคงแค้นฝังใจกับคนของกลุ่มโอหังไปเรียบร้อยแล้วล่ะ”

ไป๋อวิ๋นฉีอิจฉาริษยาความรู้สึกเช่นนี้ระหว่างพวกเขายิ่งนัก บนโลกใบนี้ ผู้ที่มิได้มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกันเลย แต่กลับใส่ใจดูแลกันเช่นนี้ มีน้อยยิ่งกว่าน้อยอย่างแท้จริง

ใช้คำพูดที่เจ้าอ้วนชวีเคยบอกเขามาบรรยาย พวกเขามิใช่ญาติสนิท แต่ยิ่งกว่าญาติสนิทเสียอีก ญาติสนิทมากมายยังมิอาจทำได้มากมายขนาดพวกเขาเลย!

พวกเขาหารือกันอยู่นานแล้วตัดสินใจว่าจะยังไม่บอกเรื่องที่รักษาอาการบาดเจ็บของไป๋หยวนฉุนหายแล้วออกไปในขณะนี้ จะบอกไปเพียงแค่ว่าเขามิได้มีอันตรายถึงชีวิต ต่อจากนี้ต้องใช้ชีวิตที่เหลืออยู่บนเตียง

ทางนี้เพิ่งจะแจ้ง “ข่าวร้าย” ให้กับคนระดับอาวุโสไม่กี่คนทราบเท่านั้น ทางด้านกลุ่มโอหังก็ได้ทราบข่าวอย่างรวดเร็ว

ฉินหมิง ฉินหว่าน และซีเย่ว์ซี รวมทั้งคนอื่นๆ อีกจำนวนหนึ่งกำลังหารือกันเรื่องการกวาดล้างกลุ่มนกนางนวลอยู่ในโถงรับแขกพอดี เมื่อได้ยินว่าไป๋หยวนฉุนฟื้นขึ้นมาแล้ว ทั้งยังกลายเป็นคนพิการ ฉินหมิงก็หัวเราะเสียงดังแล้วเอ่ยว่าได้เวลาลงมือแล้ว

“ท่านพ่อ เหตุใดพวกเราจึงไม่อาศัยโอกาสนี้คว้าชัยไปเลย แต่ต้องรออีกหลายวันถึงเพียงนี้เล่า” ฉินหว่านไม่เข้าใจ

“ระยะนี้พวกเราก็เก็บคนระดับล่างของกลุ่มนกนางนวลได้มิใช่หรือ ข้าอยากลองดูก่อนว่าไป๋หยวนฉุนผู้นั้นจะยังหากำลังเสริมมาได้อีกหรือไม่ ถ้าหากถึงตอนนั้น จู่ๆ มีใครโผล่มายื่นมือเข้าช่วย ก็คงจะวุ่นวายเลยทีเดียว” ฉินหมิงพูด “แต่ถ้ารออีกสามวันแล้วยังไม่มีใครมา นั่นแสดงว่ากลุ่มนกนางนวลสิ้นฤทธิ์แล้วจริงๆ พวกเราก็ลงมือกันได้เลย”

“ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง เช่นนั้นพวกเราจะลงมือกันเมื่อใดหรือ ท่านพ่อ” ฉินหว่านถาม

ฉินหมิงไม่ตอบ หากแต่เบนสายตาไปทางซีเย่ว์ซีแล้วเอ่ยถามว่า “องค์หญิง ท่านว่าเป็นเมื่อไหร่ดีเล่า”

“รออีกสองวันแล้วกัน” ซีเย่ว์ซีพูด “ท่านอาจารย์หลิ่วมีธุระต้องกลับไปที่เมืองหลวงก่อน รอเขากลับมาแล้วค่อยลงมือ”

ท่านอาจารย์หลิ่วก็คือหนึ่งในจ้าววิญญาณสองคนนั้นนั่นเอง

“ได้ เช่นนั้นพวกเรารอกันอีกสองวันก็แล้วกัน” ฉินหมิงพูด “ให้คนของกลุ่มนกนางนวลมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกสองวัน นอกจากนี้พวกเรายังใช้ระยะเวลาสองวันนี้ในการรวบรวมคนที่เต็มใจมาสวามิภักดิ์ต่อพวกเราได้อีกด้วย”

ซีเย่ว์ซีลุกขึ้นแล้วพูดว่า “เช่นนี้พวกเราค่อยมาใหม่ในอีกสองวันให้หลัง อาจารย์หู พวกเรากลับกันดีกว่า”

พอพูดจบนางก็พาจ้าววิญญาณอีกคนหนึ่งไปจากกลุ่มโอหัง

ซือหม่าโยวเย่ว์ฟื้นขึ้นมาในตอนเที่ยงของวันรุ่งขึ้น ระหว่างที่ไป๋อวิ๋นฉีและซุนหรานหร่านมาเยี่ยมเธอ เห็นว่าเธอยังคงหมดสติอยู่ ต่างก็กังวลใจไม่น้อย ยังดีที่พวกเป่ยกงถังฟื้นตัวขึ้นมาแล้ว และบอกว่าซือหม่าโยวเย่ว์ไม่เป็นไร ทั้งสองจึงค่อยสบายใจขึ้นมาบ้าง

ตอนที่ซือหม่าโยวเย่ว์ฟื้นขึ้นมานั้นก็รู้สึกว่ามีดวงตาคู่หนึ่งกำลังจ้องมองตนอยู่ เมื่อลืมตาขึ้นก็เห็นเจ้าไก่ฟ้านั่งอยู่ข้างเตียงของเธอพร้อมกับจ้องเธอเขม็ง

“เจ้าไก่ฟ้าหรือ” เสียงของซือหม่าโยวเย่ว์แหบพร่าอยู่บ้าง

“เพราะเหตุใดกัน” เจ้าไก่ฟ้าถาม

“เพราะเหตุใดอะไรกันเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์รู้สึกปวดหัวอยู่บ้างจึงยื่นมือไปประคองศีรษะ ไม่รู้ว่าเจ้าไก่ฟ้ากำลังถามอะไรอยู่

เจ้าไก่ฟ้ามิได้เอ่ยวาจาใดอีก หากแต่ลุกขึ้นเดินออกไป

ซือหม่าโยวเย่ว์กะพริบตาปริบๆ แล้วพูดกับตัวเองว่า “เจ้านี่เป็นอะไรไปน่ะ”

พอเจ้าไก่ฟ้าออกไป ไม่นานก็มีคนผลักประตูเข้ามา

“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” เป่ยกงถังเข้ามาที่ข้างเตียงแล้วนั่งลงแล้วเอ่ยถาม สีหน้าที่มองซือหม่าโยวเย่ว์นั้นมิสู้ดีนัก

“ไม่มีปัญหาอะไรใหญ่โตหรอกน่า” ซือหม่าโยวเย่ว์ลุกขึ้นนั่งแล้วถามว่า “แล้วเจ้ากับโอวหยางเล่า เป็นเช่นไรกันบ้าง”

“โชคดีที่มีน้ำทิพย์วิญญาณที่เจ้าให้พวกเราไว้ก่อนหน้านี้” เป่ยกงถังพูด “พวกเราดื่มกันไปคนละหยด เลยฟื้นตัวกันอย่างสมบูรณ์แล้วล่ะ”

“เช่นนั้นก็ดี คราวนี้ขอบใจพวกเจ้ามากเลยนะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

ถ้าหากมิใช่เพราะทั้งสองให้ความร่วมมือ เธอก็ไม่มีทางรักษาไป๋หยวนฉุนให้หายดีได้

“ขอบใจอะไรกันเล่า ธุระของเจ้าก็คือธุระของพวกเราด้วย นอกจากนี้พวกเราก็ยังมีส่วนในเรื่องการสังหารฉินอู่ด้วยเหมือนกัน” เป่ยกงถังถลึงตาใส่ซือหม่าโยวเย่ว์ “แต่ว่า… เจ้าคิดจะทำเช่นไรกับเรื่องที่เกิดขึ้นหรือ”

“กลุ่มโอหังน่ะหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม

เป่ยกงถังพยักหน้า

ซือหม่าโยวเย่ว์หัวเราะเยียบเย็น “คนอื่นไม่รังแกข้า ข้าก็ไม่รังแกใคร เช่นนั้นก็จะไม่เกรงใจแล้วล่ะ!”

“เช่นนั้นข้าไปเรียกพวกเขามาหารือพร้อมกันเลยดีกว่านะ”

เป่ยกงถังพูดจบก็เดินออกไป เพียงไม่นานอีกหลายคนก็เข้ามาด้วย

“โยวเย่ว์ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” เว่ยจือฉีถามอย่างเป็นห่วง

“ไม่เป็นไรหรอก” ซือหม่าโยวเย่ว์อมยิ้มตอบ

“กลุ่มโอหังนี่ทำเกินไปแล้ว ถึงกับใช้พวกเราเป็นข้ออ้าง!” เจ้าอ้วนชวีพูดอย่างชิงชัง “คราวนี้พวกเราจะต้องทำให้พวกเขานึกเสียใจแน่!”

“ใช่แล้ว พวกเขาคิดจะอาศัยโอกาสนี้กลืนกลุ่มนกนางนวลเสีย เช่นนั้นพวกเราต้องทำให้พวกเขาสำลักตายไปเลย!” นัยน์ตาของเว่ยจือฉีก็เผยแววโหดร้ายเช่นกัน แทนที่ความสุภาพอ่อนโยนดังเช่นที่เคยเป็นมา

“ดี เช่นนั้นตอนนี้พวกเรามาหารือกันเถิดว่าจะทำเช่นไรกันดี” ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้า

ครึ่งชั่วโมงต่อมา เมื่อซุนหรานหร่านและไป๋อวิ๋นฉีได้ยินลูกน้องรายงานว่าพวกซือหม่าโยวเย่ว์มากันแล้ว

“โยวเย่ว์ฟื้นแล้วอย่างนั้นหรือ ให้พวกเขาเข้ามาเร็วเข้า” ไป๋อวิ๋นฉีออกคำสั่ง

“ขอรับ”

พวกซือหม่าโยวเย่ว์เข้ามาก็เห็นซุนหรานหร่านกับไป๋อวิ๋นฉีรวมทั้งหลี่ขุย ก็ตกใจว่าช่างมีคนน้อยเหลือเกิน

ไป๋อวิ๋นฉีโฉบมาตรงหน้าซือหม่าโยวเย่ว์ก่อนจะคว้าไหล่เธอมาดูแล้วถามว่า “โยวเย่ว์ เจ้าฟื้นแล้วสินะ ร่างกายเป็นเช่นไรบ้าง”

……………………………………………