ท่านชายโจวหกเดินเข้ามายังห้องโถงอย่างเร่งรีบ
“ท่านแม่ ตกลงเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือขอรับ” เขาถาม
ฮูหยินโจวที่อยู่ภายในห้อง ประกบมือถูไปมาด้วยสีหน้าร้อนรน
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ใต้เท้าต่งก็ไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไรนัก รู้เพียงว่าเป็นการตัดสินของสำนักราชเลขา” นางเอ่ยพลางถามขึ้นต่อว่า “ท่านพ่อของเจ้าเดินทางถึงไหนแล้ว”
“ท่านพี่บอกว่าตอนนี้ผ่านอู่หยางมาแล้ว” ท่านชายโจวหกตอบพลางให้กำลังใจฮูหยินโจว “ท่านแม่ อย่าร้อนใจไปเลย ใต้เท้าอีกหลายท่านก็รีบช่วยกันอยู่ ยังมีหนทางแก้ไขได้”
ถึงแม้จะมีหนทางแก้ไข แต่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ก็รู้ได้อย่างไม่ต้องสงสัยเลยว่าในแวดวงขุนนางเกิดเรื่องขึ้นแล้ว
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่!” ฮูหยินโจวกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ “ราบรื่นมาโดยตลอดแท้ๆ ไม่ว่าจะปีใหม่หรือเทศกาลของกำนัลก็มิเคยขาด ไปมาสู่หากันอยู่เป็นนิตย์ ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี เหตุใดจู่ๆ ถึงเป็นเช่นนี้ไปได้”
ท่านชายโจวหกเลิกคิ้วอย่างสงสัย
จริงอย่างที่ว่า เรื่องนี้เกิดขึ้นอย่างทันกระทัน ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ก่อนหน้า
แน่นอนว่าไม่ใช่ความแค้นที่สะสมมานาน แต่ต้องเป็นเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นเป็นแน่
เรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นอย่างนั้นหรือ ไม่เห็นจะได้ยินข่าวคราวมีเรื่องอะไรเลย
“ช่วงนี้ท่านพ่อไปทำให้ใครไม่พอใจหรือไม่” ท่านชายโจวหกถาม
“จะเป็นไปได้อย่างไร ท่านพ่อของเจ้าไม่ใช่ขุนนางใหม่ที่หุนหันพลันแล่นสักหน่อย อยู่เมืองหลวงมานานหลายปี ความสัมพันธ์ต่างๆ ก็เป็นไปได้ด้วยดีมานมนาน พวกคนที่คิดร้ายต่อกันก็จัดการลงโทษไปจนหมดแล้ว ไม่เหลือแม้แต่โอกาสให้ตลบหลัง อีกอย่างช่วงนี้ท่านพ่อของเจ้ามัวแต่ยุ่งกับเรื่องของคนบ้านั่นที่เจียงโจว จะไปทำให้ใครไม่พอใจได้เล่า!” ฮูหยินโจวพูดจบก็ฉุนเฉียวขึ้นมาในทันใด
“ทั้งหมดเป็นเพราะคนบ้าจากเจียงโจวนางนั้น! ”
นางตะโกน
“เป็นกาลกิณีจริงๆ! อยู่ด้วยก็มีแต่เรื่อง! ไม่ควรรับนางเข้าบ้านมาตั้งแต่แรก! ”
“ท่านแม่ เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับนาง” ท่านชายโจวหกเลิกคิ้วถาม
“เกี่ยวกับนางแน่นอน!” ฮูหยินโจวตะโกน “ไล่นางออกไปจากเมืองหลวง ให้กลับไปอยู่บ้านของตระกูลเฉิงซะ!”
“ท่านแม่!” ท่านชายโจวหกตะโกนอย่างจนปัญญา “ปัญหาของท่านพ่อเร่งรีบกว่า ท่านอย่าเสียสติไปกับเรื่องอื่นเลย”
กว่าจะปลอบฮูหยินโจวที่กำลังร้อนใจให้สงบลงได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด ท่านชายโจวหกเดินออกจากเรือนไปด้วยสีหน้าเคร่งเครียดดังเดิม
ไม่ทันได้ตั้งตัวจริงๆ
“แต่ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่าล่วงเกินน้องสาวเจ้าไม่ได้จริงๆ ”
เสียงของท่านชายฉินดังเข้ามาในหู
ตรงหน้าของท่านชายโจวหกปรากฎท่าทางตามที่เขาเอ่ย
ท่านชายฉินยกนิ้วมือขึ้นมาสองนิ้ว
“อย่างน้อยสองชีวิต หากนับรวมกับเหล่าบรรดาสาวใช้และแม่นมซึ่งได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตของทั้งสองตระกูลที่ถูกขายด้วยแล้ว จำนวนก็มีมากกว่านั้นมาก”
สาวใช้เหล่านั้นเพียงแค่ล่วงเกินทางคำพูด ก็โดนนางหาโอกาสเล่นงานจนถึงฆาต…
แต่สำหรับตระกูลโจวที่ปฏิบัติต่อนางแล้ว มิใช่แค่ล่วงเกินทางคำพูดเท่านั้น
“แต่หญิงผู้นี้เจ้าคิดเจ้าแค้นและใจแคบนัก…”
หรือว่าจะเป็นเพราะนางจริงๆ
เป็นไปไม่ได้! เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน!
ท่านชายโจวหกโบกมือไปมา ท่านชายฉินที่อยู่ตรงหน้านั้นหมดคำจะพูด
ไม่ต้องคิดไปเอง เจ้าอยากพูดอะไร อยากถามอะไร ก็ให้ไปถามนางโดยตรงดีกว่า
ท่านชายโจวหกรีบไปหน้าประตูเรือน
“เตรียมม้า” เขาพูด
ท่านชายโจวหกมุ่งหน้าไปยังเรือนสะพานอวี้ไต้
จินเกอร์เองก็เคยชินเสียแล้ว ไม่เอะอะโวยวายเหมือนเมื่อก่อน แต่กลับยืนพิงประตูจ้องท่านโจวหกตาเขม็งด้วยความไม่พอใจ
“ท่านมาเองเลยหรือ”
เมื่อเห็นท่านชายโจวหกนั่งลง เฉิงเจียวเหนียงที่ทำสีหน้าเรียบเฉยเฉกเช่นทุกวันก็ถามขึ้น แล้วมองไปยังด้านหลังของเขา
“แล้วเจ้าเป๋ล่ะ” นางถาม
ท่านชายโจวหกที่กำลังนั่งลงบนเบาะเหยียดหลังตรงในทันใดราวกับถูกเข็มทิ่มแทง
“เฉิงเจียวเหนียง!” เขาจ้องเขม็งแล้วกัดฟันพูด “เหตุใดเจ้าต้องปากคอเราะร้ายเช่นนี้”
เฉิงเจียวเหนียงมองเขาด้วยสีหน้าสงบนิ่งดั่งเดิม
“พวกเจ้าทะเลาะกันจนแตกหักแล้วหรือ” นางถาม
ท่านชายโจวหกโกรธจนหน้าเขียว
“ขอโทษด้วยที่ไม่อาจทำให้เจ้าสมหวังได้” เขากัดฟันเอ่ย “พวกเรายังดีกันอยู่”
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า
“ไม่รีบ ค่อยเป็นค่อยไป” นางเอ่ย
ท่านชายโจวหกดวงตาเบิกกว้าง เขาพูดไม่ออก ทำได้เพียงหายใจเขาลึกๆ กดอารมณ์ไว้
“เฉิงเจียวเหนียง ข้าไม่ได้มาเพื่อต่อปากต่อคำกับเจ้า ข้ามีเรื่องจะถาม” เขาพูดก่อนจะนิ่งไปชั่วขณะ “เรื่องพ่อข้า เจ้าเป็นคนทำหรือไม่”
เฉิงเจียวเหนียงมองไปที่เขา จากท่านั่งผ่อนคลายก็เขยิบนั่งหลังตรง
“ท่านพ่อเจ้าเกิดเรื่องอะไรหรือ” นางถาม
ถึงแม้จะสีหน้าจะไร้อารมณ์ แต่ท่านชายโจวหกก็สังเกตเห็นความหนักแน่นในแววตาของนาง
นาง นางไม่รู้เรื่อง…
ไม่ใช่นาง ไม่ใช่นาง
ท่านชายโจวหกถอนหายใจ ไม่เอ่ยคำใดก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินออกไป
สาวใช้ข้างกายเฉิงเจียวเหนียงถอนหายใจออกมาในทันที
ถึงจะรู้ว่าคนมุทะลุเช่นเขาค่อนข้างจะประหลาด แต่ที่คอยตอแยเช่นนี้ทำให้คนรู้สึกอึดอัด
“บ้าไปแล้วหรืออย่างไร” สาวใช้เอ่ยอย่างโมโห “เอะอะก็มาเคาะประตูบ้าน ทำตามใจอำเภอใจ อะไรก็ไม่พูดสักคำ เป็นอะไรของเขานะ มาหาเรื่องสนุกทำหรือ”
ท่านชายโจวหกไม่สนใจ ก่อนจะหันหลังก้าวเดินออกไป
สาวใช้เดินตามออกไป
“โชคร้ายจริงๆ เหตุใดถึงมีญาติอย่างพวกท่าน! น่ารำคาญเสียจริง! ” นางตามออกไปตะโกน
ท่านชายโจวหกวางมาดเดินออกไป
สาวใช้ปิดประตูอย่างโมโห
“น่าโมโหเสียจริง” นางเอ่ยก่อนจะหันหลังกลับเดินเข้าไปในห้องโถง ก็เห็นว่าเฉิงเจียวเหนียงสีหน้านิ่งเรียบ ราวกับกำลังตื่นตกใจ
ในตอนนี้นางกลับคิดว่าเป็นเรื่องดีเสียอีกที่นางหญิงไม่เหมือนคนทั่วไป หากเป็นหญิงบ้านอื่น ป่านนี้คงร้องไห้ไปแล้ว
“นายหญิง พวกเราไปจ้างคนมาเฝ้าบ้านกันเถิด” นางนั่งคุกเข่าลงแล้วเอ่ย “อย่าให้คนคิดว่าเรือนของเราไม่มีคนอยู่เลย”
“เขาไม่ทำอะไรหรอก” เฉิงเจียวเหนียงส่ายศีรษะพลางจับโต๊ะไม้เตี้ย “ไม่ต้องไปสนใจ”
นายหญิงเป็นคนยอมรับในโชคชะตา ฟ้าประทานอะไรให้ นางก็รับสิ่งนั้นไว้ ไม่เคยกล่าวโทษอะไรเลย
สาวใช้ได้แต่ถอดใจอย่างเจ็บปวด
“เวลานี้ ความยุ่งยากที่แท้จริงกำลังจะมาถึงแล้ว” เฉิงเจียวเหนียงพูดต่อพลางใช้มือทุบไปที่โต๊ะเบาๆ
ความยุ่งยากที่แท้จริงหรือ
สาวใช้รู้สึกประหลาดใจพร้อมกับมองไปที่เฉิงเจียวเหนียง
หลายวันที่ผ่านมา ก็มิได้มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น เรื่องยุ่งยากอะไรกำลังจะมาหรือ
โดยเฉพาะเรื่องที่นายหญิงมองว่ายุ่งยาก แน่นอนว่าจะต้องไม่ใช่เรื่องธรรมดา
เหล้าในจอกถูกยกซดจนหมด โต้วชีวางจอกเหล้าลงบนโต๊ะอย่างมีความสุข
“ไอ้แก่ตระกูลโจวครั้งนี้คงจบเห่แล้ว” เขาเอ่ยอย่างลำพองใจ “ก็แค่ขุนนางฝ่ายบู๊ กล้าดีอย่างไรถึงได้บังอาจมาเป็นศัตรูกับขุนนางฝ่ายบุ๋น แถมยังเป็นขุนนางจากสำนักราชเลขาอีกต่างหาก กว่าเจ้าจะขึ้นตำแหน่งได้ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่จะหาความผิดเตะเจ้าลงจากตำแหน่งนั้นไม่ใช่เรื่องยาก ความจริงก็เห็นกันอยู่ชัดๆ ตรงหน้า ผู้ใดจะกล้าปฏิเสธ”
ผู้ดูแลร้านรินเหล้าให้กับเขาอีกครั้ง
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว” เขาเอ่ยอย่างดีใจ “ครั้งนี้ปู่บุญธรรมของท่านดูจะโกรธเข้าแล้วจริงๆ”
“ก็แค่เหาตัวหนึ่งที่ตะกายมาติดบนเสือ ก็คิดว่าตัวเองเป็นเสือแล้ว ซ้ำยังคิดจะดูดเลือดเสืออีก” โต้วชียิ้มอย่างเย็นชา “พวกกระจอกเช่นนั้น อีกไม่นานก็คงสำลักตาย”
พูดจบก็ยกเหล้าดื่มรวดเดียวจนหมด
ผู้ดูแลร้านรินเหล้าให้กับเขาอีกครั้ง
“สมกับที่ราชเลขาหลิวอยู่ในเมืองหลวงมานานหลายปี ทำการได้รวดเร็วนัก แต่นึกไม่ถึงเลยว่า ตระกูลเฉิงก็ดี ตระกูลต่งก็ดี ตระกูลอื่นที่เป็นมิตรหรือศัตรูก็ดี กลับไม่มีผู้ใดกล้าออกหน้าช่วยพูดเลย” เขาเอ่ย
พูดถึงเพียงเท่านั้นเขาก็นิ่งไป
“แปลกใช่หรือไม่” เขาถาม
ง่ายดายเช่นนี้เลยหรือ
โต้วชีหัวเราะชอบใจอีกครั้ง
“ที่จริงก็ง่ายดายเช่นนี้แหละ ปู่บุญธรรมสั่งสมชื่อเสียงมานานหลายสิบปี พัวพันกับผลประโยชน์ทับซ้อนมากมาย จะทนยอมให้หยามเกียรติได้อย่างไร” เขาเอ่ย “ตระกูลโจวคงสมองกลับ คิดน้อยเกินไป!”
ผู้ดูแลร้านละทิ้งความสงสัยก่อนจะพยักหน้าตาม
“ครั้งนี้ ตระกูลโจวคงต้องเสียน้ำตาเป็นแน่” เขาเอ่ย อดกลั้นความสะใจไว้ไม่อยู่ “หากครั้งนี้ไม่ได้นองเลือก ข้าจะไม่ถอดเด็ดขาด”
“สมน้ำหน้านัก!” โต้วชีตะโกน
“เมื่อถึงเวลานั้น เรือนไท่ผิงก็จะตกเป็นของคนแซ่โต้ว” ผู้ดูแลร้านพูดด้วยรอยยิ้ม
นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว คนอย่างราชเลขาหลิวจะทำเพียงเพื่อความสะใจหรือ สะใจแล้วก็ต้องได้กำไรด้วย นี่คือสิ่งที่คนฉลาดเขาทำกัน
“ยังมีอีกเรื่อง” โต้วชีเอ่ย ความชั่วร้ายแฝงอยู่ภายใต้ใบหน้าอันมึนเมา “ปู่บุญธรรมเข้าออกโรงเองแล้ว ข้าก็ควรระบายความโกรธ”
เขายื่นมือออกไปเคาะโต๊ะ เสียงที่เกิดขึ้นทำให้รู้สึกอึดอัด
“ไอ้คนไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีอย่างหลี่ต้าเสา ก็สมควรโดนสั่งสอน” เขายิ้มอย่างเย็นชา
ประตูเมืองปิดแล้ว ความมืดบนท้องฟ้าเข้าปกคลุมบนถนนหลวงที่แทบจะไม่มีผู้คนเดินผ่าน ตะเกียงไฟภายในเรือนไท่ผิงค่อยๆ ดับลง เสียงจอแจในร้านอาหารก็สงบลง พวกบ่าวทั้งหลายที่ยุ่งมาทั้งวันต่างพูดคุยยิ้มแย้มเตรียมอาหารกันอยู่
หลี่ต้าเสาเปลี่ยนชุดแล้วเดินออกมา
“ต้าเสา ดึกขนาดนี้อย่าเพิ่งไปเลย” ผู้ดูแลอู๋เอ่ย
“ไม่เป็นไร ไม่ได้กลับไปหลายวันแล้ว วันนี้ต้องกลับไปเสียหน่อย” หลี่ต้าเสายิ้มเอ่ย “ยามฤดูร้อนเช่นนี้ไม่นับว่าดึก ลมกำลังเย็นพอดี”
ผู้ดูแลอู๋พยักหน้า
“พอดีเลยเอาเนื้อสัตว์ ผัก ข้าวสาร และบะหมี่กลับไปด้วยสิ” เขาเอ่ย
“ไม่เป็นไร ที่บ้านยังกินกันไม่หมด” หลี่ต้าเสาพูด
บ่าวคนหนึ่งมีน้ำใจหยิบถุงผ้าใส่ของออกมาสองใบก่อนจะใส่ลงในกระเป๋าที่ห้อยอยู่กับลาตัวนั้น
“นี่เป็นกฎ ของที่เป็นของเจ้าก็ต้องนำกลับไป จะละเมิดกฎไม่ได้” ผู้ดูแลอู๋พูดด้วยรอยยิ้ม
หลีต้าเสาก็ยิ้มอย่างนอบน้อม เขาบอกลาทุกคนอย่างเป็นกันเอง ก่อนจะขี่ลาออกเดินทางไป
สายลมยามค่ำคืนของฤดูร้อนพัดพาความอบอ้าวออกไป หลี่ต้าเสาถือตะเกียงพลางค่อยๆ เดินตามลาไป พร้อมกับกำลังครุ่นคิดว่าจะแบ่งข้าวสาร บะหมี่ เนื้อสัตว์และผักให้กับญาติอย่างไร
คราวก่อนจะส่งไปให้ทางบ้านพ่อตาแม่ยายแล้ว ครั้งนี้คงไม่ต้องส่งไปให้แล้ว ทางฝั่งบ้านน้าชาย รายนั้นไม่มีแรงจนเดินไม่ไหว ก็ควรจะไปเยี่ยม ยังมีทางฝั่งบ้านน้าสาว ถึงแม้พวกนางจะไม่ได้ช่วยเหลือเขายามลำบาก
แต่ญาติยังคงเป็นญาติ ตอนนี้เขามีพอกำลังก็ควรช่วยเหลือ
มีเสียงฝีเท้าแผ่วเบาตามมาจากด้านหลัง
คนในหมู่บ้านที่เดินทางกลับดึกเหมือนกันหรือ
หลี่ต้าเสาหันกลับไปมองตามสัญชาตญาณ ยามค่ำคืนมองเห็นเพียงเงาสลัวของคนสี่ห้าคนที่เข้ามาใกล้ไม่นานสายลมแรงก็โบกเข้าปะทะกับใบหน้า
หลี่ต้าเสาโดนกระสอบคลุมในทันที
“พวกเจ้าเป็นใคร!” เขาตะโกน
ไม่มีเสียงตอบกลับ มีเพียงไม้กระบองตีศีรษะที่โดนคลุมไว้ เสียงร้องทรมานค่อยๆ จางหายไปกับค่ำคืนอันมืดมิด เหล่าสุนัขเห่าหอนตามกันไปทั่วทุกทิศทาง
“พอแล้ว ไว้ชีวิตไร้ค่าของเจ้านี่เถอะ”
ชายคนหนึ่งเอ่ยขึ้น สั่งให้พรรคพวกหยุดตี หลี่ต้าเสาที่ไร้เรี่ยวแรงนอนขดตัวชักอยู่บนพื้น ปากได้ส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด
“แต่ว่า” เสียงผู้ชายคนหนึ่งหัวเราะสะใจขึ้นมาอย่างโหดเหี้ยม “พวกเราจะมาเสียเที่ยวไม่ได้”
เหล่าชายฉกรรจ์ทั้งหลายหัวเราะอย่างสะใจ
“พี่ชาย จะเอามือข้างไหนดี” คนหนึ่งถามขึ้น
เสียงชายคนก่อนหน้าพูดด้วยเสียงหัวเราะ
“ได้ยินมาว่าเขาเป็นพ่อครัว” เขาเอ่ย “ข้าสงสัยจริงๆ ว่าพ่อครัวที่ไม่มีมือข้างขวา จะยังสามารถทำอาหารได้อีกหรือไม่”
หลี่ต้าเสาที่กำลังจะหมดสติได้ยินประโยคนั้น ร่างกายที่แทบจะไม่มีแรงก็เริ่มต่อสู้ดิ้นรน
“ช่วยด้วย…” เขาอ้าปากส่งเสียงร้องเบาๆ
ยื่นมือออกมาเพราะอยากจะลุกขึ้น
รีบวิ่ง รีบวิ่งสิ…
แต่ไม่นานร่างกายของเขาก็ถูกคนเหยียบเอาไว้ ขณะเดียวกันแขนที่ยื่นออกไปก็โดนเหยียบไว้เช่นกัน
อย่า…
ช่วยด้วย…
ท้องฟ้ามืดสนิท ภาพเบื้องหน้าที่ถูกกระสอบคลุมหัวไว้ก็มืดมิดเช่นกัน ตะเกียงไฟที่กลิ้งอยู่กับพื้นลุกไหม้ ทำให้เห็นมีดสั้นที่สะท้อนแสง
เสียงร้องทรมานดังขึ้นทำลายความเงียบสงัดยามค่ำคืน หยดเลือดสาดกระเซ็นลงบนตะเกียง ดับมอดแสงสว่างสุดท้ายจนความมืดมิดเข้าปกคลุมอีกครั้ง
…………………………………..