เรือนไท่ผิงเงียบสงัดยามค่ำคืน นอกจากโคมไฟหน้าประตูแล้วก็มีเพียงโรงงานเต้าหู้หลังเรือนเท่านั้นมียังสว่างไสวอยู่
ไฟของโรงงานส่องสว่างตลอดทั้งคืน
เมื่อซุนไฉเติมน้ำพะโล้เสร็จก็ไขกุญแจจากด้านในเปิดประตูออกมา
คนงานที่พูดคุยหัวเราะกันอยู่ตรงระเบียงทางเดินก็รีบยืนขึ้นในทันใด
“ตั้งใจทำงานหน่อยจะได้ไหม หากผู้ใดกล้าแอบดื่มเหล้าในเวลางานอีก ข้าจะไล่ออกให้หมด” ซุนไฉเดินออกมาจากประตูก่อนจะสั่งสอนคนงานทั้งสองคน
“อาจารย์ วันหนึ่งท่านพูดคำนี้ไม่รู้กี่ครั้ง ข้าจำได้แล้ว อย่าพูดอีกเลย” คนหนึ่งเอ่ยพลางหัวเราะชอบใจ
ซุนไฉส่งเสียงฮึดฮัด
“ถึงข้าจะพูดอีกสักสิบหน แต่หากพวกเจ้าไม่จำใส่ใจก็ไร้ความหมาย” เขาเอ่ย “กว่าจะมีวันนี้ได้มิใช่เรื่องง่าย พวกเจ้าพลิกชะตาจนกินดีอยู่ดี หากยังไม่ตั้งใจทำงานอีก ข้าจะไล่พวกเจ้ากลับไปเป็นขอทานข้างถนน!”
“วางใจเถิดท่านอาจารย์ ถึงท่านจะไม่ตั้งใจทำ พวกข้าก็ต้องทำอยู่ดี!” สองคนงานเอ่ยขึ้น
ซุนไฉยกแม่พิมพ์ขึ้นแล้วพยักหน้า เขาสัมผัสได้ถึงสิ่งผิดปกติบางอย่างจึงส่งเสียงจุ๊ปาก
จังหวะที่กำลังจะเอ่ยหยอกล้อกับเหล่าคนงาน ซุนไฉก็ชะงักไปในทันที เขาเงี่ยหูฟังเสียงด้านนอก
“อาจารย์ มีอะไรหรือ” คนงานคนหนึ่งถามอย่างสงสัย
“ข้าได้ยินเหมือน เสียงฝีเท้าคนมากมาย” ซุนไฉตอบด้วยความงุนงงเช่นกัน
ยามดึกสงัดเช่นนี้ แม้แต่เหล่าแมลงก็ยังจำศีล คนงานทั้งสองหันออกไปมองด้านนอกในทันใด จากนั้นทั้งกายก็รู้สึกเย็นวาบ เพราะเหมือนว่าจะได้ยินเสียงร้องคร่ำครวญจริงๆ
“ยังไม่ถึงกลางเดือนเจ็ดเลย คงไม่…ไม่ใช่ผีออกมาเดินหรอกนะ” คนหนึ่งกดเสียงต่ำ
ซุนไฉถุยน้ำลาย
“ผีสางอะไรของเจ้า!” เขาถลึงตาเอ่ย มือหนึ่งชี้ไปยังร้านอาหารที่อยู่เบื้องหน้า ส่วนอีกมือหนึ่งก็ชี้มาที่โรงงานเต้าหู้ที่อยู่ด้านหลัง “ที่นี่คือใดกัน ที่นี่คือเรือนไท่ผิงนะ เต้าหู้ที่พระอาจารย์ฉันเชียวนะ! ผีที่ไหนจะกล้ามา!”
จริงอย่างที่เขาพูด คนงานทั้งสองลุกขึ้นยืนตัวตรง
“วันนี้อากาศร้อนนัก ข้าจะปูฟูกนอนกลางลานบ้าน” ฉุนไซเงยหน้าพลางเอ่ยวางท่า
เมื่อพูดจบเขาก็เดินมุ่งหน้าไปยังลานบ้าน ทว่าเดินได้ถึงกลางลานก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของหญิงสาวที่กำลังร่ำไห้ เสียงนั้นเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ ความเงียบสงัดยามค่ำคืนได้ถูกทำลายลง
จะว่าเป็นเสียงร้องไห้ก็คงไม่ใช่ เหมือนจะเป็นเสียงหัวเราะ แต่ก็เหมือนเสียงตะโกน บางทีก็เหมือนเสียงคนที่ครวญครางออกมาอย่างไร้สาเหตุ ยามเสียงนั้นลอยเข้ามาในหู เส้นขนก็ลุกชูชันขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้
เกิดเรื่องอะไรขึ้น ถึงทำให้คนกรีดร้องเช่นนี้ หรือว่า จะไม่ใช่คน…
ซุนไฉสะดุ้งโหยงตามเสียงกรีดร้อง คนงานสองคนที่ระเบียงทางเดินก็ส่งเสียงร้องตกใจกอดกันกลม
โคมไฟในเรือนไท่ผิงสว่างขึ้นทีละดวง บานหน้าต่างถูกเปิดออก เสียงฝีเท้าดังขึ้น ก่อนจะมีเสียงเอ่ยถามตามมา
“ซุนไฉ พวกเจ้าทำอะไรกัน”
สวีปั้งฉุยถลึงตาใส่พลางตะโกนถามจากชั้นบนของเรือน
ซุนไฉที่อยู่กลางลานบ้านสั่นเครือไปทั้งตัว เขากุมหัวพลางยกมือชี้นิ้วออกไปด้านนอก
“ผีร้องไห้!” เขาเอ่ยเสียงสั่น
สวีปั้งฉุยเบิกตาโพรงมองไปด้านนอก ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงจอแจจากรอบทิศทาง มีทั้งเสียงพูดคุย มีทั้งเสียงหัวเราะ ใช่เสียงร้องไห้เสียทีไหน
“เกิดอะไรขึ้น”
สวีเม่าซิวเดินออกมาจากเรือน
เพราะความพิเศษของโรงงานเต้าหู้ พวกเขาเหล่าพี่น้องจึงต้องนอนเฝ้าล้อมรอบไว้ ผลัดกันนอนเผ้าเวรยามโรงงานเต้าหู้ หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาจะได้ลงมือได้ทันท่วงที
“ซุนไฉเจ้าประสาทหลอนหรือ” สวีปั้งฉุยเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์
“ข้าไม่ได้ประสาทหลอน ข้างนอกมีคนร้องไห้จริงๆ !” ซุนไฉตะโกนอย่างรีบร้อน
จะยอมให้ถูกเรียกว่าประสาทหลอนไม่ได้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นคงเสียการเสียงานที่มีอยู่ตอนนี้เป็นแน่
สวีเม่าซิวขมวดคิ้วก่อนจะยกมือขึ้น
“เงียบ!” เขาตะโกนเสียงเรียบ
เสียงหัวเราะพูดคุยดับลงในทันใด
ทุกคนต่างปิดปากเงียบเงี่ยหูตั้งใจฟัง
เสียงร้องไห้โหยหวนลอยมาพร้อมกับสายลม เสียงนั้นกำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
กลางลานบ้านโกลาหลขึ้นมาในทันใด
“ดูนั่น คบเพลิง!” คนที่อยู่ชั้นสองของเรือนตะโกนขึ้น ขณะเดียวกันก็ยกมือชี้ไปทางด้านนอก
คบเพลิงหรือ
คนบนเรือนเขย่งปลายเท้ามอง ส่วนคนด้านล่างก็กรูเข้าไปที่หน้าประตู มองลอดผ่านซอกประตู
ในค่ำคืนอันมืดมิด คนกลุ่มหนึ่งปรากฏตัวขึ้น คบเพลิงสามสี่อันกำลังลุกโชน ราวกับงูไฟที่กำลังเลื้อยคืบคลานเข้ามาใกล้
“นั่นสะใภ้ซ่งนี่!”
เสียงคนตะโกนดังขึ้นจากบนเรือน
สะใภ้ซ่งอย่างนั้นหรือ ภรรยาของหลี่ต้าเสาน่ะหรือ
สวีเม่าซิวชะโงกมองคนเหล่านั้น ก็เห็นว่าเป็นหลี่ต้าเสากับพรรคพวก ท่าทางดูสนิทสนมกับ
หลี่ต้าเสานัก ในยามนี้สีหน้าของเขาดูหวาดผวา ราวกับว่ากำลังกลัวบางสิ่ง
“คนพวกนั้นเป็นคนหมู่บ้านข้า กำลังหามคนคนหนึ่ง!” เขาตะโกนออกมาอีกครั้ง
สวี่เมาซิวสบตากับฟ่านเจียงหลิน หัวใจเต้นครามโครม
เกิดเรื่องแล้ว!
ประตูของเมืองหลวงปิดลงเมื่อเสียงกลองยามแว่วดัง และจะเปิดอีกครั้งเมื่อตีกลองยามห้าเกิง แต่ทว่าช่วงนี้เป็นฤดูร้อน ฟ้าสว่างเร็วนัก จึงเปลี่ยนจากเวลาห้าเกิงเป็นสี่เกิง
ดังนั้นเมื่อถูกปลุกให้ตื่นกลางดึกยามสามเกิงเช่นนี้ ทหารเวรประตูเมืองจึงไม่สบอารมณ์นัก
“โวยวายอะไรอยู่ได้!” พวกเขาชะโงกหน้าออกมาก่นด่า “ผีมันจะเดินไปมา ไม่ต้องมาเรียกพวกข้า”
หน้าประตูมีคนราวสิบกว่าคนถือคบเพลิงอยู่ ท่ามกลางควันดำและเปลวไฟสะท้อนให้เห็นใบหน้าขาวซีดไม่ต่างอะไรกับศพของพวกเขา
ทหารเวรประตูเมืองพบเจอเรื่องแปลกประหลาดมาก็นัก แต่คราวนี้กลับขนลุกเกรียวขึ้นมาอย่างอดไม่ได้เช่นกัน
“ดูนั่น” คนหนึ่งใช้ศอกกระทุ้งเพื่อนที่อยู่ด้านข้าง “เลือด”
พวกเขาก้มลงมองถึงได้พบว่าร่างกายของเหล่าคนที่ถือคบเพลิงอยู่นั้นเต็มไปด้วยคราบเลือด
เหล่าทหารเวรประตูเมืองหดหัวกลับเข้ามาในทันใด
“ท่านทหาร พวกข้าจะเข้าเมืองไปหาหมอ!” สวีเม่าซิวตะโกน “มีคนเจ็บหนัก!”
กฎหมายมีข้อยกเว้นว่าหากเป็นเรื่องคนเกิดหรือคนตาย ให้เปิดประตูเมืองก่อนเวลาได้
เจ็บหนักอย่างนั้นหรือ มิน่าล่ะ
ทหารเวรประตูเมืองยื่นหน้าออกมาอีกครั้ง
“มีใบผ่านทางหรือไม่” เขาถาม
สวีเม่าซิวรีบกางใบผ่านในมือแล้วยกสูงขึ้น
ประตูเมืองค่อยๆ เปิดออก เหล่าทหารเวรยามที่เพิ่งจะได้เห็นในระยะใกล้ ก็ตกใจอย่างห้ามไม่ได้
ชายหนุ่มคนหนึ่งนอนราบอยู่บนแผ่นไม้ หน้าตาบิดเบี้ยวจนแทบจำไม่ได้ ฟกช้ำดำเขียว คราบเลือดเต็มไปหมด
เห็นได้ชัดว่าโดนรุมกระทืบมา
ทหารเวรยามหน้าประตูพยักหน้าอย่างมีเลศนัย
สวีเม่าซิวยัดเงินใส่มือทหาร
“ลำบากท่านแย่ เงินนี่เก็บไว้ดื่มชาเถิด” เขาเอ่ย
ชายผู้นี้รูปร่างสูงใหญ่ แต่งกายเรียบง่าย ทว่าท่าทางดูสุขุมยิ่งนัก เหล่าทหารเวรเขย่าเหรียญในมือ ก่อนจะพยักหน้าให้อย่างพอใจ
“โรงหมอที่ใกล้ที่สุดอยู่ถนนเส้นนั้น” เขาชี้นิ้วพลางเอ่ย แล้วสั่งให้ทหารเวรสองคนตามไป
แม้จะมีใบผ่านทางแล้ว แต่เมื่อมีคนเข้าเมืองกลางดึกเช่นนี้ พวกเขาจึงต้องติดตามไปด้วยตนเอง
ทว่าสวีเม่าซิวกลับเดินนำออกไปก่อนแล้ว ไม่รู้ว่าได้ยินที่เหล่าทหารพูดทางนี้
“ทางนี้ รีบตามข้ามา” เขาตะโกนบอก แล้วมุ่งหน้านำคนเข้าไปกลางเมือง
กลุ่มคนที่อยู่ด้านหลังพากันกรูตามไป ทหารเวรยามสองคนทำได้เพียงส่ายหน้า จังหวะที่พวกเขากำลังจะเดินตามไป ด้านหลังก็มีคนเดินโซเซตามมา
หญิงผู้หนึ่งเนื้อตัวอาบไปด้วยเลือด สองมือของนางกอดห่อผ้าแน่นไว้ด้านหน้า ห่อผ้านั้นเต็มไปด้วยคราบเลือด
ภายใต้แสงไฟหน้าประตูเมือง ใบหน้าของหญิงสาวซีดเผือด ดวงตาทั้งสองล่องลอยราวกับวิญญาณ
“ยังอยู่ ยังอยู่” นางเอ่ยพึมพำ
“อะไรยังอยู่” ทหารเวรยามถาม
หญิงสาวเหมือนวิญญาณหลุดออกจากร่าง ไม่สนใจคำพูดใด
“ยังอยู่ ยังอยู่” ปากยังคงพร่ำเอ่ยคำเดิม พลางเดินโซซัดโซเข้ามา
ทหารเวรยามพบเห็นคนสะเทือนขวัญเช่นนี้มานักต่อนัก บ้างก็ตกใจจนเป็นลมล้มพับ บ้างก็ตกใจจนเสียสติ
ดูท่าทางแล้วหญิงผู้นี้คงเป็นอย่างหลัง
“โลกนี้อยู่ยากนัก” ทหารเวรยามทอดถอนใจ สำหรับหลายๆ คน แม้เรื่องราวที่เกิดขึ้นจะไม่ได้ใหญ่โตอะไร แต่ก็ทำให้ชะตาชีวิตพลิกผันได้
เขาโบกมือส่งสัญญาณให้ทหารเวรอีกสองคนตามไป
ผ่านไปเพียงไม่นาน กลุ่มคนเหล่านั้นก็เดินตามถนนออกไปไกลแล้ว สองทหารเวรยามจึงต้องรีบวิ่งจ้ำตามไป
เสียงฝีเท้าวุ่นวายดังขึ้นกลางถนนยามดึก
“ไม่ใช่ ไม่ใช่ โรงหมออยู่ทางนี้!”
ทหารเวรยามทั้งสองรีบเอ่ยตะโกน เมื่อเห็นว่ากลุ่มคนเหล่านั้นที่ไม่ได้มุ่งไปทางโรงหมอที่ตนชี้ก่อนหน้า แต่กลับมุ่งหน้าเข้าไปในเมืองแทน
ไม่มีผู้ใดสนใจพวกเขา
แม้จะเดินรั้งท้าย แต่หญิงสาวที่ดูเหมือนว่าจะล้มลงได้ทุกเมื่อก็ไม่แม้แต่จะหันหลังกลับ นางพยุงร่างโซเซของตนให้ลุกขึ้น ก่อนจะล้มลงอีกครั้งแล้วตะเกียกตะกายขึ้นมาใหม่ ล้มลุกคลุกคลานอยู่เช่นนั้นพยามยามวิ่งไปข้างหน้า
หรือว่าจะเป็นโจร!
ทหารเวรยามทั้งสองตื่นตกใจ กลุ่มคนบนถนนเมื่อครู่หายลับไปกับตาแล้ว
“พวกเขาคนเยอะ…” คนหนึ่งเอ่ยเสียงสั่นเครือ
หากเป็นโจรผู้ร้ายจริง พวกเขาทั้งสองก็คงต้องได้รับโทษด้วย
แต่หากเป็นโจรจริงอย่างที่ว่า แม้พวกเขาจะช่วยชีวิตคนได้คนหนึ่ง แต่พอสืบสาวราวเรื่องขึ้นมาพวกเขาก็โดนประหารอยู่ดี
ขณะที่เหงื่อเย็นซึมไปทั่วร่าง เสียงฝีเท้าของม้าก็ดังมาตามทาง ทั้งสองนิ่งชะงักไปในทันใด
หากออกมาเดินเพ่นพ่านกลางถนนยามดึกดื่นเช่นนี้ย่อมต้องโทษก่อกวนยามวิกาล ยิ่งขี่ม้าแล้วคงไม่ต้องพูดถึง
หากจะทำเช่นนั้นได้ก็คงมีแต่คนใหญ่คนโตเท่านั้น
หน่วยลาดตระเวนจินอู๋เว่ยออกมาแล้ว
“ใต้เท้าทั้งหลาย!” ยามที่พวกเขาหันไป ขบวนม้าก็วิ่งออกไปไกลแล้ว จึงจำต้องโบกมือตะโกนเรียก “ใครก็ได้รีบมาช่วยที!”
เมื่อเห็นคนตะโกนโห่ร้องวิ่งเข้ามาใกล้ยามดึกดื่นเช่นนี้ เหล่าทหารลาดตระเวนติดอาวุธนับสิบชีวิตก็ชักดาบออกมาทันที
“ผู้ใดกัน” ชายที่เป็นหัวหน้าตะโกนถาม
“ใต้เท้า ใต้เท้า พวกข้าคือทหารเวรยามเฝ้าประตูเมือง” ทั้งสองรีบตะโกนบอกแล้วเดินเข้ามาใกล้ดวงไฟที่อยู่หน้าม้า เมื่อเห็นใบหน้าของชายที่เป็นผู้นำอย่างชัดเจนก็นิ่งชะงักไป “ท่านแม่ทัพนี่เอง ใต้เท้าหลิว!”
เมื่อได้ยินดังนั้น พวกเขาจึงจ้องมองทหารทั้งสองก่อนจะเก็บอาวุธลง
“พวกเจ้าเฝ้าเวรยามประตูเมืองไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงมาอยู่กลางถนนเช่นนี้” ใต้เท้าหลิวเอ่ยถาม
“ใต้เท้า เมื่อครู่มีคนเข้าเมืองมาหาหมอ พวกข้าตามเข้ามาเฝ้าระวัง แต่พวกเขาวิ่งหนีไปแล้ว…”
ทั้งสองรีบตอบ
เป็นเช่นนี้เองหรอกหรือ ที่แท้ก็มีโจรผู้ร้ายอาละวาด! กล้าดียิ่งนัก!
ใต้เท้าหลิวโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ ชักดาบที่เก็บไว้ออกมาอีกครั้ง
“ทหารทั้งหลาย ตามไปจับโจรกับข้า!” เขาตะโกน
เสียงฝีเท้าม้าดังกระหึ่มราวกลับพายุฝนยามค่ำคืน หน่วยทหารลาดตระเวนควบม้าออกไปตามถนนจนฝุ่นตลบ สองทหารเวรยามสำลักจนแทบยืนไม่อยู่
ทั้งสองก้าวเท้าตามออกไป
สวีเม่าซิวและพรรคพวกถูกขวางไว้หน้าประตูเรือนของเฉิงเจียวเหนียง
“พวกข้ามาหาหมอ! มิใช่โจรผู้ร้าย!” สวีเม่าซิวรีบตะโกนบอก พลางชี้ไปที่หลี่ต้าเสาที่นอนอยู่บนแผ่นไม้
พวกเขาที่วิ่งมาตลอดทาง บัดนี้ถูกเหล่าทหารชุดเกราะหยุดขวางไว้ ทั้งหมดหอบหายใจราวกับจะหมดลมได้ทุกเมื่อ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงร่างของชายที่ถูกวางให้นอนราบอยู่บนพื้น
หากเป็นโจรผู้ร้ายจริงคงเป็นโจรกระจอก
ใต้เท้าหลิวมั่นใจได้เปราะหนึ่งว่านี่เป็นเรื่องเข้าใจผิด เขากวาดสายตามองชายที่นอนอยู่บนแผ่นไม้ ก่อนจะขมวดคิ้วแน่น
“เหตุใดพวกเจ้าไม่ไปโรงหมอ วิ่งหนีทำไมกัน” เขาตะโกนถาม
“ใต้เท้า ไม่ใช่ว่าโรงหมอที่ไหนก็รักษาได้นะขอรับ” สวีเม่าซิวตอบ
ใต้เท้าหลิวสงสัยยิ่งขึ้นกว่าเดิม
“ถูกทำร้ายมาไม่ใช่หรือ บาดแผลภายนอกน่ากลัวถึงเพียงนี้ แต่คงไม่ถึงตาย เหตุใดถึงจะรักษาไม่ได้” เขาถามเสียงดัง
สวีเม่าซิวมองเขาด้วยสายตาเจ็บปวด
บางครั้งตายไปยังดีเสียกว่าอยู่
“ท่านชายสาม! เป็นท่านจริงๆ ด้วย!”
เสียงสาวใช้ลอยออกมา ประตูเรือนที่ตั้งอยู่ไม่ไกลเปิดออก
สาวใช้และจินเกอร์ถือโคมไฟวิ่งเข้ามา
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ เหตุใดถึงได้มายามนี้” สาวใช้ถามอย่างร้อนรน
สวีเม่าซิวหันหลังไปหา
“รีบเรียกน้องสาวมา ช่วยด้วยเถิด” น้ำเสียงของชายหนุ่มแหบพร่า
น้องสาวอย่างนั้นหรือ
ใต้เท้าหลิวตกใจยิ่งกว่าเดิม ให้น้องสาวมาช่วยอย่างนั้นรึ
เขาเงยหน้ามองดูเรือนหลังนั้นอย่างพินิจพิเคราะห์ โคมไฟภายในเรือนถูกจุดจนสว่างไสว ทำให้เห็นเรือนอันสะอาดสะอ้าน
เสียงของน้ำกระทบหินทำให้เขาประหลาดใจ เมื่อมองไปตามเสียงก็เห็นภูเขาจำลองและกระบอกไม้ไผ่บนโขดหินที่มุมกำแพง สายน้ำกำลังไหลออกมาจากกระบอกไม้ไผ่กระทบลงบนโขดหินเงาเลื่อม
ที่นี่… คือโรงหมอหรือ
สายตาของเขาหันไปที่ระเบียงทางเดิน ชายบนไม้กระดานถูกวางลง ขณะที่หญิงสาวคนหนึ่งเดินออกมาจากด้านใน เพราะแสงด้านหลังจากภายในห้อง จึงมองเห็นใบหน้าของนางไม่ชัดนัก เห็นเพียงแค่นางกำลังสะบัดชายเสื้อกว้างแล้วนั่งคุกเข่าลง
“บาดเจ็บแค่ภายนอกหรือ” เฉิงเจียวเหนียงถาม มองดูหลี่ต้าเสาที่นอนอยู่บนไม้กระดาน
“ไม่ใช่” สวีเม่าซิวตอบ น้ำเสียงแหบพร่า
สาวใช้ ปั้นฉิน และจินเกอร์นั่งล้อมรอบ มองดูขอบตาบวมแดงที่กำลังร่ำไห้ของใบหน้าที่แทบมองไม่ออกว่าคือหลี่ต้าเสา เมื่อพวกเขาได้ยินดังนั้นก็หันไปมองสวีเม่าซิว
โดนทำร้ายจนถึงเพียงนี้ ไม่เรียกว่าบาดเจ็บหรือ
เฉิงเจียวเหนียงไม่ได้มองสวีเม่าซิว แต่กลับจ้องมองหลี่ต้าเสา สายตาของนางค่อยๆ ไล่เรียงไปยังกายส่วนล่างก่อนจะหยุดลง นางขยับนั่งตัวตรงในทันใด
แม้สีหน้ายังคงเรียบเฉยดังเดิม แต่ท่าทางของนางกำลังบ่งบอกว่าตื่นกลัวอย่างเห็นได้ชัด
สาวใช้และปั้นฉินรีบมองไปที่หลี่ต้าเสา
ร่างที่กำลังนอนราบ แต่มือที่วางแนบกายนั้น…หายไป มือหายไป เหลือเพียงข้อมือด้วนที่ถูกผ้าอาบเลือดห่อหุ้มไว้
“มือล่ะ” สาวใช้กรีดร้อง
มืออย่างนั้นหรือ
ใต้เท้าหลิวเดินเข้ามาใกล้ มองไปยังชายที่นอนราบบนไม้กระดาน
“ยังอยู่ ยังอยู่”
เสียงพึมพำของหญิงสาวดังขึ้น แม่ทัพหลิวถูกชนจนเซ เขาขมวดคิ้วมองหญิงนางหนึ่งที่พรวดพราดเข้ามา นางอุ้มของบางสิ่งไว้ในมือแน่น
“ยังอยู่ ยังอยู่” นางเดินโครงเครง ขณะที่ก้าวเข้าขึ้นบันไดก็ล้มลง
สาวใช้และปั้นฉินร่ำไห้เข้าไปพยุง
สะใภ้ซ่งเหมือนเสียสติ นางตะเกียกตะกายขึ้นมาบนระเบียงทางเดินแล้วนั่งคุกเข่าลงข้างกาย
หลี่ต้าเสา แววตาเปี่ยมไปด้วยความหวัง นางวางห่อผ้าไว้ข้างกายหลี่ต้าเสา ราวกับปล่อยวางความกังวลอันหนักอึ้ง
นางค่อยๆ เปิดห่อผ้าออก เผยให้เห็นมือขาวซีดที่อยู่ภายใน
“ยังอยู่ ยังอยู่” นางยังคงพร่ำเอ่ยคำเดิม รอยยิ้มค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้า
มือ!
มือข้างหนึ่ง!
มือที่ถูกตัด!
สาวใช้และปั้นฉินที่อยู่ใกล้ที่สุด เมื่อได้เห็นภาพนั้นก็กรีดร้องออกมาอย่างห้ามไม่ได้ก่อนจะปิดตาแล้วถอยหลังออกไป จินเกอร์เองก็ตกใจจนผงะถอยหลังเช่นกัน
ทว่าแม่ทัพหลิวกลับเดินเข้ามาใกล้ แม้จะเริ่มเข้าใจแต่สีหน้ายังคงสับสน
เช่นนี้นี่เอง…
‘นายหญิงว่าอย่างไร ยุ่งยากไหม’
‘พระเจ้าช่วย พระเจ้าช่วย’
สาวใช้ป้องปากใบหน้าซีดเผือด
ในเรือนได้ยินเพียงเสียงสะอื้นของสาวใช้และเสียงทอดถอนใจของเหล่าชายหนุ่ม บวกกับเสียงหัวเราะคิกคักของสะใภ้ซ่งและคำสองคำที่พูดซ้ำไปมา บรรยากาศพาให้อึดอัดยิ่งนัก
“ข้า… ข้า…”
หลี่ต้าเสาที่นอนอยู่บนแผ่นไม้ค่อยๆ ตื่นขึ้น ดวงตาที่บวมช้ำจึงเปิดได้เพียงเล็กน้อย ปากที่ถูกต่อยจนแตกค่อยๆ ขยับ
“ช่วยด้วย…”
เสียงของเขาแผ่วเบาไร้เรี่ยวแรง แต่สวีเม่าซิวและพวกพ้องที่อยู่ด้านหน้ายังคงได้ยินอย่างชัดเจน
“พี่ใหญ่ ท่านอย่าได้กลัวไป” สวีเม่าซิวเอ่ยเสียงแหบแห้ง พลางเอื้อมมือออกไปจับท่อนแขนของเขาไว้ “ช่วยได้แน่ คนร้ายข้าก็ไล่ตีจนหนีไปแล้ว ท่านไม่เป็นอะไรแล้ว”
ไม่เป็นอะไรแล้ว…
หลี่ต้าเสาค่อยๆ หันหน้ามา
“ชะ… ชีวิตข้าถูกรักษาไว้” เขาเอ่ยพึมพำ พยายามลืมตาขึ้น เมื่อเห็นเฉิงเจียวเหนียงเบื้องหน้า
ก็เริ่มมีพละกำลังขึ้นมาในทันใด “นายหญิง… นายหญิง… โรคของข้า รักษาได้หรือไม่”
“รักษาได้” เฉิงเจียวเหนียงตอบ
โรคนั้นรักษาได้อยู่แล้ว แต่หากเป็นมือเล่า
สาวใช้และปั้นฉินปิดปากแน่นไม่กล้าส่งเสียงสะอื้น
หลี่ต้าเสาคลี่ยิ้ม
“ใช่แล้ว นายหญิง รักษาโรคข้า… แถมยัง… รักษาชีวิตข้า…” เขาเอ่ยเสียงอ่อนล้าพลางยกมือขึ้น ทันใดนั้นเขาก็นึกอะไรขึ้นได้บางอย่าง ลมหายใจก็หอบกระชั้นขึ้นมาในทันใด “มือ… มือ… มือของข้า…”
สวีเม่าซิวเบือนหน้าหนี ทนฟัง ทนเห็นภาพเบื้องหน้าไม่ได้อีกต่อไป
สะใภ้ซ่งที่พร่ำเอ่ยคำเดิมอยู่ข้างกายได้ยินดังนั้นก็รีบชูมือที่ถูกตัดขึ้นมา
“ยังอยู่ ยังอยู่” นายเอ่ยเสียงดังฟังชัด
ปั้นฉินทนต่อไปไม่ไหว ร้องไห้คร่ำครวญออกมา
สาวใช้ทรุดตัวลงกอดสะใภ้ซ่งไว้
“สะใภ้ซ่ง สะใภ้ซ่ง ท่านร้องไห้ออกมาเถิด ร้องไห้ออกมาเถิด” นางร้องตะโกน เขย่าร่างสะใภ้ซ่ง
สะใภ้ซ่งดูสับสนงุนงง ราวกับไม่เข้าใจว่าเหตุใดตนต้องร้องไห้
“ยังอยู่ ยังอยู่” นางยังคงย้ำคำเดิม จับมือที่ขาดไว้แน่น
“ตีนางให้สลบ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยขึ้น
ได้ยินดังนั้น สวี่เม่าซิวก็ยกกำปั้นขึ้นทุบท้ายทอยของสะใภ้ซ่งอย่างไม่ลังเล
สะใภ้ซ่งอ่อนแรงล้มลงไป
“พยุงนางออกไป” เฉิงเจียวเหนียงพูด
สาวใช้และปั้นฉินช่วยกันพยุงร่างนางออกไป
มือที่ขาดตกลงบนพื้น มือนั้นขาวซีดภายใต้แสงไฟ
หลี่ต้าเสาเลือดไหลอาบใบหน้า น้ำเสียงอู้อี้ฟังไม่ชัด
“ไม่มีแล้ว… ไม่มีแล้ว…” เขาสะอื้น
เมื่อไม่มีมือ ถึงจะมีชีวิตอยู่ต่อไป จะมีประโยชน์อันใด
เมื่อไม่มือแล้ว เขาก็ไม่ใช่พ่อครัวอีกต่อไป เขาเป็นแค่คนไร้ค้า กลายเป็นคนไร้ค่า
เหมือนกับคราวนั้นที่ถูกหอจุ้ยเฟิ่งไล่ออกมาราวกับเศษสวะ เหมือนกับคราวนั้นที่นอนรอความตายอยู่บนเตียง
เขามันก็แค่คนไร้ค่า
แม้จะมีคนอุปถัมภ์คอยช่วยเหลือให้กินดีอยู่ดี แต่เขาก็ยังเป็นเพียงคนไร้ค่าอยู่ดี สุดท้ายก็เป็นแค่คนไร้ค่า นี่คงเป็นโชคชะตาของเขา คือชะตาชีวิตของเขา
“นายหญิง แท้จริงแล้ว ชะตาชีวิตนั้นรักษากันไม่ได้…” หลี่ต้าเสาเอ่ยสะเอื้อน
……………………………..