ชีวิตคนฟ้ากำหนด จะเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร

แม่ทัพหลิวส่ายหน้า ในเมื่อรู้แล้วว่าไม่ใช่โจร ก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ต่อไป เมื่อได้พบเห็นเหตุการณ์เลวร้ายเช่นนี้

ก็ทำให้หวนนึกถึงความทรงจำในอดีต ใจจิตของเขาก็เริ่มหม่นหมอง

เฉิงเจียวเหนียงมองหลี่ต้าเสา ก่อนจะค่อยๆ ยื่นมือออกไป และแล้วก็หยุดลงบนฝ่ามือที่ถูกตัด

“มือขาดแล้ว” นางพูดขึ้นราวกับสติหลุดลอยออกไป

ขาดแล้วก็ไม่เป็นไร…

ทันใดนั้นก็มีเสียงแว่วเข้ามาในหู เสียงดังฟังชัดของชายหนุ่ม ฟังดูติดตลก

“ขาดแล้วก็ไม่เป็นไร” นางเอ่ยตามโดยไม่รู้ตัว

ขาดแล้วก็ไม่เป็นไรอย่างนั้นหรือ

แม่ทัพหลิวหยุดก้าวในทันที

สำหรับคนอยู่ในเมืองหลวงอันเจริญรุ่งเรืองนี้แล้ว คงพบเห็นคนถูกประหารตัดคอมานักต่อนัก คงชินชาเสียแล้วกับเรื่องความเป็นความตายของชีวิต

เสียมือไปเพียงข้างเดียว แต่ก็ยังมีชีวิตอยูไม่ใช่หรือ

มิใช่เรื่องใหญ่อะไร

หากพวกเขาเข้าไปในค่ายทหารได้รับบาดเจ็บแล้วล่ะก็ พวกเขาก็จะได้รู้ว่าสิ่งใดที่เรียกว่าความสิ้นหวัง สิ่งใดที่เรียกว่าตายเสียดีกว่าอยู่รอด

ก็แค่เสียมือไปข้างเดียว ก็แค่เสียขาไปข้างหนึ่ง ก็แค่ตาบอดไปข้างเดียวก็เท่านั้น…

แม้ชีวิตยังเหลืออยู่ ทว่าชะตาชีวิตกลับผกผันในชั่วพริบตาราวกับพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน ราวกับกลางวันเปลี่ยนกลางคืนในพริบ ราตรีมืดมิดไร้แสงสว่างไปชั่วกาล

เขาไม่ได้ร่ำเรียนจึงรู้หนังสือเพียงไม่กี่ตัว แต่มีอักษรตัวหนึ่งที่เขาฝึกฝนขีดเขียนมาเนิ่นนาน จึงจดจำได้ขึ้นใจ

‘ไร้ค่า’

คนที่สอนอักษรนี้กล่าวไว้ว่า ความหมายของอักษรนี้คือบ้านที่ไม่มีคนอาศัยอยู่

ไม่มีคนอาศัยอยู่ บ้านก็ไร้ความหมาย ก็ไม่ใช่บ้านอีกต่อไป

คนเมื่อพิการแล้วนั้น ก็มิใช่คนอีกต่อไป

แม่ทัพหลิวกำหมัดแน่น อดกลั้นความรู้สึก ก่อนจะหันกลับไปอย่างหุนหัน

บุรุษย่อมมิถือสาหาความกับสตรี สตรีที่เห็นเพียงแมลงตัวเดียวก็ร้องไห้ได้จะหาความใดจากพวกนางได้

“ขาดแล้วคิดว่าจะต่อกลับเข้าไปได้อย่างนั้นหรือ” เขาตะคอกกลับไป

ขาดแล้วจะต่อกลับเข้าไปได้หรือ

เฉิงเจียวเหนียงได้ยินเสียงแว่วมาข้างหู แต่กลับมิใช่เสียงคำรามของชายที่อยู่กลางลานบ้าน แต่เป็นเสียงอ่อนหวานของหญิงสาว เสียงนั้นช่างคุ้นหูนัก  แต่ขณะเดียวกันฟังดูไม่คุ้นเคย

“ใช่ ต่อกลับเข้าไป ท่านดูสิ ข้าเพิ่งจะเอาขาของกระต่ายน้อยต่อกลับเข้าไป”

“เฮ้ย!”

“ท่านจะกลัวอะไร ท่านดูสิ ดีขึ้นแล้ว ท่านลองคลำดูสิ หู หูขาดแล้วก็ต่อกลับเข้าไปได้ ข้าจะทำให้ท่านดู

ท่านอยากลองเรียนดูไหมล่ะ สนุกเชียวนะ แต่ว่าเรียนไม่ง่าย…”

“หึ ยังมีอะไรที่ข้าเรียนไม่ได้อย่างนั้นหรือ”

“ได้ หากท่านเรียนสำเร็จแล้ว หากภายภาคหน้าข้าถูกกองปัญจทิศรักษานครฉีกศพ ก็ไม่ต้องกลัวอีกต่อไป…”

เฉิงเจียวเหนียงยกมือไปกุมที่อก น้ำตาไหลริน

เหตุใดถึงร้องไห้ เหตุใดถึงร้องไห้

“แม่นางน้อย”

สวีเม่าซิวคุกเข่าลงข้างกายนาง

“อย่าเศร้าไปเลย อย่าเศร้าไปเลย”

“ข้าไม่ได้เศร้า ข้าไม่ได้เศร้า ใจของข้า…ใจของข้าเจ็บปวดเหลือเกิน” เฉิงเจียวเหนียงพูด น้ำตาไหลพราก

แต่ริมฝีปากกลับปรากฏรอยยิ้มขึ้น “ใจของข้าเจ็บปวดแล้ว ข้า…มีหัวใจแล้ว…”

แม่นางน้อยคนนั้นตกใจจนเป็นบ้าไปแล้ว

แม่ทัพหลิวส่ายหน้าพร้อมกับก้าวเท้าเดินไปข้างหน้า

เฉิงเจียวเหนียงกุมอกปลอบขวัญตัวเอง แต่เพียงไม่นานอาการใจสั่นระรัวกลับหายไป  เสียงก็หายไป สมองกลับมาว่างเปล่าอีกครั้ง แต่ความรู้สึกเจ็บเข้ากระดูกนั้นยังคงอยู่มิจางหาย

นางสูดหายใจเข้าลึกอีกครั้ง

ยังอยู่ ยังอยู่ก็ดีแล้ว ต้องมีทางออกแน่นอน

“ตอนนี้พวกเจ้าแบกคนเข้าไปก่อน แล้วก็ไปซื้อยา ซื้อเข็มและด้าย ข้าจะนำมือของเขาต่อกลับไปที่เดิมอีกครั้ง” นางพูด

เอาอีกแล้ว พูดจาเพ้อเจ้อเช่นนี้ ใครจะเข้าใจ

แม่ทัพหลิวที่เดินถึงหน้าประตูแล้วไม่ได้หันกลับมาอีก จนกระทั่งได้ยินเสียงของชายหนุ่มดังขึ้นมาจากด้านหลัง

“ได้ ข้าเชื่อน้องสาว ทุกคนช่วยกันแบกเขาแล้วไปซื้อยา”

เอาจริงหรือ

แม่ทัพหลิวหันกลับไปมอง

“ต่อมือกลับเข้าไปอย่างนั้นหรือ”

ภายในเรือนอีกฟากหนึ่ง สาวใช้กับปั้นฉินที่กำลังดูแลสะใภ้ซ่งก็ตาเบิกโพรง

“ใช่ ใช่ นายหญิงเป็นคนพูด ท่านชายทั้งหลายออกไปซื้อยากันหมดแล้ว แล้วยังต้องไปหาเข็มสนด้ายกับของแปลกๆ เหล่านั้นด้วย” จินเกอร์พูดแล้วหันกลับไปอีกด้านเพื่อไปจัดการธุระ “คนเต็มเรือนไปหมด ข้าไปทำธุระก่อนนะ”

สาวใช้กับปั้นฉินสบตากันครู่หนึ่ง ไม่รู้จะพูดสิ่งใดดี

นายหญิงชุบชีวิตคนตายแล้วฟื้นได้ แค่ต่อมือที่ขาดกลับเข้าไปอีกครั้งคงไม่ใช่เรื่องยาก กระมัง…

แต่ว่า นันมันเป็นมือที่ขาดไปแล้วนะ

 “ยังอยู่ ยังอยู่”

เสียงพึมพำของสะใภ้ซ่งแว่วมาจากข้างเตียงนอน นางยื่นมือควานหาสะเปะสะปะพอไม่พบอะไร สีหน้าก็ว้าวุ่นไม่เป็นสุข

สาวใช้รีบเดินไปหยิบหมอนอิงมายัดไว้ในมือของนาง

สะใภ้ซ่งที่เอาแต่พร่ำเพ้อว่า “ยังอยู่” ไม่กี่ครั้งก็สงบลง

สาวใช้กับปั้นฉินสบตากัน น้ำตาคลอ

“เจ้าดูสิ เท้าของสะใภ้ซ่ง” ปั้นฉินเอ่ยเสียงแผ่ว

สาวใช้มองไป พลันยกมือขึ้นป้องปากในทันที

ก่อนหน้านี้นางไม่ได้สังเกต แต่ยามล้มตัวลงนอนจึงเห็นปลายเท้าที่โผล่พ้นออกมาจากชายผ้า เท้าข้างหนึ่งไร้สิ่งห่อหุ้มเต็มไปด้วยคราบเลือด ส่วนอีกข้างหนึ่งที่สวมถุงเท้าอยู่ก็เลอะโคนเต็มไปหมด

“นางเดินตามมาตลอดสินะ” ปั้นฉินกระซิบบอก น้ำตาก็เริ่มไหลรินอีกครั้ง

 “ยังอยู่ ยังอยู่”

เสียงพึมพำของสะใภ้ซ่งวนเวียนอยู่ในหูของทุกคนอีกครั้ง ราวกับกำลังนึกภาพหญิงผู้นี้กอดมือที่ขาดของสามีไว้แน่น สติกระเจิดกระเจิงท่ามกลางค่ำคืนอันมืดมิด

หลี่ต้าเสากลายเป็นคนพิการ สะใภ้ซ่งก็เสียสติไปแล้ว บ้านหลังนี้ก็เหมือนพังทลายลงแล้ว

“พระโพธิสัตว์คุ้มครอง” ปั้นฉินพนมมือภาวนาอย่างอดไม่ได้

พระโพธิสัตว์ผู้มีจิตเมตตาอันยิ่งใหญ่

“ไม่ใช่สิ ไม่ใช่” สาวใช้เอ่ยเสียงเบา

ไม่ใช่อะไร ปั้นฉินมองนาง

“ผู้บำเพ็ญพรตแห่งเต๋าโปรดคุ้มครอง” สาวใช้พนมมือภาวนา

ผู้คนต่างล่ำลือกันว่าเมื่อครั้งที่นายหญิงถูกทอดทิ้งไว้ที่วัดเต๋านั้น ได้พบกับผู้บำเพ็ญพรตหลี่แห่งลัทธิเต๋า

นางไม่เพียงแต่หายจากอาการป่วย แต่ยังได้วิชาชุบชีวิตคนมาด้วย ดังนั้นจะพูดว่านายหญิงเองก็เป็นนักบวชเต๋าผู้หนึ่งก็ได้

ดังนั้นจึงต้องอ้อนวอนขอพรจากนักบวชเต๋า มิใช่พระโพธิสัตว์

ปั้นฉินชะงักแม้จะอยากยิ้มออกมา แต่ยามนี้ไม่ใช่เวลาจะมายิ้ม นางถอนหายใจอย่างโศกเศร้า

“เจ้าเฝ้านางไว้ ข้าจะออกไปช่วยข้างนอก” นางเอ่ยเสียงแผ่วเบา

สาวใช้พยักหน้าเล็กน้อย มองออกไปข้างนอก

“เหตุใดถึงมีคนมากมายเพียงนี้” นางเอ่ย

ปั้นฉินเดินออกไป แสงยามราตรียังคงมืดมิด โคมไฟในเรือนยังคงส่องแสงสว่าง

“พวกท่านตามข้ามาพักตรงนี้ก่อนสักครู่” จินเกอร์พาบรรดาญาติพี่น้องของหลี่ต้าเสาเดินไปทางหลังลานบ้าน

แม้พวกเขาจะออกไปแล้ว แต่คนภายในลานบ้านกลับไม่ได้น้อยลงเลย

ทหารสวมชุดเกราะสิบกว่านายถือกระบองขนาบกับลำตัวยืนอยู่เต็มกลางลานบ้านภายใต้แสงไฟสลัว

แม่ทัพหลิวยืนอยู่กลางลานบ้าน จ้องเขม็งเข้าไปที่ประตูห้องที่ปิดอยู่

ต่อมือกลับเข้าไป ต่อมือกลับเข้าไปอย่างนั้นหรือ

เหลวไหล เหลวไหล

เป็นไปไม่ได้

เป็นไปไม่ได้

ขาดไปแล้วจะต่อกลับเข้าไปได้อย่างไร

เคยได้ยินมาว่าหมอเทวดานามว่าเปี่ยนเชวี่ยชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นได้ หรือว่าแม่นางผู้นี้ก็มีวิชาเซียนเช่นกัน

“โอ้ ก่อนหน้านี้ไม่ใช่ว่ามีหมอเทวดาที่เคยพบเซียน สามารถช่วยคนตายให้ฟื้นได้หรอกหรือ”

เสียงทหารถกเถียงกันเสียงแผ่วเบาอยู่ด้านหลัง แม่ทัพหลิวฉุกคิดขึ้นได้ในทันใด

“ตระกูลเจ้าแซ่อะไร” เขาเอ่ยเสียงเข้ม

ปั้นฉินที่เดินมาจากด้านข้างหยุดฝีเท้าลง

“ตระกูลข้าแซ่เฉิง” นางตอบ

“เช่นนั้นก็ไม่ใช่สินะ หมอเทวดาผู้นั้นคือคนบ้านตระกูลโจว ท่านชายกุยเต๋อคือคนบ้านตระกูลโจว” พวกทหารเอ่ยเสียงแผ่วเบา

แม่ทัพหลิวมองสาวใช้แล้วเดินจากไป แต่ได้ยินถ้อยคำเหล่านี้ ก็หันกลับมามองพวกเขาอีกครั้ง ก่อนจะหัวเราะออกมา

ขำอะไร!

หมอเทวดาอย่างนั้นหรือ น่าขันนัก

เสียงฝีเท้ารีบเร่งดังมาจากนอกประตู สวีเม่าซิวพาญาติสี่ห้าคนสะพายห่อผ้าใบใหญ่รุดเข้ามา

“ซื้อยามาแล้ว ซื้อมาแล้ว” พวกเขาร้องบอก

แม่ทัพหลิวไม่รีรอรีบออกไปดู อยากจะรู้ว่าพวกเขาซื้อยาอะไรมา แค่ทว่าคนเหล่านั้นกลับเข้ามาในเรือนเสียก่อน บานประตูจึงถูกปิดลง เห็นเพียงเงาของคนในเรือนที่นั่งบ้างยืนบ้าง ราวกับว่ากำลังวุ่นวาน กันอยู่ ไม่นานบานประตูก็ถูกเปิดออกอีกครั้ง

ญาติสองคนถือกะละมังทองเหลืองใส่น้ำเลือดออกมา

“ต้มน้ำอีก นายหญิงบอกว่าต้องนำทัพพีไปล้างให้สะอาด” พวกเขาพูด

ปั้นฉินยุ่งกับการพาพวกเขาไปที่ห้องครัว

แม่ทัพหลิวมองเข้าไปด้านใน เห็นญาติสองคนกำลังง่วนอยู่ แต่หญิงสาวนางหนึ่งกลับพิงเท้าแขนหลับพักสายตาอยู่

“นี่… ต้องทำอย่างไร” ญาติคนหนึ่งในมือเต็มไปด้วยเลือด ท่าทางร้อนรนก่อนจะเอ่ยถามเสียงแผ่วเบา พลางหันไปหาเฉิงเจียวเหนียง

ห่อผ้าบรรจุยานานาชนิดถูกโยนรวมกันไว้ หญิงผู้นั้นไม่ได้เหลียวมองเลยสักนิด ยังคงนั่งท่าเดิมตั้งแต่ที่พวกเขาเข้ามา จนกระทั่งนางเอ่ยประโยคหนึ่งขึ้น

“พวกเจ้ากลับมาแล้วหรือ รีบนำคนไปทำความสะอาดเถอะ” นางเอ่ยเสียงเลื่อนลอย

ผ่านมาก็ตั้งนานแล้ว นางก็นั่งอยู่อย่างนั้นโดยไม่ทำอะไรเลยหรือ

ญาติก้มลงมองหลี่ต้าเสาที่หมดสติอยู่บนแผ่นไม้กระดาน เลือดที่อาเจียนออกมาเปรอะเปื้อนเต็มไปหมด ขนาดพวกเขาที่เป็นคนใช้แรงงาน จับต้องของสกปรกมานักต่อนักก็ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มลงมือจากตรงไหนก่อนดี แล้วนับประสาอะไรกับสาวน้อยรูปงามหน้าตาสะอาดสะอ้านคนนี้…

“ทำอย่างไรก็ได้ ล้างให้สะอาด เปลี่ยนเสื้อผ้าให้เรียบร้อย เอาแขนขวาโผล่ออกมาก็ใช้ได้”

เสียงของหญิงสาวดังขึ้น

เหล่าญาติขานรับในทันใดแต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรต่อ

เช่นนี้เป็นหมอได้หรือ แม่ทัพหลิวประหลาดใจ

ยามฟ้าเริ่มสว่าง สาวใช้ที่ยืนอยู่ตรงริมหน้าต่างได้ยินเสียงบางอย่างเคลื่อนไหวจึงหันมอง ก็เห็นว่าสะใภ้ซ่งลืมตาขึ้น แต่ยังคงเหม่อลอย

“ฝันไปหรือ…” นางพึมพำ ใบหน้าเผยความดีใจ

ยามนี้สาวใช้ไม่อยากให้นางเห็นตนเองเลยสักนิด

ในโลกนี้เรื่องที่น่ายินดีที่สุดคือยามที่ทุกข์ทรมานใจ แต่พบว่านั่นเป็นเพียงแค่ความฝัน แต่เรื่องที่ทุกข์ทรมานใจที่สุดในโลกคือตื่นขึ้นมาแล้วกลับพบว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นทั้งหมดเป็นความจริง

เป็นไปดังคาด เมื่อสะใภ้ซ่งสัมผัสได้ว่าคนในห้องกำลังจ้องมองมาที่นาง รอยยิ้มบนใบหน้าก็เริ่มจางหายไป

“อะ อะ” นางส่งเสียงแหบแห้งที่เหลืออยู่ออกมาจากลำคอ ดวงตาเริ่มเหลือกขาวโพลน เนื้อตัวสั่นเทาไปทั้งร่าง

สาวใช้รีบกระโจนเข้าไป

“ท่านไม่ต้องกลัวนะ นายหญิงกำลังรักษาแผลให้ท่านพี่หลี่อยู่!” นางเอ่ยเสียงดัง

สะใภ้ซ่งเอื้อมมือควานหาบางสิ่ง

“มือล่ะ มือล่ะ” นางตะโกนซ้ำอยู่เช่นนั้น ดิ้นทุรนทุรายสุดแรงเกิด ราวกับไม่ได้ยินเสียงของสาวใช้เลย “ข้าถือมาแล้ว ข้าถือมา มือล่ะ มือล่ะ”

ร่างของนางสั่นเครือจนยืนไม่ไหว ทำได้เพียงคลานไปกับพื้น หน้าผากเต็มไปด้วยเหงื่อ ใบหน้าขาวซีด

“สะใภ้ซ่ง นายหญิงต่อมือของท่านพี่หลี่ให้แล้ว” สาวใช้จับนางไว้แน่น เขย่าตัวพลางตะเบ็งเสียง “ท่านตื่นเสียทีเถิด”

ต่อมือแล้วอย่างนั้นหรือ

สะใภ้ซ่งสงบลง มองเหม่อไปยังสาวใช้

“ต่อมือกลับเข้าไปได้หรือ” ในที่สุดนางก็พูดออกมาเป็นประโยค

“ได้สิ” สาวใช้พยักหน้าตอบอย่างไม่ลังเล

สะใภ้ซ่งมองดูร่างกายของตน เนื้อตัวสั่นเทา จิตใจว้าวุ่น นี่คือคำตอบที่นางอยากได้ยิน แต่กลับเป็นคำตอบที่นางไม่อยากจะเชื่อ

“ใช่ ต้องได้แน่นอน” สาวใช้พยักหน้าตอบอีกครั้งอย่างจริงจัง

ใช่สิ ต้องได้แน่นอน นายหญิงไม่เคยพูดปด

นางพยุงสะใภ้ซ่งมองออกไปนอกหน้าต่าง

“ท่านดู ท่านดูสิ นายหญิงเริ่มรักษาแผลแล้ว” นางเอ่ย

สะใภ้ซ่งตะเกียกตะกายอยากจะยืนขึ้น แม้ออกแรงเพียงใดก็ต้องล้มลงเพราะความเจ็บที่ขาแล่นริ้วขึ้นมา นางทำได้เพียงคลานออกไปข้างนอก

ข้าจะไปดู ข้าจะไปดู

…………………………………………..