ยามท้องฟ้าเริ่มสว่างรำไร ภายในลานประลองบ้านตระกูลโจวเงียบเหงานักเมื่อเทียบกับเมื่อก่อน
เสียงร้องโหวกเหวกยามปะทะดาบทวนเฉกเช่นแต่ก่อนนั้นไม่มีอีกต่อไป
นั่นเป็นเพราะนายใหญ่โจวที่กำลังรีบเร่งยังอยู่ระหว่างทางกลับเมืองหลวง ธุระปะปังต่างๆ ในเรือนจึงตกเป็นหน้าที่ของเหล่าลูกหลานแทน
ยามหนาวก็ต้องฝึกฝน ยามร้อนก็ต้องฝ่าฟัน นี่คือคำสอนของบ้านตระกูลจอมยุทธ์ที่ไม่เกรงกลัวแม้แต่ลมพายุกระหน่ำที่คอยพร่ำสอนลูกหลาน ยามเผชิญกับพระเจ้าต้องกล้าแกร่ง ยามพบภัยมนุษย์ ต้องขจัดเภทภัยให้สิ้น
เดิมทีก็ไม่ใช่ลานประลองใหญ่โตอะไร บัดนี้กลับมองดูเวิ้งว้างว่างเปล่า หนุ่มน้อยคนหนึ่งกำลังรำกระบองอย่างพลิ้วไหว ส่งเสียงคำรามราวกับมังกรงูขู่ฟ่อ
แต่ทว่าขณะที่เขากำลังอยู่ในห้วงแห่งความอิสระของตนนั้นกลับถูกเสียงตะโกนหนึ่งทำลายลง
ท่านชายโจวหกเปลือยท่อนบน เก็บทวนยาวเข้าที่ เม็ดเหงื่อบนกายไหลย้อย
“ใครเรียกหาข้า” เขาหันกลับไปถาม
บ่าวคนหนึ่งกำลังวิ่งมาจากด้านข้างลานประลอง
“แม่นางเฉิงขอรับ” เขาตอบ
นางหรือ
ท่านชายโจวหกตะลึง
“แล้วนางล่ะ” เขาถาม
บ่าวดูหวาดกลัวเล็กน้อย
“ในเรือนกำลังวุ่นวายกันอยู่ ฮูหยินก็กำลังยุ่งอยู่ หากเช่นนั้นก็… ให้ไล่ออกไป” เขาเอ่ยเสียงแผ่วเบา
หากฮูหยินโจวได้ยินชื่อของแม่นางเฉิงในตอนนี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคงเหมือนดั่งราดน้ำมันลงบนกองเพลิง
‘นางตัวซวย! ห้ามนางเหยียบเข้ามาในบ้านข้า! รีบไล่นางออกไป!’
โชคดีที่บ่าวของท่านชายโจวหกได้ยินเข้า และรู้ว่าท่านชายของตนรู้สึกต่อเฉิงเจียวเหนียงอย่างไร บ่าวผู้ภักดีจึงแอบย่องเข้ามาบอก
“ท่านชายขอรับ ท่านอย่าให้ใครรู้ล่ะว่าข้าเป็นคนบอกท่าน…” เขาเอ่ยอย่างน่าสงสาร
หากขัดใจฮูหยินโจว ก็จะต้องถูกขายออกไป
“นางมาแล้วหรือ หรือว่าคนที่ส่งไปกลับมาแล้ว” ท่านชายโจวหกถาม พลางเก็บทวนยาวเข้าที่
“บ่าวคนหนึ่งขอรับ” บ่าวตอบ “เจ้าเด็กเฝ้าประตูคนนั้นหรือ”
ท่านชายโจวหกพยักหน้า แล้วเดินไปด้านนอก
“ท่านชายขอรับ ท่านอย่ารีบร้อนไปเลย…” บ่าวรีบเดินตาม
“ข้าไม่ได้รีบร้อน ข้ารีบร้อนเสียที่ไหน” ท่านชายโจวหกถลึงตาพูด
บ่าวเอื้อมมือไปสะกิดด้านหลังเบาๆ
“ท่านชาย ท่านยังไม่ได้หยิบเสื้อ…” เขาตอบอย่างระวัง
ท่านชายโจวหกยกมือให้เขา
“มีตา แต่ไม่มีมือ แล้วจะมีเจ้าไว้ทำไม” เขาตะคอกกลับ
“ยังไม่รีบไปหยิบมาอีก!”
บ่าวกุมขมับรีบวิ่งกลับไป
ท่านชายโจวหกควบม้าออกไปไกล เมื่อเห็นว่าหน้าเรือนสะพานอวี้ไต้มีม้ามากมายจอดกระจัดกระจาย เขาจึงเร่งม้าโดยพลัน
ยามเข้าประตูไปก็เห็นคนยืนอยู่กลางลานบ้าน ก็ยิ่งต้องขมวดคิ้ว
“ท่านแม่ทัพ พวกข้าขอตัวกลับก่อน”
“ท่านแม่ทัพ ท่านควรไปบอกกับใต้เท้าอู๋สักหน่อย”
“ท่านแม่ทัพ ท่านจะรออยู่ที่นี่จริงหรือ”
เหล่าพลทหารห้อมล้อมแม่ทัพแย่งกันพูด
“ข้าจะบอกเขาทำซากอะไร ตั้งแต่ข้ามาก็ยังไม่ได้พักเลย พักสักสองวันจะเป็นอะไรไป” แม่ทัพหลิวโบกมือเชิงไล่อย่างหัวเสีย “พวกเจ้าไปเสียเถิด ข้าจะรออยู่ที่นี่”
“หลิวขุย”
เสียงเรียกหนึ่งดังขึ้น
ถึงแม้ข้าจะถูกลดตำแหน่ง แต่ถึงอย่างนั้นก็เป็นแค่เรื่องเล็กน้อย หากทหารภายใต้บังคับบัญชาจะดูถูกตน
ก็ไม่ถึงขนาดกล้าตะโกนเรียกชื่อตนเช่นนี้กระมัง
แม่ทัพหลิวบิดคออย่างเกรี้ยวกราด มองดูท่านชายน้อยที่ยืนอยู่หน้าประตู
ท่านชายโจวหกเดินเข้ามา ขมวดคิ้วจดจ้องเขา พลางมองพลทหารพวกนั้น
“พวกเจ้ามาทำอะไรในบ้านข้า”เขาถาม
บ้านเจ้าหรือ
แม่ทัพหลิวตะลึงไปชั่วครู่
“ท่านชายโจวหกหรือ” พลทหารนายหนึ่งจำได้จึงถาม
ถึงแม้ว่ามิใช่บ้านตระกูลยิ่งใหญ่อะไร แต่ทว่าชื่อเสียงของเหลาซ่านโจวก็มีไม่น้อย โดยเฉพาะยิ่งท่านชายโจวหกผู้นี้ ก็ก่อเรื่องก่อในเมืองหลวงไว้มิใช่น้อย
แม่ทัพหลิวฉุกคิดขึ้น
“โจวรึ” เขาถาม “โจวไหนกัน”
“ตระกูลโจวแห่งกุยเต๋อหลางเจียง” ท่านชายโจวหกตอบเอง
แม่ทัพหลิวเบิกตาโพรง แล้วหันกลับไปมองในบ้าน
นับตั้งแต่ราวช่วงยามสี่ทุกคนก็ถูกไล่ออกจากห้องก่อนประตูจะปิดลง ภายในเรือนนั้นเงียบสงัด
“ถ้า… ถ้าอย่างนั้นนางเป็นคนของบ้านเจ้าหรือ” เขาชี้มือไปที่ห้องแล้วถามท่านชายโจวหก
ท่านชายโจวหกมองไปที่ประตูห้อง จากนั้นก็เห็นสวีเม่าซิวกับสาวใช้ที่กำลังลุกขึ้นตรงระเบียงทางเดิน ทั้งยังมีหญิงสาวที่นั่งคุกเข่าพิงเสาอยู่กับพื้น ยามมองไปที่บริเวณระเบียงใต้ชายคาก็เห็นชายอีกสามคนกระจัดกระจายอยู่โดยรอบ ล้วนแต้เป็นเพื่อนพ้องของสวีเม่าซิวทั้งสิ้น
พวกเขาก็มากันแล้วหรือ…
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น” เขาไม่ได้สนใจแม่ทัพหลิวก่อนจะเอ่ยถามขึ้น
“ไม่ได้เกิดเรื่องอะไร” สวีเม่าซิวเอ่ย “น้องสาวรักษาคนเจ็บอยู่”
รักษาบาดแผลหรือ
ท่านชายโจวหกมองไปยังแม่ทัพหลิว
ทหารลาดตระเวนหรือ
“เป็นพ่อครัวของพวกข้า หลี่ต้าเสาเมื่อคืนถูกคนลอบทำร้าย บาดเจ็บมา” สวีเม่าซิวตอบกลับพอได้ความ
ท่านชายโจวหกสีหน้าตกตะลึงและโมโห
“จับคนร้ายมิได้รึ” เขาถาม
สวีเม่าซิวส่ายหัว
“เพราะว่าสุนัขเห่าเสียงดังมาก ชาวบ้านละแวกนี้จึงรวมตัวมาช่วยออกตามหา แต่คนชั่วหนีไปตั้งนานแล้ว” เขาข่มเสียงตอบ
ช่างเป็นฤดูใบไม้ร่วงที่มีแต่เรื่องวุ่นวายจริงๆ
ท่านชายโจวหกไม่ได้พูดอะไรต่อ จู่ๆ ท่านพ่อก็เกิดเรื่องโดยมิทันตั้งตัว นี่เรือนไท่ผิงก็มาเกิดเรื่องขึ้นอีก เป็นไปได้ว่าสองเรื่องนี้มีความเกี่ยวข้องกันอย่างนั้นหรือ
“นายหญิงน่าจะรู้ว่าใครเป็นคนลงมือ” สาวใช้เอ่ย
สวีเม่าซิวและท่านชายโจวหกต่างมองไปยังนาง
“เมื่อวานนายหญิงเพิ่งบอกว่าจะมีเรื่องยุ่งยากเกิดขึ้น” สาวใช้พูด
หญิงสาวผู้นี้…
“หมายความว่านี่ไม่ใช่การปองร้ายหลี่ต้าเสา แต่เป็นการเล่นงาน…” ท่านชายโจวหกเอ่ย พูดถึงตรงนี้ก็หยุดลง “เรือนไท่ผิงหรือ”
ทุกคนต่างนิ่งเงียบไปชั่วครู่
“รอท่านหลี่ต้าเสาฟื้นขึ้นมาก่อนค่อยถามไถ่ก็น่าจะได้ความ” สาวใช้เอ่ย
“ถ้าเช่นนั้นก็รอเถิด” ท่านชายโจวหกเอ่ยแล้วนั่งลงตรงระเบียง เขามองไปที่แม่ทัพหลิวที่อยู่ตรงลานบ้าน “แม่ทัพหลิว ข้าสามารถเป็นพยานให้พวกเขาได้ พวกเขาไม่ใช่คนร้าย”
ที่แท้แล้วนางคือหมอเทวดาแห่งตระกูลโจวนั่นเอง แท้จริงแล้วหมอเทวดาไม่ได้แซ่โจว แต่แซ่เฉิง
แม่ทัพหลิวโบกมือ
เหล่าพลทหารรับคำสั่งก็หันหลังเดินออกไป เสียงดังจอแจที่หน้าประตูก็เงียบลงในทันใด
“ข้ารู้” แม่ทัพหลิวเพิ่งจะเอ่ยขึ้น ก่อนจะเดินมานั่งริมระเบียงเช่นกัน “ข้าก็ต้องรอ”
ท่านรออะไร
ท่านชายโจวหกขมวดคิ้ว แล้วมองเข้าไปในห้อง
“บาดเจ็บสาหัสหรือไม่” เขาถาม
“บาดแผลอื่นไม่เป็นอะไรมาก” สวีเม่าซิวเอ่ย “เพียงแต่ต่อมือนั้นยากนัก น้องสาวบอกว่า ต้องรอพ้นบ่ายพรุ่งนี้ไป ต้าเสาถึงจะดีขึ้น”
เขายังไม่ทันจะพูดจบ ท่านชายโจวหกสีหน้าตื่นตระหนกในทันใด เขาชันเข่าข้างหนึ่งขึ้นหมายจะยืนขึ้น
“มือหรือ” เขาถาม
“ใช่ มือของต้าเสาถูกคนร้ายฟันขาด” สวีเม่าซิวตอบ
ถูกคนชั่วลอบทำร้าย ฟันมือเท้ายังผู้อื่นยังทำได้ลงคอ คนชั่วก็คือคนชั่วอยู่วันยังค่ำ
แต่ทว่าการรักษาบาดแผลไม่ใช่ห้ามเลือดอะไรพวกนั้นหรอกหรือ
สิ่งใดคือการต่อมือกลับเข้าไป
“ท่านว่าอย่างไรนะ ต่อมือกลับเข้าไปอย่างนั้นหรือ” เขาถามเสียงดัง
สาวใช้และคนอื่นรีบเตือนให้เขาเงียบ
ถึงว่าคนอย่างแม่ทัพหลิวถึงได้ยอมอยู่ที่นี่…
ต่อมือที่ขาดกลับเข้าไปอย่างนั้นหรือ…
กระดูกหักงอกใหม่ก็เคยได้ยิน แต่นี่มือขาดแล้วต่อเข้าไปใหม่นั้นไม่เคยได้ยินมาก่อน
หญิงผู้นี้ กล้าพูดไปเสียทุกเรื่องจริงเชียว
ท่านชายโจวหกนั่งลงช้าๆ มองบานประตูเรือนที่ปิดสนิทด้วยสีหน้าสับสน
เช่นนี้นางถึงได้ให้คนเรียกตนมาสินะ
กลัวเดือดร้อนเป็นกับเขาด้วยหรือ…
ท่านชายโจวหกหน้ามุ่ยนั่งพิงหลังกับบานประตู ไม่รู้ว่าเป็นเพราะดวงอาทิตย์ที่กำลังขึ้นหรือว่าด้วยเหตุอื่น แก้มของเขาก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ
ลานบ้านยังมีคนนั่งอยู่ห้าหกคน ด้านหลังเรือนยังมีญาติพี่น้องอีกหลายคน แต่ทั้งเรือนกลับเงียบสงัดไร้ซึ่งเสียงใด
มีเพียงจินเกอร์กับปั้นฉินที่เทียวไปเทียวมาส่งข้าวส่งน้ำให้
แต่กลับไม่มีใครอะไรกินลง
“จนถึงตอนนี้ก็นานมากแล้ว เหตุใดถึงไม่มีการเคลื่อนไหวสักนิด” ท่านชายโจวหกอดรนทนรอไม่ได้จึงเอ่ยขึ้นแล้วเงยหน้ามองฟ้า
แสงอาทิตย์ยามเที่ยงตรงแยงตา
ท่านชายโจวหกหันกลับมามองในเรือนอีกครั้ง
สวีเม่าซิวกับสาวใช้เฝ้าอยู่หน้าประตูซ้ายขวาคนละข้าง คอยห้ามทุกคนที่จะพังประตูเข้าไป ไม่ว่าจะเจตนาหรือไม่ก็ตาม
ท่านชายโจวหกทอดถอนใจแต่เพียงในใจ
หากอยากจะบุกจริงๆ พวกเจ้าจะห้ามไหวหรือ
ท่านดูสิ ประตูเปิดเองได้
ความคิดนั้นแวบเข้ามาในหัวของเขา ก่อนจะต้องชะงักลงอีกครั้ง
ประตูถูกเปิดแล้ว!
“นายหญิง!”
เสียงนั้นทำให้สวีเม่าซิวกับสาวใช้ร้องขึ้นมาก่อนใคร แม่ทัพหลิวยืนขึ้นคนแรก ก่อนจะจ้องมองหญิงสาวที่อยู่ตรงประตู
แต่ทว่าหลังจากเสียงนั้นดังขึ้น ทุกอย่างก็เงียบสงัดลงอีกครั้ง ทุกคนต่างจดจ่ออยู่กับความเงียบนั้น ราวกับว่าหากเพียงปริปากทุกอย่างจะพังทลาย ไม่มีทางกลับคืนมาเหมือนเดิมได้
……………………………………