เฉิงเจียวเหนียงก้าวเข้าประตูมาก่อนปิดประตูลง

“ช่วงนี้เขายังกลับบ้านไม่ได้” นางเอ่ย

เมื่อกล่าวคำนั้นออกมา หัวใจของทุกคนก็ร่วงหล่นลงมาที่ตาตุ่ม

แสดงว่าเป็นไปไม่ได้สินะ…

หัวไหล่กว้างของแม่ทัพหลิวลู่ลง ความรู้สึกเช่นนี้เขาคุ้นชินยิ่งนัก

‘รักษาไม่ได้ หามออกไปเถิด…’

‘อย่าตัดแขนข้า อย่าตัดแขนข้า…’

‘ให้ข้าตายเถิด ให้ข้าตายเถิด…’

ข้างหูอื้ออึงไปด้วยเสียงร้องไห้คร่ำครวญ แม่ทัพหลิวเนื้อตัวสั่นเทาจนอย่างควบคุมไม่ได้

ใครคนหนึ่งคว้ามือเขาเอาไว้

“สงสารข้าเถิด สงสารข้าเถิด ขอข้าวกินสักคำเถิด”

แม่ทัพหลิวผงะถอดหลังในทันที เบื้องหน้ากลายเป็นภาพลวงตาของคนมากมาย ชายหนุ่มแขนขาดขาด้วน ทั้งคนหนุ่มทั้งแก่ ท่าทางดูสติเลื่อนลอย เสื้อผ้าหลุดลุ่ย ในมือถือชามกระเบื้องไว้

คนป่วยหนัก ตายแล้วก็ตายไป เหล่าทหารบาดเจ็บที่รอดชีวิตมาได้ ส่วนใหญ่ก็เป็นขอทานรอคอยวันที่จะตายจากไป

ทั้งหมดล้วนแต่เป็นชะตาชีวิต

หมอหลวงฮั่นหลินจือโหวได้กล่าวเอาไว้

ใครคนหนึ่งยื่นมือออกมาผลักเขา

“เจ้าหลีกไป” ท่านชายโจวหกเอ่ยขึ้น

แม่ทัพหลิวเพิ่งได้สติ มองดูหญิงสาวที่อยู่เบื้องหน้าสาวเท้าเข้ามาใกล้

“ปั้นฉิน เจ้าช่วยดูแลเขาที เคี่ยวยาที่อยู่บนโต๊ะป้อนให้เขากิน ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย พลางเดินตรงออกไปอีกทาง

“ข้าจะพักผ่อนหน่อย”

ทุกครั้งที่นายหญิงรักษาคนป่วยเสร็จมักจะอ่อนแรงเป็นอย่างมาก ยามนี้ห้องโถงถูกหลี่ต้าเสาจับจองไปเสียแล้ว จึงจำต้องไปที่ห้องหนังสือแทน สาวรีบร้อนลุกขึ้นเดินนำทางไป

สะใภ้ซ่งเอาแต่คร่ำครวญว่าจะนอนในห้องให้ได้

“ผู้ใดก็ห้ามเข้าทั้งนั้น” เฉิงเจียวเหนียงเหลียวหลังก่อนจะเอ่ยเสียงดัง

สวีเม่าซิวเอื้อมไปคว้าฝ่ามือของสะใภ้ซ่งที่ยื่นเข้าไปในประตูห้อง ก่อนจะรั้งนางกลับมา

แม่ทัพหลิวส่งเสียงฮึดฮัด

“ก็แค่รักษาบาดแผลภายนอก ถึงกับต้องห้ามเข้าเชียวหรือ!” เขาเอ่ยขึ้น

ท่านชายโจวหกเหลือบตามองเขา

“หลินขุย เจ้าควรไปได้แล้ว” เขาพูด

“ตอนนี้ยังให้เข้าออกจากอำเภอใจไม่ได้ เพราะเพิ่งจะต่อมือเสร็จ สามวันนี้ห้ามโดนลม คนเข้าออกประตูไปมา ไม่ดีนัก”

นางพูดจบก็หันหลังเดินต่อไป สาวใช้เปิดประตูห้องหนังสือไว้ก่อนแล้ว เมื่อทั้งสองเดินเข้าไปประตูก็ถูกปิดลง

โถงทางเดินเงียบสงัด ทุกคนต่างยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน

ต่อมืออย่างนั้นหรือ…

คำพูดนั้นอื้ออึงอยู่ในหูของพวกเขา

“หลิวขุยไปไหนแล้วเล่า”

แม่ทัพคนหนึ่งเดินเข้ามาในค่ายทหารก่อนจะเอ่ยถามเสียงดัง

ทันใดนั้นพลทหารสองนายก็วิ่งเข้ามา ทั้งสองก้มหน้าสบตากัน

“แม่ทัพหลิวมีธุระทางบ้าน เลยไม่ได้มา…” พวกเขาตอบเสียงแผ่ว

ยังไม่ทันพูดจบ แม่ทัพผู้นั้นส่งเสียงถุยออกมา

“บ้านบ้าบออะไร! ธุระบ้าบออะไร! บอกข้ามา ไปสำมะเลเทเมาที่ซ่องใช่หรือไม่!” เขาตะคอก

สองทหารหวาดกลัว

“ไม่ได้ไปซ่องขอรับ แต่…แต่ไปดูแม่นางคนหนึ่งรักษาคนป่วย” พวกเขารีบตอบในทันที

แม่ทัพผู้นั้นฉุนเฉียวยิ่งกว่าเดิม

“อย่ามาพูดจาเหลวไหลกับข้า! ไปบอกเขา หากไม่อยากอยู่หน่วยลาดตระเวนแล้ว ข้าก็จะให้เขาไปเฝ้าเวรยามหน้าประตูเมือง!” เขาเอ่ยตะโกน พูดจบก็สาวเท้ายาวก้าวออกไป

เมื่อเห็นเขาจากไป ทหารคนอื่นๆ ก็รีบกรูกันเข้ามา

“นั่นสิ นี่ก็สามวันแล้ว เหตุใดท่านแม่ทัพยังไม่กลับมาอีก”

“หมอเทวดาผู้นั้นจะต่อมือกลับมาได้จริงๆ หรือ…”

“สู้ไปดูให้รู้ไม่ดีกว่าหรือ…”

ยิ่งพวกเขาถกเถียงกันก็ยิ่งได้ความคิดมากมาย ถามกันไปมาจนรู้ว่ามือที่โดนตัดถูกต่อแล้ว เหล่าทหารก็นิ่งชะงักไปในทันใด

“โกหกน่า จะเป็นไปได้อย่างไรกัน!”

ไม่น่าเชื่อจริงๆ…

“แต่ว่าหมอเทวดาผู้นั้นมีวิชาชุบชีวิตคนตาย ขนาดคนตายแล้วยังปลุกให้ฟื้นคืนมาได้ นับประสาอะไรกับแค่มือข้างเดียว”

“ใช่ ใช่ แต่ก่อนข้าก็เคยได้ยินเรื่องเล่า ที่เหอโจวมีหญิงคนหนึ่งคางเน่า หมอคนหนึ่งก็ตัดคางคนอื่นมาต่อให้นาง ตอนนี้ก็ยังสบายดี…”

“มีเรื่องเช่นนี้จริงๆ หรือ พิสดารนัก!”

“อย่ามัวแต่เถียงกันอยู่เลย ไปดูให้เห็นกับตาก็รู้แล้วมิใช่หรือ ใกล้ๆ แค่ในเมืองนี่เอง”

กลุ่มคนที่กำลังถกเถียงกันอยู่พากันกรูออกไปข้างนอก โดยมีทหารที่เห็นเหตุการณ์ในคืนวันนั้นเป็นคนนำทางไปยังสะพานอวี้ไต้

ขณะเดียวกันท่านชายโจวหกกำลังลงจากม้าที่หน้าเรือนสะพานอวี้ไต้แล้วเดินเข้าประตูไป

สิ่งแรกที่เขาเห็นคือแม่ทัพหลิวที่หน้าห้องโถงและสะใภ้ซ่งที่ระเบียงทางเดิน ทั้งสองอยู่ในท่าเดิมมาตลอดทั้งวัน จ้องมองบานประตูที่ปิดสนิท

สาวใช้ยกถาดมาจากระเบียงทางเดินก่อนจะเดินซอยเท้าถี่เข้ามาใกล้

“นายหญิง ท่านชาย อาหารเตรียมพร้อมแล้วเจ้าค่ะ” จังหวะการพูดของนางเร็วเหมือนฝีเท้าเมื่อครู่

ประตูของห้องหนังสือถูกเปิดออก ปรากฏให้เห็นหญิงสาวและชายหนุ่มที่นั่งประจันหน้ากัน

“สืบถามมาตลอดทางแล้ว แต่ไม่ได้เบาะแสใดเลย… ส่วนเรือนไท่ผิงก็สงบสุขดี ไม่มีผู้ใดมาหาเรื่อง” สวีเม่าซิวเอ่ย

“ไม่มีเบาะแสก็ไม่เป็นไร” เฉิงเจียวเหนียงพูด สาวใช้กำลังปรนนิบัติเช็ดมือแล้วยื่นตะเกียบให้ “เชิญท่านพี่”

สวีเม่าซิวพยักหน้าแล้วยกตะเกียบขึ้นมา

สาวใช้เงยหน้าขึ้นไปเห็นท่านชายโจวหกที่อยู่กลางลานบ้าน

“ท่านชายโจวมาแล้วหรือเจ้าคะ” นางเอ่ยเสียงแผ่วเบา

เฉิงเจียวเหนียงและสวีเม่าซิวหันมองตาม

“อันที่จริง เจ้าไม่ต้องมาทุกวันก็ได้” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย

ข้าไม่ได้เหมือนเจ้าเสียหน่อย คนอะไรเอาแต่คิดเล็กคิดน้อย ในเมื่อเจ้าก้มหัวร้องขอให้มาช่วยขนาดนี้ อย่างไรข้าก็ต้องทำ

ท่านชายโจวหกส่งเสียงฮึดฮัด หน้าบึ้งตึงทำทีไม่สนใจ ก่อนจะเดินตรงมานั่งที่ระเบียง

ประตูห้องโถงถูกเปิดออก แม่ทัพหลิวและสะใภ้ซ่งราวกับตื่นขึ้นจากภวังค์ก่อนจะหันไปมองปั้นฉิน

“นายหญิงเจ้าคะ” นางเอ่ยพลางยิ้มอย่างดีใจ “ฟื้นแล้ว เขาฟื้นแล้วเจ้าค่ะ”

 สะใภ้ซ่งสะอึกสะเอื้อนอยู่ในลำคอก่อนจะก้าวเดินไปข้างหน้า นางจ้องมองไปที่บานประตูแต่ก็ไม่กล้าพรวดพราดเข้าไป

“ฟื้นแล้วก็กลับบ้านได้” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยทั้งที่ยังไม่หยุดตะเกียบลง

ปั้นฉินรับคำ หันไปมองสะใภ้ซ่งที่กำลังร้อนรน ก่อนจะชะงักไปครู่หนึ่ง

“นายหญิงเจ้าค่ะ ให้สะใภ้ซ่งเข้าไปดูได้หรือไม่” นางเอ่ยถาม

“ได้แล้ว” เฉิงเจียวเหนียงตอบ

พอได้ยินคำตอบสะใภ้ซ่งที่ร้องไห้สะอื้นก็โถมตัวเข้าไปในห้อง บาดแผลที่เท้าได้ปั้นฉินและสาวใช้เป็นคนทำแผลให้ก่อนหน้าแล้ว แต่ไม่รู้ว่าเพราะสภาพจิตใจหรือว่าเป็นเพราะไม่ได้กินข้าวกินปลา นางจึงเดินแทบไม่ไหว ทำได้เพียงคลานเข้าไป

ปั้นฉินรีบเข้าไปพยุง แต่สะใภ้ซ่งก็ตะเกียกตะกายล้มลุกคลุกคลานเข้าไปก่อนแล้ว เสียงร้องไห้คร่ำครวญดังก้องไปทั่วห้อง

ตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้น ในที่สุดสะใภ้ซ่งก็ร้องไห้ออกมา

ด้านหลังฉากกั้นลม สะใภ้ซ่งกำลังร้องไหโฮพลางกอบกุมมือข้างขวาของหลี่ต้าเสาเอาไว้

“ยังอยู่ ยังอยู่” นางเอ่ยพึมพำในลำคอ

บาดแผลส่วนใหญ่บนใบหน้าของหลี่ต้าเสาหายดีแล้ว ดวงตาก็สามารถลืมขึ้นได้แล้วเช่นกัน ทว่าน้ำตากลับไหลออกมาไม่หยุด

“ใช่ ยังอยู่” ปั้นฉินเอ่ยน้ำตาคลอ “โชคดีที่สะใภ้ซ่งเก็บมือมาด้วย ไม่เช่นนั้นหากกลับไปตามหาหรือว่าถูกฝังไปก่อนแล้ว คงไม่สำเร็จ”

สะใภ้ซ่งร้องไห้หนักกว่าเดิม หลี่ต้าเสาที่นอนราบอยู่บนพื้นยกมือข้างขวาที่ถูกพันด้วยผ้าขาวขึ้นมา ทว่ามือนั้นกลับไร้ความรู้สึก

“ขยับได้หรือไม่”

เสียงสั่นเครือของชายหนุ่มเอ่ยถาม

แค่เย็บมือต่อเข้าไปที่เดิมมิใช่เรื่องใหญ่ แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือ จะสามารถกลับไปมีความรู้สึกเช่นเดิมได้หรือไม่

“ตอนนี้ยังไม่ได้” ปั้นฉินตอบ “ต้องรอครึ่งเดือนกับอีกสิบวัน”

“แล้วจะเหมือนเมื่อก่อนหรือไม่” แม่ทัพหลิวเอ่ยถามลมหายใจหอบกระชั้น

ปั้นฉินชะงักไป

“เรื่องนั้น ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน” นางตอบ พูดจบก็นั่งคุกเข่าลงแล้วชี้นิ้วไปที่มือขวาของหลี่ต้าเสา “ท่านดูสิ ตอนนี้มองไปก็ดูเหมือนเดิมแล้ว อุ่นร้อน มีสีระเรื่อ เพียงแค่บวมเท่านั้นเอง”

นางเอ่ยพลางใช้นิ้วกดลงบนมือขวาของหลี่ต้าเสาอย่างแผ่วเบา

หัวใจของแม่ทัพหลิวแทบจะหยุดเต้นตาม

เขาเอื้อมมือออกไปอย่างไม่รู้ตัว จังหวะที่ปั้นฉินและสาวใช้กำลังเอ่ยห้ามปราบ เขาก็ได้สัมผัสมือนั้นแล้ว

ทั้งอุ่น! ทั้งนุ่ม!

ไม่ได้เย็นเฉียบขาวซีดเหมือนซากศพ!

มือนี้มีชีวิต! มีเลือดไหลเวียนหล่อเลี้ยง! ต่อมือได้จริงๆ หรือนี่!

“ออกไป ออกไป”

สองสาวใช้โมโหผลักเขากระเด็นออกไป

หากเป็นยามปกติแล้ว อย่าว่าแต่สาวใช้สองคนเลย แม้แต่ชายร่างยักษ์สองคนก็ผลักเขากระเด็นไม่ได้

แต่ตอนนี้แม่ทัพหลิวกับนิ่งเฉยปล่อยให้สองสาวใช้ผลักตัวเองออกไป ก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมา

ท่านชายโจวหกขมวดคิ้วจ้องเขาตาเขม็ง ยังไม่ทันได้พูดอะไร แม่ทัพหลิวก็ร้องไห้ออกมา ก่อนจะหันหลังวิ่งจากไป

“ยังอยู่ ยังอยู่”

เขาตะโกนโห่ร้องพลางวิ่งออกไปไกล

“ตกใจจนเป็นบ้าไปแล้วหรือ ไม่เคยพบเคยเห็น!” จินเกอร์เอ่ยพลางยู่ปาก

แต่เรื่องที่เกิดขึ้นนี้ก็ทำให้คนสะเทือนขวัญอยู่หรอก

ในใจของคนที่อยู่กลางลานบ้านคงกำลังพูดกับตัวเองว่า ทหารผู้นี้แปลกคนนัก

สวีเม่าซิวเองก็เดินเข้าไปดูอาการหลี่ต้าเสาในห้อง แม้ตนจะเคยพบเห็นปาฏิหาริย์การชุบชีวิตคนตายมาแล้ว แต่พอเจอเรื่องนี้ก็รู้สึกตกตะลึงไม่น้อย

“อีกสามวันข้าจะไปหาเจ้า” เฉิงเจียวเหนียงพูด

ภรรยาของหลี่ต้าเสานั่งบนรถม้า โค้งศีรษะให้แต่ไม่ได้พูดสิ่งใด

“เช่นนั้นพวกข้าขอตัวก่อน” สวีเม่าซิวพูดจบก็ขึ้นไปนั่งบนรถเช่นกัน “ข้าจะไปส่งเขา ข้ากับน้องห้าและน้องหกจะกลับมาที่นี่”

คราวนี้เป็นหลี่ต้าเสาที่รับเคราะห์ แต่ไม่รู้ว่าคราวหน้าจะเป็นผู้ใด ดังนั้นช่วงนี้พวกเขาต้องระวังตัวให้มากขึ้นกว่าเดิมนัก

“ที่นี่ปลอดภัยดี” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยพลางหันไปมองท่านชายโจวหก

ท่านชายโจวหกที่เอาแต่ยืนมือไพล่หลังอยู่ที่ระเบียงทางเดินตัวแข็งไปทั้งร่าง ที่สันหลังคล้ายกับว่ามีเปลวเพลิงกำลังแผดเผา

เพราะมีเขาอยู่ ที่นี่ถึงได้ปลอดภัยอย่างนั้นหรือ…

ท่านชายโจวหกพ่นลมออกจมูกฮึดฮัด ก่อนจะหันหน้ามาอย่างเกร็งๆ มือที่อยู่ด้านหลังก็ลูบเข้าหากันอย่างไม่รู้ตัว

“เจ้าเห็นมือของเขาแล้วหรือไม่” เฉิงเจียวเหนียงถาม

ท่านชายโจวหกเบนหน้าหนี

“มีอะไรน่าดูกัน” เขาเอ่ยท่าทางไม่แยแส

“มาสิ มาดู” เฉิงเจียวเหนียงยิ้มให้เขา ก่อนจะกวักมือเรียก

รอยยิ้มบางของหญิงสาวทอประกายภายใต้แสงอาทิตย์ ใบหน้าและแววตาที่เคยแข็งทื่อราวกับท่อนไม้นั้นเริ่มอ่อนโยนมีชีวิตขึ้นมาไม่น้อย

แม้น้ำเสียงยังคงแข็งกระด้างเช่นเดิม แต่เมื่อถูกเปล่งออกมาพร้อมกับรอยยิ้มแล้ว ยิ่งทำให้นางงดงามมากขึ้น

ท่านชายโจวหกใบหน้าสีแดงระเรื่อขึ้นมา เขาเบนหน้าหนีแต่กลับก้าวเดินเข้าไปตามคำเชิญชวน

หลี่ต้าเสาที่นั่งอยู่บนรถก็เขยิบออกมานั่งด้านนอก ก่อนจะโน้มตัวแล้วยื่นมือออกมา

ท่านชายโจวหกเดินเข้าไปเพียงไม่กี่ก้าวก็เห็นได้อย่างชัดเจน

“รู้สึกเช่นไรบ้าง” เฉิงเจียวเหนียงถาม

ราวกับเด็กน้อยที่ถูกอาจารย์คาดคั้นมิปาน ท่านชายโจวหกส่งเสียงฮึดฮัดอีกครั้ง

“ก็ดี” เขาเอ่ยเสียงขุ่นมัว

เฉิงเจียวเหนียงมองเขาก่อนจะเผยยิ้มบางออกมาอีกครั้ง

“แล้วเจ้ารู้สึกอย่างไร” นางถาม

ก็ตอบไปแล้วไม่ใช่หรือ เขารู้ว่านางนั้นเก่งกาจ ยอดเยี่ยมที่สุด!

ท่านชายโจวหกขมวดคิ้วมองเฉิงเจียวเหนียง

“ข้าเอามือที่ขาด ต่อได้แล้ว” เฉิงเจียวเหนียงพูดขณะมองมาที่เขา ก่อนจะย้ำอีกว่า “มือที่ขาดเชียวนะ”

มือที่ขาดยังต่อได้ นับประสาอะไรกับขาที่เป๋

ในหัวของท่ายโจวหกมีแต่เสียงอื้ออึง รู้สึกราวกับเปลวไฟกำลังแผดเผาจากปลายเท้าลามขึ้นมาจนถึงกลางกระหม่อน หายใจไม่ออกอย่างฉับพลัน

ร้ายกาจนัก! ร้ายกาจนัก!

“เฉิงเจียวเหนียง! เจ้าจะกลั่นแกล้งกันเกินไปแล้ว” ท่านชายโจวหกตะโกน สองมือกำแน่นอยู่หน้าลำตัว กระดูกทั้งร่างส่งเสียงดังกรอบแกรบ

……………………………………