ตอนที่ 111-3 สุนัขญาติผู้ใหญ่

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

หย่งจยาสำรวจมองเขา ในสนามแข่งม้า วิธีนี้เป็นวิธีสกปรกและน่าไม่อาย รังแต่จะทำให้คนรังเกียจ ทว่าชายหนุ่มกลับขยับริมฝีปากขึ้น

 

 

“ทหารย่อมไม่หน่ายกลอุบาย”

 

 

คำพูดนี้นอกจากบอกว่า ไม่ใช่เรื่องน่ารังเกียจแล้ว ยังยกย่องอวิ๋นหว่านชิ่นด้วย

 

 

หย่งจยารู้สึกเหมือนมีอะไรติดอยู่ในลำคอ แต่แล้วก็พูดไปตามความหมายของซย่าโหวซื่อถิง

 

 

“ก็ใช่น่ะสิ แพ้ก็คือแพ้ ก็แค่การแข่งขันครั้งหนึ่งเท่านั้น หลังจากผ่านเรื่องนี้ไป หย่งจยากลับรู้สึกสนใจในตัวคุณหนูอวิ๋นมากขึ้น เสด็จพี่ฉินอ๋องก็รู้นี่ว่า หย่งจยาชอบคบเพื่อน จึงฉวยโอกาสตอนที่คุณหนูอวิ๋นเดินออกจากปรัมพิธี ใช้ให้เฉี่ยวเย่ว์ไปเชิญนางมาคุยเป็นการส่วนตัว นึกไม่ถึงว่าการไปครั้งนี้ กลับทำให้รู้ว่าคุณหนูอวิ๋นนั้นร้ายกาจกว่าที่หย่งจยาคิดไว้จริงๆ”

 

 

ว่าแล้วก็หยุดพูด เหมือนอยากพูดแต่ก็หยุดอีก พอเห็นดวงตาตั้งคำถามของซย่าโหวซื่อถิงมองมา ค่อยพูดอย่างอ่อนโยน

 

 

“การไปครั้งนี้ นึกไม่ถึงว่าจะได้เห็นนางอยู่บริเวณหลังกระโจมกับพระมาตุลา…สองต่อสอง ที่แท้นอกจากพระสนมเอกกับไทเฮาที่ชื่นชอบนางแล้ว กระทั่งพระมาตุลาก็ยัง…รู้จักนางเป็นการส่วนตัว”

 

 

หึ ในที่สุดนางก็หาเจี่ยงยิ่นเจอจนได้ แถมยังพบหน้ากันแล้วด้วย ซย่าโหวซื่อถิงก้มหน้าก้มตาตรวจดูความเรียบร้อยของอุปกรณ์ธนูต่อ โดยไม่ขยับคิ้วแม้แต่น้อย ซ้ำยังหยิบคีมหนีบของขึ้นมา หนีบสายคันธนูและขันให้ตึง เหมือนฟังหูซ้าย ทะลุหูขวา ไม่แยแสสนใจ

 

 

ท่านหญิงหย่งจยาสังเกตทุกอากัปกิริยาของชายหนุ่มเงียบๆ ก่อนเติมเชื้อฟืนลงไป

 

 

“…เฉี่ยวเย่ว์ว่า ทั้งสองเหมือนไม่ได้รู้จักกันเพียงผิวเผิน เห็นกับตาว่าพระมาตุลา…” เสียงต่ำลงไปอีก “…ยืนสนิทแนบชิดกับคุณหนูอวิ๋น อีกทั้งยังจับแก้มคุณหนูอวิ๋นด้วย อุปนิสัยของพระมาตุลาเป็นอย่างไร เสด็จพี่ฉินอ๋องก็รู้ดีนี่ ตอนเป็นหนุ่มทรงอุทิศตนให้กับงานราชการ หลายปีมานี้ยิ่งไม่เข้าใกล้ผู้หญิง แต่วันนี้กลับดีแตก…”

 

 

คันธนูในมือถูกวางลงบนโต๊ะเสียงดัง ‘กึก’ แต่จิตใจที่หมองเศร้าของท่านหญิงหย่งจยากลับสว่างไสวขึ้น ดีใจที่ดึงเมฆหมอกออกไปได้ ผู้หญิงที่คลุกคลีอยู่กับผู้ชายมากหน้าหลายตา ไม่ว่าจะยุคสมัยไหน ก็ไม่มีใครชอบหรอก แต่นางดีใจได้ไม่ทันไร กลับได้ยินเสียงไม่สนใจใยดี พร้อมสีหน้าที่เย็นชาลงของชายหนุ่ม

 

 

“พอละ”

 

 

จับแก้ม? ยืนสนิทแนบชิด?

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงเริ่มรู้สึกเหมือนถูกหนอนกัดยิกๆ เข้าที่กระดูกอีก

 

 

เมื่อคืนชายหนุ่มอย่างเขาอุตสาห์ไปหาถึงที่ นางยังคร้านแม้แต่จะมอง เข้าใกล้หน่อยก็ผลักออกแล้ว แต่วันนี้กลางวันแสกๆ แท้ๆ กลับยอมให้ตาเฒ่าเจี่ยงนั่นลูบคลำ นางไม่รู้กฎข้อห้ามรึ

 

 

หย่งจยากัดริมฝีปากล่าง ขณะจ้องมองสีหน้าที่อึดอัดใจของซย่าโหวซื่อถิง แต่ในใจกลับรู้สึกดียิ่ง

 

 

“ถ้าเสด็จพี่ฉินอ๋องไม่ชอบ หย่งจยาก็ไม่พูดแล้ว”

 

 

“เรื่องแบบนี้ เมื่อยังไม่ได้ตรวจสอบให้แน่ชัด ไม่ควรพูดออกไปจริงๆ” เสียงเย็นยะเยียบขึ้น

 

 

ท่านหญิงหย่งจยาจึงพูดเสียงเบา “หย่งจยารู้สึกดีกับคุณหนูอวิ๋นอยู่แล้ว เรื่องแบบนี้จะพูดออกไปได้

 

 

อย่างไรกัน ความลับเหล่านี้ หย่งจยาพูดกับเสด็จพี่ฉินอ๋องเท่านั้น ต่อไปมันก็จะเป็นหมันในท้องหย่งจยา ไม่พูด

 

 

ให้ใครฟังอีกเป็นอันขาด”

 

 

พอซย่าโหวซื่อถิงเห็นนางให้คำมั่นสัญญา ก็ขรึมลง ไม่พูดอะไรอีก เพียงหันไปทางประตูแล้วตะโกน

 

 

“นำราชาสุนัขเข้ามา!”

 

 

ราชาสุนัข? ท่านหญิงหย่งจยาอึ้ง ยังไม่ทันหันมอง ม่านประตูก็สะบัดขึ้น ตามด้วยเสียงเห่าสั้นๆ สองครั้ง ซือเหยาอันจูงสุนัขป่าพันธุ์ผสมสีดำตัวหนึ่งเข้ามา

 

 

สุนัขตัวใหญ่ขนดำมันวาว ท่าทางน่าเกรงขาม ดวงตาดุดัน สูงเกือบเท่าเด็กชายอายุเจ็ดแปดขวบ กำยำล่ำสัน พอก้าวเข้ามาก็เห่า ทรงพลังยิ่ง สมแล้วที่ผู้คนเรียกขานมันว่า ‘ราชาสุนัข’

 

 

แต่พอมันเห็นชายหนุ่มในกระโจม ก็ทำท่าคล้ายเด็กน้อยอย่างไรอย่างนั้น กระโจนเข้าหา ร้องหงิงๆ หมอบอยู่แทบเท้าเขา แล้วอ้อน

 

 

ท่านหญิงหย่งจยานั่งอยู่ข้างโต๊ะยาว พอเห็นสุนัขท่าทางดุร้ายอยู่ใกล้ๆ กลับรู้สึกอึดอัดอยู่บ้าง ซือเหยาอันจึงยิ้ม แล้วว่า

 

 

“ท่านหญิงไม่ต้องกลัว ราชาสุนัขตัวนี้ ท่านอ๋องจะพาเข้าป่าไปล่าหมีด้วย ไม่กัดคนหรอก”

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงลูบหลังสุนัขตัวโปรด ความไม่สบายอกสบายใจค่อยๆ จางหายไป

 

 

ราชาสุนัขรู้สึกสบายเมื่อถูกเจ้าของลูบหลัง จึงสั่นหาง แล้วแลบลิ้นเลียรองเท้าขี่ม้าของเจ้าของ

 

 

พอเห็นว่าซย่าโหวซื่อถิงคล้ายกับชอบสุนัขตัวนี้มาก ท่านหญิงหย่งจยาก็ข่มความกลัวและความรังเกียจไว้ ก้าวเข้าหา ยื่นมือเข้าลูบหัวราชาสุนัขอย่างรวดเร็ว ยิ้มพลางว่า

 

 

“สุนัขของเสด็จพี่ฉินอ๋องน่าเกรงขามจริงๆ”

 

 

ราชาสุนัขไม่ชอบให้คนแปลกหน้าลูบ พอหนังหัวถูกหญิงสาวสัมผัส พลางได้กลิ่นฉุนของเครื่องประทินผิว จมูกที่ไวต่อกลิ่นก็จามออกมาอย่างแรง พอหันกลับมา ตาก็เป็นสีแดงเข้ม เกร็งคอไปด้านหน้า พร้อมส่งเสียงขู่ในลำคอ

 

 

ท่านหญิงหย่งจยาตกใจ ส่งเสียงอาออกมา แล้วรีบหดมือกลับ ก่อนจ้องมองญาติผู้พี่อย่างเศร้าๆ

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงไม่เห็นอาการหวาดกลัวของญาติผู้น้อง เอาแต่กลัวว่าราชาสุนัขจะถูกนางทำให้ตกใจ จึงนั่งยองๆ ลงลูบสุนัขตัวโปรดไปมาอีกครั้ง ก่อนหันไปถามซือเหยาอัน

 

 

“ให้อาหารแล้วหรือยัง” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความรักและเอาใจใส่

 

 

“เพิ่งให้กินเนื้อวัวไปสามขีด กับดื่มน้ำอีกนิดหน่อย” ซือเหย่าอันเกาศีรษะ “อาจรู้ว่าจะได้เข้าป่า จึงดีใจ เลยกินไปไม่มาก ทุกครั้งที่ราชาสุนัขรู้ว่าจะได้ออกนอกสถานที่ก็เป็นเช่นนี้ จนเคยชินแล้ว”

 

 

ไม่กินได้อย่างไร ไม่มีแรงกันพอดี

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงจึงหยิบกล่องไม้เล็กๆ บนโต๊ะมาไว้ในมือ หยิบห่อผ้าสีแดงที่คล้ายห่อของชิ้นหนึ่งไว้ออกมา แล้วโยนไปข้างหน้าโดยไม่แม้แต่จะคิด ก่อนใช้นิ้วเป่าปาก

 

 

ราชาสุนัขหันกาย กระโจนตัวลอย งับห่อผ้าสีแดงนั้นไว้ ดมฟุดฟิด แล้วใช้คมเขี้ยวกัด ดึงผ้าสีแดงออก เผยให้เห็นชิ้นเนื้อสีขาวๆ มันหอนออกมาทีหนึ่ง ค่อยงับชิ้นเนื้อครึ่งชิ้นไว้ในปาก แล้วเคี้ยว

 

 

“ช้าๆ ก็ได้ เด็กน้อย” ซย่าโหวซื่อถิงหัวเราะ

 

 

พอท่านหญิงหย่งจยาเห็นซย่าโหวซื่อถิงดูแลเอาใจใส่ราชาสุนัขประดุจญาติผู้ใหญ่ ก็รู้สึกอิจฉาอยู่บ้าง แต่กลับเงยหน้าขึ้น แล้วยิ้มหวาน พยายามชวนคุย

 

 

“เสด็จพี่ฉินอ๋องป้อนอะไรให้กินน่ะ”

 

 

คราวนี้ซย่าโหวซื่อถิงตอบกลับทันที “เนื้อหมู”

 

 

เนื้อหมู? ทำไม…ไม่ค่อยจะเหมือนเลย? ท่านหญิงหย่งจยาเห็นเขาปิดปากแน่น คล้ายอยากป้อนอาหารสุนัขเงียบๆ จึงไม่พูดอะไรต่อ ได้แต่ขยับเก้าอี้เข้ามาใกล้โต๊ะแคบยาวอีกนิด