ตอนที่ 120-1 ขวัญผวา

ชายาเคียงหทัย

“ทูลไทเฮา ตำหนักติ้งอ๋องมิได้คิดที่จะจัดงานมงคลเพคะ”

 

 

เมื่อนางพูดเช่นนี้ออกไป ภายในตำหนักใหญ่ก็เงียบกริบลงทันที สายตาทุกคู่จับจ้องมาที่เยี่ยหลี สายตาที่ดุดันและร้อนแรงที่สุดคงหนีไม่พ้นเฮ่อเหลียนฮุ่ยหมิ่นและหลิ่วกุ้ยเฟยที่นั่งอยู่ทางด้านบน

 

 

เฮ่อเหลียนฮุ่ยหมิ่นดูจะคิดไม่ถึงว่านางจะถึงขั้นกล้าปฏิเสธการแต่งงานต่อหน้าชนชั้นสูงทั้งหลายและไทเฮาเช่นนี้ หากเป็นเช่นนี้คงทำให้นางขี่หลังเสือและยากที่จะลงแล้ว หากตำหนักติ้งอ๋องยืนยันว่าอย่างไรก็จะไม่ยอมให้แต่งงานกับเฮ่อเหลียนฮุ่ยหมิ่นแล้ว นางคงไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ใดเป็นแน่

 

 

เยี่ยหลียิ้มบางๆ ตอบกลับสายตาที่แฝงไปด้วยความโกรธแค้นและตกใจของเฮ่อเหลียนฮุ่ยหมิ่น คงมิใช่เพราะปกตินางมีท่าทีสุภาพเกินไป จนทำให้คุณหนูเฮ่อเหลียนคิดว่านางไม่กล้าปฏิเสธการแต่งงานกระมัง

 

 

“ชายาติ้งอ๋อง เจ้าพูดอันกัน” ไทเฮาขมวดคิ้วจ้องเยี่ยหลีด้วยความไม่พอใจ อันที่จริงในยามนี้ไทเฮาไม่อยากมีความข้องเกี่ยวใดๆ กับตำหนักติ้งอ๋องทั้งสิ้น ตั้งแต่บุตรชายคนเล็กยกทัพก่อการกบฏโดยไม่แม้แต่จะบอกนางสักคำ จนทำให้นางต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นนี้ นางก็รู้แล้วว่าบุตรชายคนนี้พึ่งพาไม่ได้ แต่สตรีที่อยู่ในวัง หากไม่มีบุตรชายให้พึ่งพา ต่อให้ตนมีความสามารถถึงขึ้นพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินได้ก็ไม่มีประโยชน์ ถึงแม้ยามนี้อิทธิพลของนางจะไม่สามารถใช้ได้ แต่ยังโชคดีที่ฮองเฮาให้ความเคารพนางมาโดยตลอด ดังนั้นยามนี้นางจึงเพียงอยากใช้ชีวิตอยู่ในวังอย่างสบายๆ เท่านั้น น่าเสียดายก็เพียง นางอยากถอยแต่บุตรชายฮ่องเต้ของนางกลับไม่อยากให้นางถอย ดังนั้นเมื่อม่อจิ่งฉีเจอตะปูทางฝั่งม่อซิวเหยาเข้า จึงคิดอยากดึงนางออกมาให้จัดการทางชายาติ้งอ๋องแทน ยามนี้เมื่อไทเฮาได้ออกมาสัมผัสด้วยตนเองจึงทำให้นางเห็นอันใดได้ชัดเจนขึ้น และย่อมเข้าใจว่าชายาติ้งอ๋องมิใช่คนที่จูงจมูกได้ง่ายนัก ถึงแม้นี่จะไม่เหมือนเป็นการผิดใจกับเยี่ยหลี แต่นางในยามนี้ก็มิอาจทำได้ตามใจและไม่สามารถเอาตนเองลงมาจัดการเรื่องเหล่านี้ได้อีกแล้ว

 

 

เยี่ยหลีอมยิ้มเหลือบมองสวีฮูหยินที่นั่งห่างไปไม่ไกลนัก ก่อนหันกลับมามองไทเฮาพร้อมเอ่ยเรื่อยๆ แต่หนักแน่นว่า “ทูลไทเฮา ตำหนักติ้งอ๋องไม่คิดที่จะจัดงานมงคลในเร็วๆ นี้ อันที่จริง ขอเพียงข้ายังเป็นชายาติ้งอ๋องอยู่ ท่านอ๋องจะไม่มีทางแต่งงานรับภรรยารองเข้าตำหนักอย่างแน่นอนเพคะ”

 

 

ภายในตำหนักใหญ่เกิดเสียงฮือฮาขึ้นทันที

 

 

“ชายาติ้งอ๋อง เจ้าบังอาจนัก!” องค์หญิงเจาหยางถลึงตัวลุกขึ้น ชี้หน้าเยี่ยหลีพร้อมเอ่ยว่า “ตัวเจ้าเป็นสตรีแต่กลับเหิมเกริมขัดขวางไม่ให้ติ้งอ๋องแต่งชายารอง ช่างไร้ศีลธรรมของผู้เป็นภรรยานัก ภรรยาที่เต็มไปด้วยความหึงหวงเช่นนี้จะเป็นคู่ที่เหมาะสมกับติ้งอ๋องได้อย่างไร” บุตรสาวแสนรักเพียงคนเดียวขององค์หญิงเจาเหรินถูกส่งไปแต่งงานเพื่อสานสัมพันธ์ยังเป่ยหรง ในใจยังนึกโกรธไม่หาย ปกตินางก็ไม่พอใจเยี่ยหลีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ครานี้จึงย่อมเป็นคนแรกที่ลุกขึ้นมาแสดงความไม่พอใจ

 

 

เยี่ยหลีปรายตามององค์หญิงเจาเหรินอย่างเกียจคร้าน ดูเหมือนองค์หญิงเจาเหรินจะไม่ถูกชะตานางตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ไม่สิ ควรบอกว่าองค์หญิงเจาเหรินไม่ถูกชะตากับม่อซิวเหยาอย่างมาก ถึงได้พาลมาไม่ถูกชะตากับนางด้วย ตามปกติไม่มีเรื่องอันใด เยี่ยหลียอมอ่อนให้นางก็ไม่มีอันใดหรอก แต่เรื่องในวันนี้มิใช่ว่านางยอมให้แล้วจะปล่อยผ่านไปได้ ดังนั้นจึงไม่คิดที่จะรู้สึกผิดต่อนาง

 

 

เยี่ยหลีเพียงยิ้มน้อยๆ แล้วกล่าวว่า “องค์หญิงระวังคำพูดสักหน่อยจะดีกว่า ท่านอ๋องของข้าไม่ยินดีแต่งภรรยารองเข้าตำหนัก ข้าผู้เป็นภรรยา สามีว่าอย่างไรก็ต้องว่าอย่างนั้น หรือว่าข้าต้องร่วมมือกับคนนอกมาบีบบังคับท่านอ๋องอย่างนั้นหรือ ในเมื่อองค์หญิงพูดถึงเรื่องศีลธรรมของผู้เป็นภรรยา แล้วท่านรู้หรือไม่ว่า เมื่อแต่งงานออกเรือนไปแล้วต้องเชื่อฟังสามี”

 

 

สีหน้าองค์หญิงเจาเหริน เดี๋ยวคล้ำเดี๋ยวซีด ในเมืองหลวงมีผู้ใดไม่รู้บ้างว่าองค์หญิงเจาเหรินไม่มีบุตรชาย ซ้ำยังคอยควบคุมพระสวามีไม่ให้ร่วมห้องกับภรรยารอง จนทำให้พระสวามีที่ล่วงเข้าวัยสี่สิบชันษาแล้ว ก็ยังไม่มีบุตรชายสักคนเดียว ยังดีที่พระสวามีของนางเป็นเพียงบุตรชายสายรอง หากเป็นบุตรชายสายหลักคนโต เกรงว่าต่อให้องค์หญิงสูงส่งเพียงใด ก็คงมิอาจต้านทานแรงกดดันจากความไม่พอใจของบรรดาชนชั้นสูงไปได้ ยามนี้เมื่อเรื่องศีลธรรมของศรีภรรยาที่ดีหลุดออกมาจากปากของนาง จึงฟังดูย้อนแย้งอยู่ไม่น้อย

 

 

องค์หญิงเจาเหรินส่งเสียงเหอะด้วยสีหน้าบูดบึ้ง “ต่อให้เป็นเช่นนั้น แต่เจ้ามีฐานะเป็นชายาติ้งอ๋อง ก็ควรนึกถึงทายาทของตำหนักติ้งอ๋อง ช่วยแผ่กิ่งก้านสาขาให้ตำหนัก ถึงแม้ท่านอ๋องจะเลอะเลือนไปชั่วขณะจนไม่ยอมแต่งภรรยารอง แต่เจ้าที่เป็นชายาก็ไม่รู้จักเอ่ยโน้มน้าวใจท่าน เช่นนี้ก็ไม่ถือว่ามีศีลธรรมเช่นกัน”

 

 

เยี่ยหลีเหลือบสายตาขึ้น เอ่ยพร้อมยิ้มน้อยๆ ว่า “ข้าพูดเมื่อใดกันว่าตนเองเป็นภรรยาที่มีศีลธรรม หากต้องเป็นภรรยาที่มีศีลธรรมแล้ววันๆ ต้องอยู่ว่างๆ คอยหาอนุงามมาปรนเปรอสามี เช่นนั้นก็ขออภัยด้วย ข้าไม่ใช่ภรรยาที่มีศีลธรรมจริงๆ และไม่คิดที่จะมีศีลธรรมอีกด้วย”

 

 

“เจ้า…เจ้า…” องค์หญิงเจาเหรินรู้สึกโกรธไม่น้อย ได้แต่ชี้นิ้วอั่นสั่นเทามายังเยี่ยหลีอยู่เป็นนานอย่างพูดอันใดไม่ออก เยี่ยหลีก็ไม่หลบสายตาแม้แต่น้อย เพียงอมยิ้มพร้อมเลิกคิ้วขึ้นมองนาง

 

 

ฮองเฮาที่นั่งอยู่บนตำหนัก เมื่อเห็นองค์หญิงโกรธจนแทบจะเป็นลมแหล่มิเป็นลมแหล่ ก็ปรากฏแววขบขันในดวงตา ก่อนเอ่ยขึ้นว่า “เอาล่ะ มีอันใดค่อยๆ พูดกันก็ได้ องค์หญิงอย่าได้มีโทสะไป ชายาติ้งอ๋อง ผู้อาวุโสสั่งสอน มิอาจเสียมารยาทได้”

 

 

เยี่ยหลีพยักหน้า เอ่ยด้วยความเคารพว่า “ฮองเฮาสั่งสอนถูกแล้วเพคะ เยี่ยหลีจะจำคำสอนของผู้อาวุโสไว้ใส่ใจ เอาองค์หญิงเป็นแบบอย่าง มิกล้าขัดขืนอย่างแน่นอนเพคะ”

 

 

ไทเฮาทรงขมวดคิ้วส่งเสียงเหอะเบาๆ มองหน้าเยี่ยหลีพร้อมเอ่ยว่า “ชายาติ้งอ๋อง ที่ฮ่องเต้พระราชทานงานสมรสให้กับคุณหนูเฮ่อเหลียนครานี้ ก็เป็นทั้งเรื่องในบ้านและเรื่องของแคว้น ชายาติ้งอ๋องควรเห็นแก่แว่นแคว้นเป็นสำคัญ มิอาจดื้อรั้นทำตัวเหลวไหลได้”

 

 

ในใจเยี่ยหลีอดนึกโกรธขึ้นไม่ได้ คนพวกนี้เป็นอันใดกัน หากว่าบุรุษหลายใจเองก็ว่าไปอย่าง แต่สตรีเหล่านี้กลับไม่ยอมหยุดที่จะยัดเยียดสตรีเข้ามาให้ตำหนักของผู้อื่น อย่างนี้ก็เท่ากับเป็นการบังคับให้บุรุษต้องหลายใจอย่างนั้นสิ พวกนางชอบให้ตนเองเป็นศรีภรรยาที่มีศีลธรรมกันนัก แล้วยังต้องมาบังคับให้นางเป็นไปกับเขาด้วยอีกคนอย่างนั้นหรือ

 

 

เยี่ยหลีลุกยืนขึ้น เอ่ยด้วยน้ำเสียงเยาะหยันว่า “ไทเฮาทรงล้อเล่นแล้ว การแต่งงานเพื่อสานสัมพันธ์ระหว่างแคว้นนั้นจะทำโดยสะเพร่าเช่นนี้ได้อย่างไร แรกเริ่มเดิมที เป่ยหรงอ๋องมิเคยเอ่ยว่าจะทรงส่งคนมาแต่งงานเพื่อสานสัมพันธ์กับตำหนักติ้งอ๋องมาก่อน หากเป็นเรื่องระหว่างแว่นแคว้น ไม่รู้ว่าหนังสือแต่งงานเพื่อสานสัมพันธ์จากแคว้นเป่ยหรงนั้นอยู่ที่ใด หากไม่มีหนังสือจากแคว้น เช่นนั้นก็คงมีสักคนที่ตัดสินใจด้วยตนเอง ไทเฮาทรงคิดว่าตำหนักติ้งอ๋องเป็นสถานที่เช่นไร ใช่สถานที่ที่ผู้ใดคิดจะเข้าก็เข้าได้หรือเพคะ คุณหนูเฮ่อเหลียนอยากเข้ามาอยู่ในตำหนักติ้งอ๋องนั้นได้ ตำแหน่งสาวใช้ปัดกวาดในตำหนักติ้งอ๋องยังพอเหลือว่างอยู่ กับบุตรบุญธรรมที่ฐานะไม่เป็นที่แน่ชัดธรรมดาๆ คนหนึ่งคิดอยากเข้าตำหนักติ้งอ๋อง คุณหนูเฮ่อเหลียน ช่วยบอกถึงฐานะที่ชัดเจนของท่านก่อนแล้วค่อยมาพูดกับข้าเถิด!”

 

 

เฮ่อเหลียนฮุ่ยหมิ่นลุกยืนขึ้น ใบหน้าเรียวที่งดงามเต็มไปด้วยความโกรธขึ้ง “ถึงแม้เจ้าจะเป็นชายาติ้งอ๋อง แต่ข้าก็เป็นสตรีชั้นสูงของเป่ยหรง ใช่คนที่เจ้าจะบังอาจดูถูกได้เช่นนี้หรือ!”

 

 

“สตรีชนชั้นสูงของเป่ยหรงหรือ” เยี่ยหลีเลิกคิ้วขึ้นอย่างดูแคลน “ข้าไม่เคยได้ยินว่าสตรีชั้นสูงผู้ใดมีฐานะเป็นบุตรสาวบุญธรรมมาก่อน สตรีชนชั้นสูงที่แม้แต่บิดามารดาบังเกิดเกล้าเป็นผู้ใดก็มิอาจเปิดเผยได้อย่างนั้นหรือ”

 

 

ทุกคนในที่นั้นต่างเข้าใจความหมายในคำพูดของเยี่ยหลีเป็นอย่างดี ในต้าฉู่ ถึงแม้ฐานะของบิดาบุญธรรมของตนจะสูงส่งกว่าฐานะของบิดาบังเกิดเกล้ามากเพียงใด แต่เมื่อต้องแนะนำตัวกับผู้อื่นก็จะต้องเอ่ยถึงบิดามารดาบังเกิดเกล้าของตนก่อน อย่างมากตอนท้ายค่อยเสริมว่าตนเป็นบุตรสาวบุญธรรมของผู้ใด แต่เฮ่อเหลียนฮุ่ยหมิ่นกลับไม่เคยเอ่ยถึงฐานะของบิดามารดาบังเกิดเกล้าของตนเลย ซึ่งนั่นสามารถบอกได้ว่าฐานะของบิดามารดาบังเกิดเกล้าของเฮ่อเหลียนฮุ่ยหมิ่นคงจะมิได้มีฐานะต่ำธรรมดาๆ แต่คงจะต่ำต้อยมากทีเดียว

 

 

และยิ่งเมื่อนึกถึงธรรมชาติคนเป่ยหรง ชนชั้นสูงของเป่ยหรงที่มีรูปลักษณ์องอาจผึ่งผายอย่างเยียหลี่ว์เหยี่ยนั้นมีไม่มากนัก ชนชั้นสูงของเป่ยหรงโดยมาก ในสายตาของคนต้าฉู่แล้วไม่ถือว่าเป็นคนหน้าตาดี ในทางกลับกัน คนเป่ยหรงที่หน้าตาดีกลับเป็นชนชั้นทาส หรือก็คือคนจากแคว้นอื่นที่ถูกจับไปขายยังเป่ยหรง และมีจำนวนมากที่เป็นทายาทของคนต้าฉู่

 

 

ดังนั้นที่เฮ่อเหลียนฮุ่ยหมิ่นไม่เอ่ยถึงฐานะของบิดามารดาบังเกิดเกล้าของตนนั้น จึงมิอาจไม่ทำให้นึกสงสัยว่านางเป็นทายาทของทาสในเป่ยหรงหรือไม่ หากเป็นเช่นนั้นจริง แล้วตำหนักติ้งอ๋องเกิดรับนางเข้าตำหนัก ต่อให้เป็นอนุก็คงเป็นเรื่องที่น่าขบขันอย่างใหญ่หลวงเป็นแน่

 

 

สายตาที่คุณหญิงชนชั้นสูงทั้งหลายมองเฮ่อเหลียนฮุ่ยหมิ่นมีแววประหลาด ในแววตาประหลาดนั้นยังมีความรังเกียจและดูแคลนผสมอยู่ด้วย ทาสในเป่ยหรงนั้นมีฐานะต่ำต้อยเสียยิ่งกว่าบ่าวไพร่ในต้าฉู่เสียอีก ไม่เพียงจะสั่งฆ่าได้ตามใจเท่านั้น แต่ยังต้องทำงานกุลีที่คนทั่วไปไม่ยินดีจะทำอีกด้วย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเบี้ยหวัดเลย อีกทั้งทาสหญิงโดยมากก็มักถูกผู้เป็นนายข่มเหงและทารุณเอาตามใจอีกด้วย

 

 

เฮ่อเหลียนฮุ่ยหมิ่นเองเป็นคนฉลาด ย่อมรับรู้ได้ถึงสายตาของทุกคู่ที่มองนางเปลี่ยนไป สายตาที่มองเยี่ยหลีจึงดูโกรธแค้นขึ้นอีกหลายส่วน

 

 

ไทเฮามองเฮ่อเหลียนฮุ่ยหมิ่นด้วยความสับสน นางเองก็ไม่รู้ว่าฐานะที่แท้จริงของเฮ่อเหลียนฮุ่ยหมิ่นเป็นเช่นไร หากเป็นอย่างที่เยี่ยหลีว่าจริง และหากฐานะที่แท้จริงของเฮ่อเหลียนฮุ่ยหมิ่นแพร่ออกไป คงมีแต่จะทำให้ราชสำนักไม่พอใจต่อการพระราชทานงานสมรสครานี้ของฮ่องเต้ และอาจถึงขั้นทำให้กองทัพคิดว่า ฮ่องเต้ตั้งพระทัยที่จะดูหมิ่นตำหนักติ้งอ๋องเป็นแน่