ตอนที่ 120-2 ขวัญผวา

ชายาเคียงหทัย

“เกรงว่าชายาติ้งอ๋องคงจะคิดมากไปแล้ว ในเมื่อเป่ยหรงมีความสัมพันธ์ที่ดีกับต้าฉู่ของพวกเรา ย่อมไม่มีทางไม่เข้าใจถึงธรรมเนียมของต้าฉู่ สตรีที่ส่งมาแต่งงานเพื่อสานสัมพันธ์จึงย่อมเป็นสตรีที่มีประวัติใสสะอาด เชื่อว่าคุณหนูเฮ่อเหลียนคงจะสูญเสียบิดามารดาบังเกิดเกล้าไปตั้งแต่เล็กๆ และเติบโตมาในจวนของท่านแม่ทัพใหญ่เฮ่อเหลียน จึงทำให้เคยชินเช่นนั้นกระมัง”

 

 

เดิมทีเยี่ยหลีก็มิได้คิดจะกัดเรื่องฐานะของเฮ่อเหลียนฮุ่ยหมิ่นไม่ปล่อยอยู่แล้ว เพราะหากชาติกำเนิดของเฮ่อเหลียนฮุ่ยหมิ่นต่ำต้อยจริง และหากข่าวแพร่ออกไปก็ไม่มีข้อดีต่อตำหนักติ้งอ๋องเลย

 

 

เยี่ยหลีลุกยืนขึ้น หันมองเฮ่อเหลียนฮุ่ยหมิ่น ก่อนเงยหน้าขึ้นเอ่ยกับไทเฮาว่า “ไทเฮาเพคะ หม่อมฉันได้ประกาศไว้ที่นี้อย่างชัดเจนแล้ว หากท่านอ๋องไม่รับปากว่าจะแต่งงานรับชายารองเข้าตำหนักด้วยตนเอง หม่อมฉันก็จะไม่เห็นด้วยที่จะรับผู้ใดเข้าตำหนักอย่างแน่นอนเพคะ”

 

 

ไทเฮานึกหงุดหงิดในพระทัย หากติ้งอ๋องพูดง่ายเช่นนั้น พวกนางจะเรียกชายาติ้งอ๋องเข้ามาพูดคุยเช่นนี้ไปไย “ชายาติ้งอ๋อง ฝ่าบาทได้มีราชโองการออกมาแล้ว หรือว่าเจ้าไม่รู้ว่าราชโองการมิอาจขัด หรือว่าเจ้าอยากให้ฝ่าบาททรงกลืนน้ำลายพระองค์เองเรียกคืนราชโองการอย่างนั้นหรือ”

 

 

เยี่ยหลียกยิ้ม เชิดหน้าขึ้นเอ่ยว่า “เช่นนั้นก็คงเหลือเพียงทางเดียว ฝ่าบาทและไทเฮาได้โปรดมีราชโอการสั่งประหารหม่อมฉันเสียเถิดเพคะ หากหม่อมฉันไม่อยู่แล้ว ตำแหน่งพระชายาก็จะว่างลง ท่านอ๋องย่อมสามารถแต่งชายารองได้แล้วเพคะ ถึงยามนั้นท่านอ๋องจะแต่งงานหรือรับผู้ใดเข้าตำหนักหม่อมฉันก็คงทำอันใดไม่ได้แล้ว”

 

 

“ชายาติ้งอ๋อง!” ไทเฮาทรงพิโรธจัด เยี่ยหลียังคงสีหน้าราบเรียบไม่สั่นไหวเลยแม้แต่น้อย

 

 

ไทเฮายิ้มเย็นด้วยความโกรธจัด “หากอย่างไรข้าก็จะต้องให้คุณหนูเฮ่อเหลียนแต่งเข้าตำหนักติ้งอ๋องให้ได้เล่า”

 

 

สีหน้าเยี่ยหลีมีแววยิ้มเยาะเล็กน้อย ในมือมีประกายของของมีคนปรากฏขึ้น “เช่นนั้นเชื่อว่าไทเฮาคงไม่ทรงถือ หากตำหนักติ้งอ๋องจะจัดงานมงคลและงานศพไปพร้อมๆ กัน หม่อมฉันมั่นใจว่า งานศพคงจะครื้นเครงกว่างานมงคลมากนักเพคะ”

 

 

ทุกคนที่นั่งอยู่ต่างอดสูดหายใจเข้าลึกๆ ไม่ได้ เมื่อเห็นประกายมีดสั้นในมือเยี่ยหลีแล้ว ชนชั้นสูงบางคนที่มีใจนึกอยากให้บุตรสาวบ้านตนแต่งเข้าตำหนักติ้งอ๋อง ต่างก็ล้มเลิกความหวังของตนลงทันที ต่อให้บุตรสาวสายรองที่ไม่เป็นที่รักของตระกูล ไปแต่งเข้าตระกูลที่ไม่ถือว่าดีนัก อย่างไรก็ยังพอช่วยเหลือตระกูลเดิมได้บ้าง แต่หากแต่งเข้าตำหนักติ้งอ๋องแล้ว ไม่เพียงแต่จะผิดใจกับชายาติ้งอ๋อง แต่อาจถือเป็นกรรมอย่างหนึ่งเลยก็เป็นได้ พวกนางเหลือบมองสตรีที่ยังคงมีรอยยิ้มพิมพ์ใจอยู่บนใบหน้า ต่างไม่กล้านึกสงสัยว่าที่นางพูดเมื่อครู่เป็นเพียงการล้อเล่นเท่านั้น

 

 

เยี่ยหลีอมยิ้มกวาดตามองทุกคนที่นั่งอยู่ ก่อนหยุดลงที่เฮ่อเหลียนฮุ่ยหมิ่น ยิ้มพร้อมเอ่ยกับนางว่า “ว่าอย่างไร คุณหนูเฮ่อเหลียน ยังยืนยันที่จะเข้าตำหนักติ้งอ๋องหรือไม่”

 

 

เฮ่อเหลียนฮุ่ยหมิ่นลอบถอนใจ มองเยี่ยหลีอย่างไม่ยอมแพ้ “หากพระชายาต้องการที่จะสังหารข้า เกรงว่าท่านคงไม่มีความสามารถพอ คิดว่ามีดสั้นธรรมดาๆ จะทำอันใดข้าได้อย่างนั้นหรือ”

 

 

สตรีของเป่ยหรงมีผู้ใดบ้างที่มิได้โตมากับการการใช้มีดใช้กระบี่บนหลังม้า ถึงแม้ชาติกำเนิดของเฮ่อเหลียนฮุ่ยหมิ่นจะต่ำไปสักหน่อย แต่ก็ได้รับการเลี้ยงดูจากเฮ่อเหลียนเจินมาตั้งแต่เล็ก เรื่องการต่อสู้นางย่อมไม่อ่อนด้อย นางเอื้อมมือไปคว้าเอาดาบวงพระจันทร์ที่เก็บอยู่ในฝักที่ประดับตกแต่งไปด้วยอัญมณีที่นางพกติดตัวอยู่ตลอดเวลา ก่อนหันดาบเล่มนั้นไม่ทางเยี่ยหลี

 

 

“คุณหนูเฮ่อเหลียน ต่อหน้าไทเฮาเจ้าชักดาบตามใจชอบเช่นนี้ได้เยี่ยงไร ยังไม่เก็บลงอีก” ฮองเฮาขมวดคิ้วเอ่ยเสียงเข้มขึ้น

 

 

หลิ่วกุ้ยเฟยที่อยู่อีกด้านหนึ่งเอ่ยขึ้นเรียบๆ ว่า “เมื่อครู่ชายาติ้งอ๋องชักมีดออกมาไม่เห็นฮองเฮาทรงว่าอันใดเลยนะเพคะ”

 

 

ฮองเฮายิ้มน้อยๆ “น้องสาวคงลืมไปกระมัง ว่าองค์ปฐมฮ่องเต้ทรงอนุญาตให้ติ้งอ๋องและชายาติ้งอ๋องพกมีดเข้าวังหลวงได้”

 

 

หลิ่วกุ้ยเฟยส่งเสียงเหอะพร้อมสะบัดหน้าไปไม่สนใจฮองเฮาอีก ฮองเฮาเองก็มิได้ใส่ใจจะเอาความกับนาง เพียงยิ้มและปล่อยผ่านไป

 

 

เยี่ยหลีมองเฮ่อเหลียนฮุ่ยหมิ่นที่ถือดาบวงพระจันทร์ที่ประดับประดาอย่างหรูหราชี้มาที่นาง ก่อนยกมุมปากขึ้นยิ้ม

 

 

เฮ่อเหลียนฮุ่ยหมิ่นขมวดคิ้ว เอ่ยถามว่า “ท่านยิ้มอันใด”

 

 

เยี่ยหลีเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “จะว่าไป…สตรีที่จ้องท่านอ๋องของข้าตาเป็นมันนั้นก็มีอยู่ไม่น้อยเลยนะ วันนี้ ข้าจะจัดการเจ้าก่อนก็แล้วกัน!”

 

 

“อวดดีไม่ละอายเอาเสียเลย!” เฮ่อเหลียนฮุ่ยหมิ่นหัวเราะเสียงเย็นอย่างดูแคลน ก่อนพุ่งดาบวงพระจันทร์ในมือกวัดแกว่งตรงมาทางเยี่ยหลี เยี่ยหลีเบี่ยงตัวหลบไปด้านข้าง เฮ่อเหลียนฮุ่ยหมิ่นไกวดาบในมือเข้าใส่นางอย่างไม่ลดละ ไม่เสียแรงที่เฮ่อเหลียนฮุ่ยหมิ่นเป็นสตรีที่เติบโตมาในพื้นที่ที่มีทุ่งหญ้าขนาดใหญ่ เมื่อเทียบกับสตรีของจงหยวนแล้วเพลงดาบของนางดุดันและมีพลังกว่ามากนัก

 

 

เยี่ยหลีปล่อยให้นางไกวดาบไปก่อนสิบกว่ากระบวนท่าถึงได้หัวเราะเสียงใสขึ้น “คุณหนูเฮ่อเหลียนแสดงฝีมือพอหรือยัง ต่อไปตาข้าบ้างแล้ว” เมื่อเทียบกับกระบวนท่าที่ดูสง่างามของเฮ่อเหลียนฮุ่ยหมิ่นแล้ว ท่าทางของเยี่ยหลีดูธรรมดากว่ามาก ทุกคนแม้แต่ดูก็ยังดูไม่ออก เห็นเพียงเยี่ยหลีเคลื่อนตัวไปด้านหน้า มือหนึ่งคว้ามือเฮ่อเหลียนฮุ่ยหมิ่นที่ไกวมาทางนางไว้ ก่อนยกขาขึ้นเตะขาของนางที่กำลังเตะเข้ามาออกไป ประกายคมมีดในมืออีกข้างหนึ่งพุ่งตรงไปยังหน้าอกของเฮ่อเหลียนฮุ่ยหมิ่นอย่างไม่เกรงใจ

 

 

“ชายาติ้งอ๋อง ยั้งมือด้วย!” ไทเฮาและฮองเฮาเอ่ยร้องขึ้นพร้อมกัน

 

 

เมื่อเฮ่อเหลียนฮุ่ยหมิ่นรู้ตัวว่าตนหลบมีดของเยี่ยหลีไม่พ้น จึงได้แต่หลับตาลงรอความตาย นางไม่อยากยอมรับ ด้วยเพราะศิลปะการต่อสู้ของตนถือว่าเป็นเลิศในหมู่สตรีของเป่ยหรงแล้ว แต่กลับมาพ่ายแพ้ให้กับสตรีของต้าฉู่เสียได้ นางยังไม่ทันดูกระบวนท่าของอีกฝ่ายอย่างชัดๆ เลยด้วยซ้ำ แต่สิ่งเหล่านี้ก็ยังไม่สำคัญ เพราะต่อให้นางไม่อยากยอมรับ แต่ในเมื่อนางแพ้แล้ว ก็มีเพียงความตายเท่านั้นที่รอนางอยู่

 

 

ผ่านไปครู่หนึ่ง นางกลับไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดอย่างที่นางคิด เฮ่อเหลียนฮุ่ยหมิ่นค่อยๆ ลืมตาขึ้นด้วยความสงสัย กลับเห็นเพียงเยี่ยหลีที่ผลักนางออกอย่างไม่เกรงใจ แล้วเก็บมีดสั้นในมือลงด้วยท่าทีสบายๆ

 

 

นางเพิ่งรอดจากประตูยมโลกมาได้ แต่เฮ่อเหลียนฮุ่ยหมิ่นยังคงเรียกสติกลับมาไม่ได้ นางรับรู้ได้ว่าเมื่อสักครู่ชายาติ้งอ๋องมิได้ตั้งใจเพียงขู่นางเท่านั้น แววสังหารที่ส่งมาเมื่อครู่ทำให้นางรับรู้อย่างชัดเจนว่า เมื่อครู่ตนได้รักษาชีวิตกลับมาได้แล้วจริงๆ

 

 

เมื่อถูกทำลายความมั่นใจเช่นนี้ เฮ่อเหลียนฮุ่ยหมิ่นจึงพูดไม่ออกอยู่เป็นนาน ได้แต่ยืนสติหลุดอยู่กลางตำหนักใหญ่

 

 

ไทเฮาทรงโกรธจนหน้าเขียวคล้ำ ประทับยืนขึ้นก่อนเอ่ยว่า “ชายาติ้งอ๋องเจ้าช่างบังอาจนัก! เอาล่ะ…ข้าแก่แล้ว คงจัดการเรื่องเหล่านี้ไม่ไหวแล้ว ฮองเฮา เรื่องต่อจากนี้ข้ายกให้เจ้าจัดการก็แล้วกัน ข้ากลับก่อนล่ะ” พูดจบ ไทเฮาก็ยกมือขึ้นนวดหน้าอกพร้อมกวักมือเรียกนางกำนัลข้างกายให้มาประคองตนเดินออกไป

 

 

เมื่อไทเฮาผลักภาระมาให้เช่นนี้ ฮองเฮาจึงได้แต่ยิ้มขื่น หลิ่วกุ้ยเฟยหันมองฮองเฮาพร้อมเอ่ยถามว่า “ฮองเฮาเพคะ เรื่องนี้จะจัดการเช่นไรหรือ”

 

 

ฮองเฮาเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “แน่นอนว่าต้องรายงานฝ่าบาทก่อนค่อยคิดว่าจะทำเช่นไร เพียงแต่หากพ้นวันนี้ไปแล้ว…ข้าว่าเรื่องนี้ก็คงจัดการได้ไม่ยากแล้ว น้องสาว เจ้าว่าใช่หรือไม่” หากเฮ่อเหลียนฮุ่ยหมิ่นยังกล้าแต่งงานเข้าตำหนักติ้งอ๋องอีก เช่นนั้นตนก็คงต้องยอมแพ้นางแล้ว

 

 

หลิ่วกุ้ยเฟยก้มหน้ามองลงไปทางเยี่ยหลีที่อยู่ด้านล่าง ในแววตามีประกายสับสนและลึกซึ้งขึ้นหลายส่วน

 

 

ฮองเฮาก็มิได้สนใจนางอีก เพียงเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ข้ากลับชอบนิสัยอย่างชายาติ้งอ๋องยิ่งนัก พูดน้อย แต่พูดทีทำให้คนตกใจกันไปหมด แต่เจ้าจัดการเรื่องนี้ได้เรียบร้อยดีนัก เชื่อว่าอีกหน่อยคนที่คิดอยากให้บุตรสาวแต่งเข้าตำหนักติ้งอ๋องคงต้องคิดหนักหน่อยแล้ว” นางยิ้มเรียบๆ ให้เยี่ยหลีที่อยู่ด้านล่าง ในแววตาปรากฏแววชื่นชมระคนอิจฉา

 

 

เยี่ยหลีจ้องตอบแววตาของทุกคน ก่อนเล่นกับคมมีดในมืออย่างไม่ใส่ใจ เรื่องเช่นนี้หากยอมไม่ได้แล้ว ก็จัดการให้เรียบร้อยภายในครั้งเดียวไปเลยก็แล้วกัน