มองดูสีหน้าตกใจของหนานกงเยี่ย เหลิ่งรั่วปิงมองด้วยสายตาดูถูก ”ไปเที่ยวสวนสนุก สนุกเพราะคนเยอะและครึกครื้น คุณเหมาสวนสนุกแบบนั้น นั่งชิงช้าสวรรค์คนเดียวมีความหมายอะไรคะ”
“แต่ว่า…” หนานกงเยี่ยลำบากใจ ด้วยตำแหน่งหน้าที่การงานของเขา ไปสวนสนุกแบบนั้น ถ้าคนอื่นจำเขาได้ คงไม่ดีเท่าไร พรุ่งนี้ต้องเป็นข่าวแน่ๆ
เหลิ่งรั่วปิงรู้ว่าหนานกงเยี่ยกำลังคิดอะไร เธอวิ่งเข้าไปในห้องแต่งตัว หลังจากนั้นเดินออกมาพร้อมกับชุดวอร์มและหมวกแก๊ป ”เปลี่ยนเป็นชุดนี้ก็โอเคแล้วค่ะ”
ก็ได้ เพื่อที่ไม่ทำให้เธอโมโห หนานกงเยี่ยเปลี่ยนเป็นชุดวอร์มอย่างเชื่อฟัง จากนั้นสวมหมวกแก๊ป ลดปีกหมวกลงต่ำ
เหลิ่งรั่วปิงพอใจมาก ตัวเธอเองก็เปลี่ยนเป็นชุดไปรเวท พร้อมทั้งสวมหมวกแก๊ป
ทั้งสองแต่งตัวเหมือนคู่รัก สิ่งนี้ทำให้หนานกงเยี่ยอารมณ์ดีขึ้นมาก
กินอาหารเช้าเสร็จ ทั้งสองก็ออกเดินทางทันที ตรงไปยังสวนสนุก
ในสวนสนุกมีผู้คนพลุ่กพล่าน ที่นี่ครึกครื้นมาก ซึ่งส่วนมากเป็นผู้ปกครองพาบุตรหลานมา
ท่ามกลางฝูงชน หนานกงเยี่ยดูประหม่ามาก มีหลายครั้งที่เดินชนกับคนอื่นจนตัวเซ เขาไม่เคยอยู่ในที่ที่มีคนเบียดเสียดกันมากมายแบบนี้มาก่อน ไม่เคยเดินชนไหล่กับคนแปลกหน้า สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกอึดอัด
แต่เหลิ่งรั่วปิงกลับมีความสุขมาก เธอดื่มน้ำอัดลมที่ซื้อจากร้านข้างทาง พร้อมกับเล่าให้หนานกงเยี่ยฟังว่าตอนเด็กๆ เธอเคยมาสวนสนุกกี่ครั้ง เคยเล่นเครื่องเล่นอะไรแล้วบ้าง
หนานกงเยี่ยโอบตัวเหลิ่งรั่วปิงเอาไว้ตลอดเวลา เพื่อกันไม่ให้เธอถูกคนอื่นชน ”คุณดูมีความสุขมากเลยนะครับ คนมากมายเดินเบียดเสียดกันแบบนี้ สนุกขนาดนั้นเลยเหรอ”
เหลิ่งรั่วปิงถอนหายใจ ”คุณใช้ชีวิตแบบราชาตั้งแต่เด็ก แน่นอนว่าไม่เคยสัมผัสความสนุกแบบนี้ แต่ว่าคุณลองใช้ใจแล้วเที่ยวเล่นกับฉันหนึ่งวันก็จะสัมผัสได้ถึงความสนุกเองค่ะ ชีวิตวัยเด็กแบบนี้ถึงจะมีสีสัน”
พูดจบ เหลิ่งรั่วปิงจับมือหนานกงเยี่ย เดินไปยังรถไฟเหาะ ”พวกเราไปเล่นอันนั้นกันเถอะ”
หนานกงเยี่ยเงยหน้าขึ้นมองรถไฟเหาะที่กำลังเลี้ยวไปมา พร้อมกับเสียงกรีดร้องของผู้คน ”มีอะไรให้ต้องร้องกรี๊ด?”
เหลิ่งรั่วปิงขมวดคิ้ว ”เฮ้อ คุณอย่าทำลายความสนุกสิ คุณคิดว่าทุกคนจะเป็นเหมือนคุณหรือไงคะ ที่เกิดมาก็ต้องได้รับการฝึกฝนด้านต่างๆ มากมาย มีคนจำนวนมากเพิ่งมีประสบการณ์กับเรื่องท้าทายแบบนี้เป็นครั้งแรก ดังนั้นก็เลยกรี๊ดกันไงคะ ครั้งแรกที่ฉันเล่นรถไฟเหาะ ฉันก็กรี๊ดเสียงดังไม่หยุด”
หนานกงเยี่ยยิ้มพร้อมกับก้มหน้าลงมองผู้หญิงที่อยู่ในอ้อมกอด ”ครับๆๆ ผมไปซื้อตั๋ว”
หลังจากซื้อตั๋วเสร็จก็ต้องมายืนเข้าแถว หนานกงเยี่ยใจร้อนมาก เขาไม่เคยต้องเสียเวลาแบบนี้มาก่อน ไม่ว่าเขาจะทำอะไร มีครั้งไหนบ้างที่ต้องเข้าแถวรอคิว ไม่ว่าไปที่ไหนก็มีแค่คนห้อมล้อม ตนเองมีอำนาจมากที่สุด?
ถึงแม้แดดในฤดูใบไม้ผลิจะไม่ร้อนมาก แต่ตากแดดนานก็ทำให้ร้อนได้ ขณะที่ความอดทนของหนานกงเยี่ยกำลังจะหมดลง ในที่สุดก็ถึงคิวของพวกเขา ด้วยเหตุนี้หนานกงเยี่ยจึงขึ้นไปนั่งบนรถไฟเหาะด้วยความหงุดหงิด หลังจากเหลิ่งรั่วปิงพูดเตือนเขาจึงค่อยรัดเข็มขัดด้วยสีหน้าบึ้งตึง
หนานกงเยี่ยไม่ได้รู้สึกอะไร สีหน้าของเขาไม่ดีเท่าไร รถไฟเหาะเพิ่งเริ่มขับเคลื่อน เขาก็ได้ยินเสียงกรี๊ดดังขึ้นทันที ทำให้เขาหงุดหงิดมาก คิ้วหนาขมวดเป็นปม ขณะที่เขากำลังจะต่อว่าคนพวกนั้นว่าไม่เอาไหน ผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่นั่งด้านข้างก็กรี๊ดขึ้นมา
หนานกงเยี่ยอ้าปากกว้างด้วยความตกใจ มองดูเหลิ่งปรั่วปิง เธอกำลังหลับตาปี๋ อ้าปากกว้างจนเกือบจะยัดไข่ไก่เข้าไปได้แล้ว เสียงร้องตะโกนแทบจะทำให้แก้วหูของเขาระเบิด
จนกระทั่งรถไฟเหาะค่อยๆ หยุดลง เหลิ่งรั่วปิงจึงหยุดร้องตะโกน เพราะกรี๊ดเสียงดังเกินไป ทำให้แก้มของเธอแดงระเรื่อ สวยเหมือนดอกซากุระที่เบ่งบานใต้แสงอาทิตย์
มองดูสาวสวยข้างกาย ในที่สุดหนานกงเยี่ยก็คลายยิ้ม
ตั้งแต่ลงมาจากรถไฟเหาะ เหลิ่งรั่วปิงดื่มน้ำอัดลมขวดใหญ่เกือบหมดในอึกเดียว ”สนุกจัง”
รอยยิ้มของหนานกงเยี่ยสดใสยิ่งกว่าแสงอาทิตย์ เขาไม่ได้มีความสุขเพราะการท่องเที่ยว แต่เป็นเพราะเหลิ่งรั่วปิงมีความสุข นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นเหลิ่งรั่วปิงปล่อยอารมณ์ตัวเองแบบนี้
ดังนั้น เครื่องเล่นต่อไปที่จะเล่น หนานกงเยี่ยไม่ปฏิเสธอีกเลย เขาทำตามความต้องการของเหลิ่งรั่วปิงทุกอย่าง เล่นทั้งม้าหมุน รถถังเลเซอร์ รถไฟ เครื่องบินบังคับ รถบั๊มมหาสนุก เรือโจรสลัด รถหมุนเหินฟ้าและชิงช้าสวรรค์เป็นต้น
ตอนที่เล่นเครื่องเล่นสุดท้ายเสร็จ เวลาก็ล่วงเลยไปจนถึงช่วงเย็นแล้ว ตอนกลางวัน ทั้งสองซื้อขนมปังในสวนสนุกกินเป็นมื้อเที่ยง
นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวยาวในลานพัก เหลิ่งรั่วปิงเหนื่อยมาก เธอพิงอยู่บนตัวหนานกงเยี่ย ทิ้งน้ำหนักตัวทั้งหมดไปที่เขา ”คุณหนานกงเยี่ย วันนี้คุณมีความสุขไหมคะ”
“ครับ ผมมีความสุขมาก” หนานกงเยี่ยยิ้มแล้วโอบกอดเหลิ่งรั่วปิง ”ตอนเด็กๆ คุณเล่นเครื่องเล่นพวกนี้บ่อยมากเลยเหรอครับ”
“ค่ะ ประมาณสองครั้งต่อเดือน มาพร้อมกับเวินอี๋ค่ะ”
หนานกงเยี่ยรู้สึกเศร้า ”ที่รักครับ พวกเรามีลูกด้วยกันสักคนดีไหมครับ รอให้ลูกโตขึ้นมา พวกเราพาลูกมาเที่ยวที่นี่ ดีไหมครับ” เขาจะต้องทำให้วัยเด็กของลูกมีความสุข เดินตามรอยเขาไม่ได้เด็ดขาด
เหลิ่งรั่วปิงเงียบ สองวันมานี้เขาพูดเรื่องลูกหลายครั้งมาก เธอรู้ดีว่าหนานกงเยี่ยอยากจะใช้ลูกเป็นบ่วงรั้งเธอเอาไว้ แต่น่าเสียดายที่เธอทำแบบนั้นไม่ได้ หนานกงเยี่ยไม่รู้ว่า ลูกไม่ใช่สิ่งที่แก้ปัญหาทุกอย่าง
*****
เวลาครึ่งเดือนผ่านไปเร็วมาก ชั่วพริบตาก็ครึ่งเดือนแล้ว
ระยะเวลานี้ ก่วนอวี้อาการดีขึ้นจนออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว หนานกงเยี่ยยกงานทั้งหมดของบริษัทให้ก่วนอวี้จัดการ ส่วนตัวเขาคอยมาอยู่กับเหลิ่งรั่วปิงตลอดเวลา
ครึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ พูดได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่ทั้งสองปล่อยวางทุกอย่างมากที่สุดตั้งแต่รู้จักกัน ทิ้งงานทุกอย่าง เที่ยวเล่นทุกวัน ชีวิตในตอนนี้ผ่อนคลาย เรียบง่ายและเป็นอิสระ
หนานกงเยี่ยคิดว่า เหลิ่งรั่วปิงจะค่อยๆ ลืมความแค้น ความรักของเขาหลอมละลายเธอได้
แต่มีเหลิ่งรั่วปิงเท่านั้นที่รู้ หัวใจของเธอไม่เคยเปลี่ยน เธอเตรียมตัวที่จะไปจากเขาตลอดเวลา เธอรู้ดีแก่ใจ ไม่ว่าสุดท้ายครึ่งเดือนที่ผ่านมานี้คำตอบจะเป็นอย่างไร หนานกงเยี่ยก็ไม่มีวันปล่อยเธอไป ดังนั้น เธอจึงติดต่อหมาป่าสีเทา เพื่อเตรียมตัวให้พร้อม
คืนวันที่สิบห้า เหลิ่งรั่วปิงไล่สาวใช้ทั้งหมดออกไป เธอเข้าครัวและทำมื้อค่ำให้หนานกงเยี่ยด้วยตนเอง หนานกงเยี่ยคอยอยู่กับเธอตลอดเวลา ช่วยเธอทำอาหาร
ความหวานชื่นตลอดครึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ ทำให้หนานกงเยี่ยมีความสุขมาก เขารักและตามใจเธอมากกว่าเธอ ตอนที่เห็นเธอเข้าครัวทำอาหารให้เขาด้วยตนเอง ภายในใจของหนานกงเยี่ยรู้สึกเหมือนมีลมอุ่นๆ ในฤดูใบไม้ผลิพัดปลิว
มื้อค่ำเตรียมเสร็จแล้ว หนานกงเยี่ยเตรียมช้อนส้อมด้วยตนเอง ลากเก้าอี้ให้เหลิ่งรั่วปิงนั่ง พร้อมทั้งนวดไหล่ให้เธอ ”ที่รักครับ ลำบากคุณแล้ว”
เขาคิดว่า อาหารค่ำมื้อนี้ เป็นสัญญาณดีๆ ที่เธอมีให้กับเขา ดังนั้น คืนนี้เขาจึงมีความสุขมาก
เหลิ่งรั่วปิงยิ้มบางเบา ”เราดื่มไวน์กันสักหน่อยดีไหมคะ”
“ครับ ผมไปหยิบมาให้” หนานกงเยี่ยยิ้มแล้วเดินไปหยิบไวน์ในตู้แช่ นั่งลงข้างเหลิ่งรั่วปิง รินไวน์ลงทั้งสองแก้ว
เหลิ่งรั่วปิงหยิบแก้วไวน์ขึ้นมา รอยยิ้มบางๆ ของเธอเหมือนดอกไม้ ”คุณหนานกงเยี่ย ฉันขอให้คุณมีความสุข”
พูดจบ ชนแก้วของหนานกงเยี่ย แล้วดื่มจนหมดแก้ว
หนานกงเยี่ยยิ้มแล้วดื่มจนหมดเหมือนกัน ”ขอแค่มีคุณอยู่ข้างๆ ผม ผมก็จะมีความสุขตลอดไปครับ”
เหลิ่งรั่วปิงเพียงแค่ยิ้ม ไม่ได้พูดอะไร ยกขวดไวน์ขึ้นมาด้วยตัวเอง แล้วเทไวน์ลงบนแก้วทั้งสองใบ จากนั้นเธอก็ตักอาหารให้เขา ”อาหารมื้อนี้ฉันทำด้วยตนเองเลยนะคะ คุณกินเยอะๆ”
หนานกงเยี่ยมีความสุขมาจริงๆ กินอาหารที่เหลิ่งรั่วปิงตักให้จนหมด ขณะที่กำลังเคี้ยวอาหารเขาก็ตักอาหารให้กับเหลิ่งรั่วปิง เหลิ่งรั่วปิงไม่อิดออด เธอเองก็กินอาหารที่เขาตักให้จนหมด
อาหารมื้อนี้ กินท่ามกลางบรรยากาศที่อบอุ่น
“ดื่มแก้วสุดท้ายนะคะ” เหลิ่งรั่วปิงยิ้มแล้วชูแก้วไวน์ขึ้นมา
“ครับ แก้วสุดท้าย”
ไวน์แก้วสุดท้าย ไวน์ไม่ได้ทำให้มึนเมา หนานกงเยี่ยมึนเมาด้วยตนเอง เหลิ่งรั่วปิงหลบตาลง เธอวางยาสลบชนิดพิเศษของวิหารซีหลิง ซึ่งอยู่ในแก้วไวน์แก้วสุดท้ายนี้ ยาชนิดนี้ไร้สีไร้กลิ่น เขาไม่รู้ได้
เพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ ใบหน้าเล็กๆ ของเหลิ่งรั่วปิงแดงระเรื่อเหมือนดอกไม้ เธอสวยจนเกินบรรยาย หนานกงเยี่ยมองด้วยความลุ่มหลง ดึงตัวเธอเข้ามากอดอย่างห้ามใจไม่ได้ ก้มหน้าลงจูบเธอ
เหลิ่งรั่วปิงไม่ได้ปฏิเสธ ในทางกลับกันเธอให้ความร่วมมือกับเขาดีมาก ถือเป็นของขวัญบอกลา
หนานกงเยี่ยเวียนศีรษะเล็กน้อย เขาคิดว่าตนเมาเพราะฤทธิ์ไวน์ ถึงแม้ไวน์แค่ไม่กี่แก้วทำให้เขาเมาไม่ได้ แต่ความอบอุ่นของเธอทำให้เขาเมาได้
กลับไปยังห้องนอน เขากระชับอ้อมกอด พูดพึมพำข้างหูเธอ ”ที่รัก ที่รัก ที่รัก…”
เสียงที่เปล่งออกมา โอบล้อมไปด้วยความรักลึกซึ้ง ดึงความสนใจทั้งหมดเอาไว้ด้วยกัน
เหลิ่งรั่วปิงไม่มีกิริยาใดๆ ยืนนิ่งอยู่ในอ้อมกอดของเขา เธอกำลังรอเวลา
รู้สึกหัวหนักอึ้งมากขึ้นเรื่อยๆ เรี่ยวแรงหมดลงอย่างรวดเร็ว ในที่สุดหนานกงเยี่ยก็รู้ตัวแล้วว่ามีบางอย่างผิดปกติ แววตาของเขาแปรเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือก ”คุณใส่อะไรลงไปในไวน์”
ทั้งหมดนี้เป็นแค่เรื่องเข้าใจผิด ความอบอุ่นของเธอ รอยยิ้มของเธอ เพียงเพื่อให้เขาคลายความระมัดระวังก็เท่านั้น ครึ่งเดือนที่อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ไม่ได้หัวใจของเธอกลับมา เหลิ่งรั่วปิงยังคงจะไปจากเขา
ภายในใจหนานกงเยี่ยมีเสียงถอนหายใจดังขึ้น
เหลิ่งรั่วปิงเงียบ พยุงหนานกงเยี่ยขึ้นไปไว้บนเตียง ขณะที่เธอกำลังจะลุกขึ้น กลับถูกเขากอดแน่น แววตาของเขาเปี่ยมด้วยความไม่ยินยอม
“รั่วปิง คุณยังอยากจะไปจากผมอยู่เหรอ” มุมปากของหนานกงเยี่ยมีรอยยิ้มเศร้า
เหลิ่งรั่วปิงไม่ได้ดีดดิ้น เธออยู่ในอ้อมกอดเขาเงียบๆ เธอรู้ฤทธิ์ยาที่ตนใช้เป็นอย่างดี อีกไม่นาน เขาก็จะหลับไป เธอไม่จำเป็นต้องรีบร้อน
นิ้วมือเรียวยาวลูบแก้มของเขา เหลิ่งรั่วปิงคลายยิ้มงดงาม ”คุณหนานกงเยี่ย ฉันไม่ปฏิเสธว่าฉันรักคุณ ชีวิตนี้ฉันอาจจะไม่อาจรักผู้ชายคนไหนได้อีก แต่ฉันคบกับคุณไม่ได้ สำหรับฉัน การรักคุณ เป็นความผิดบาป เพื่อที่จะไถ่โทษ ฉันจำเป็นต้องไปจากคุณ”
“นอกจากเรื่องนี้ ฉันยังมีความจำเป็นที่ต้องไปจากที่นี่ ถึงยังไงพวกเราก็ไม่มีวาสนาต่อกันค่ะ”
“ฉันหวังว่าคุณจะมีความสุขนะคะ”
หนานกงเยี่ยรู้สึกไร้เรี่ยวแรง เขาทำได้เพียงกอดเอวเธอแน่น ”ไม่มีคุณ ผมจะมีความสุขได้ยังไง” มืออีกข้างลูบจับใบหน้าของเธอ เขายิ้มร้ายกาจ ”คุณเชื่อไหมครับ ปณิธานของผมเหนี่ยวรั้งผมเอาไว้ได้ ทำให้ผมมีสติ คุณไปจากผมไม่ได้หรอก”
เหลิ่งรั่วปิงนิ่งสงบ จับมือของเขา ”คุณเองก็รู้ความสามารถของฉันเป็นอย่างดี ถ้าฉันคิดจะไป คุณห้ามฉันไม่ได้ พวกบอดี้การ์ดด้านนอก ฉันมีวิธีจัดการพวกเขา”
“หึๆๆ…” หนานกงเยี่ยหัวเราะในลำคอ เสียงหัวเราะของเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ”เหลิ่งรั่วปิง คุณใจร้ายมาก”