ตอนที่ 31 กิ่งทองใบหยก

“อยู่ที่ไหน” โจวเจ๋อถาม

“เขตหมู่บ้านซิ่งฟา มีผู้ชายคนหนึ่งกับผู้หญิงอีกคนหนึ่งจูงอยู่ ฉันจำได้” สุภาพสตรีพูดอย่างมั่นใจ “ผู้ชายคนนั้นฉันยังจำเขาได้ตอนที่มีชีวิตอยู่ แถมยังเคยทะเลาะกับเขาอีก! ตอนแรกเขาอยากจะแต๊ะอั๋งฉัน อยากจะจีบฉัน!”

โจวเจ๋อขมวดคิ้วเล็กน้อย พูดเตือนว่า “ถ้าหากคุณหลอกผมหรืออยากจะเล่นยืมมือผีฆ่าคน ผมจะทำให้คุณเป็นไปไม่ได้แม้แต่ผี”

“ฉันจะกล้าเหรอ พ่อหนุ่ม ถึงแม้ฉันจะตายแล้ว แต่ฉันก็ยังเป็นคนดีนะ คุณลองไปถามคนที่อยู่ในหมูบ้านนั้น มีใครบ้างที่จะไม่พูดว่าเจ้หงเป็นคนดีมีน้ำใจ”

โจวเจ๋อโบกมือ เพื่อบอกให้เธอเงียบได้แล้ว

หญิงสาวไม่รู้ว่าโจวเจ๋อกำลังพูดกับใคร แน่นอนว่า เสียงที่โจวเจ๋อพูดนั้นเบามาก เหมือนกำลังพึมพำกับตัวเอง

“เหมือนจะมีเพื่อนของผมบอกว่า ที่เขตหมู่บ้านซิ่งฟามีลูกบ้านมีสุนัขที่คล้ายกันแบบนี้ คุณลองไปถามที่นั่นดูสิครับ” โจวเจ๋อกล่าว

“จริงเหรอคะ ได้ค่ะ ฉันจะไปเดี๋ยวนี้”

หญิงสาวพูดจบก็หยิบกระเป๋าสตางค์เตรียมจะจ่ายเงิน

“ไม่ต้องครับ ไม่ต้องจ่ายก็ได้”

“สมควรอยู่แล้วค่ะ ขอบคุณการให้ข้อมูลของเถ้าแก่นะคะ” หญิงสาวหยิบเงินห้าร้อยหยวนออกมา แล้วยัดใส่มือของโจวเจ๋อ

“รอให้หาเจอก่อนแล้วค่อยว่ากันครับ” โจวเจ๋อปฏิเสธที่จะรับเงิน

“อย่างนั้น ขอบคุณเถ้าแก่นะคะ”

หญิงสาวเช็ดน้ำตา แล้วเดินออกจากร้านหนังสือไป

“เป็นผู้หญิงที่ดีจริงๆ” สุภาพสตรียังคงนั่งอยู่บนพื้นกระเบื้องของร้าน

“คุณก็กลับไปได้แล้วครับ”

“พ่อหนุ่ม กว่าฉันจะหาคนที่สามารถได้ยินฉันพูดได้ก็ไม่ง่าย คุณช่วยอยู่เป็นเพื่อนฟังฉันพูดหน่อยได้ไหม”

สุภาพสตรีทำท่าทีแบบฉันอดกลั้นมานานแล้ว อดทนอย่างยากลำบาก

“ไม่ว่าง”

โจวเจ๋อกลับไปนั่งที่หลังเคาน์เตอร์อีกครั้ง หยิบกรรไกรตัดเล็บขึ้นมา แล้วตัดเล็บของตัวเองต่อ

“พ่อหนุ่ม คุณเปิดร้านหนังสือที่นี่ กลัวว่ากิจการจะไม่ดีใช่ไหม” สุภาพสตรียังคงหาเรื่องเสวนาด้วย

โจวเจ๋อเหมือนจะนึกอะไรได้กะทันหันแล้วถามว่า “อยากลงไปข้างล่างไหม”

“ลงไปข้างล่างเหรอ” สุภาพสตรีตกตะลึง เหมือนจะยังไม่เข้าใจ

“ไปสถานที่ที่ควรจะไป” โจวเจ๋อเพิ่งนึกออก ว่าตอนนี้ตัวเองเหมือนจะทำอาชีพเสริมเป็นยมทูต

“ไม่ลงไปได้ไหม” สุภาพสตรีพูดอย่างลำบากใจ “ลูกชายของฉันปีนี้สอบเอนทรานซ์ ฉันอยากอยู่เป็นเพื่อนลูกชายสอบเอนทรานซ์ให้จบก่อนแล้วค่อยไป”

สงสารคนเป็นพ่อเป็นแม่จริงๆ

“ลูกชายของคุณถ้าหากรู้ว่าแม่ของเขาตายไปแล้ว ยังคอยอยู่ทบทวนบทเรียนเป็นเพื่อนเขาทุกคืน เขาจะต้องร้องไห้ด้วยความซาบซึ้งแน่นอน” โจวเจ๋อพูดแซว

ซาบซึ้งคงไม่จำเป็นหรอก แต่ตกใจจนไม่สบายแล้วสอบเอนทรานซ์ไม่ได้มีความเป็นไปได้สูงมากกว่า

“ฉันก็แค่คอยอ่านเป็นเพื่อนเฉยๆ” สุภาพสตรีพูดด้วยความน้อยใจ

“แล้วแต่คุณก็แล้วกัน” โจวเจ๋อโบกมือ ขี้เกียจพูดอะไรอีก ตอนที่สาวน้อยโลลิมอบงานให้เขา เคยพูดว่า นอกจากตัวเองล้ำเส้นจงใจที่จะตั้งตัวเป็นผู้พิพากษาแล้ว ส่วนที่เหลือให้จัดการเองตามใจชอบ

อย่างไรก็ตามสาวน้อยโลลิก็ไม่ได้ให้ใบรายงานผลอะไรกับตัวเอง และขอให้ตัวเองต้องพาวิญญาณลงไปต่อเดือนต่อไตรมาสเป็นจำนวนเท่าไร

“พ่อหนุ่ม เธอกลายเป็นคนได้ยังไง” สุภาพสตรีพูดด้วยความสงสัย

โจวเจ๋อขมวดคิ้วเล็กน้อย

สุภาพสตรีตัวสั่นงันงกทันที และไม่กล้าพูดอีก

หลังจากผ่านไปหนึ่งนาที สุภาพสตรีก็พูดกับตัวเองว่า ถึงเวลาที่ลูกชายกลับมาจากการทบทวนหนังสือแล้ว และควรจะออกไปจากร้านเสียที

หลังจากรอให้เธอออกไป โจวเจ๋อก็ตั้งใจเดินไปที่เก้าอี้ที่อีกฝ่ายนั่งเมื่อครู่แล้วพลิกดู ไม่เห็นเงินกระดาษสักใบ

“ผู้หญิงคนนี้ใช้ชีวิตเก่งจริงๆ”

โจวเจ๋อถอนหายใจหนึ่งที รู้สึกว่าตัวเองนิสัยดีเกินไปหรือเปล่า

อย่างน้อยตัวเองก็เป็นยมทูตชั่วคราว ถือว่าเป็นคนในระบบ แต่คุณกลับมามือเปล่าและจากไปมือเปล่าแบบนี้หรือ

มองพนักงานชั่วคราวเป็นเจ้าหน้าที่ในองค์กรจริงๆ เรอะ

จากนั้นจึงผลักประตู เดินออกมาจากร้านหนังสือ โจวเจ๋อจุดบุหรี่หนึ่งมวน สวี่ชิงหล่างเพื่อนข้างบ้านก็เพิ่งทำความสะอาดเสร็จตอนนี้พอดี ใส่ผ้ากันเปื้อนแล้วเดินออกมา เขามองโจวเจ๋อ จากนั้นจึงนั่งลงยองๆ ข้างโจวเจ๋อ และขอบุหรี่หนึ่งมวนจากเขา

ผู้ชายสองคนนั่งยอง ๆ ลงเป็นแถวเดียวกัน

ด้านหลังเป็นศูนย์การค้าที่เกือบจะทิ้งร้าง ด้านหน้าเป็นถนนที่ไร้ผู้คน

“เด็กสาวคนนั้นถูกแม่ของเธอมารับไปแล้วเหรอ” สวี่ชิงหล่างถาม

“เธอลงไปแล้ว” โจวเจ๋อตอบ

“อ้อ ลงไปแล้ว” สวี่ชิงหล่างพ่นลมหายใจออกมา “หลังจากลงไปแล้ว อยากจะกลับมาอีก ก็ยากแล้วใช่ไหม”

“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน” โจวเจ๋อส่ายหน้า

เหมือนกับที่สาวน้อยโลลิพูด ตอนแรกตัวเองลงไปที่นรก แต่เดินอยู่บนสะพานน้ำพุเหลืองได้นิดเดียวก็ออกมาแล้ว จึงไม่ได้สัมผัสความน่ากลัวที่แท้จริงของนรกอย่างสิ้นเชิง

“นรก มันเป็นยังไงกันแน่” สวี่ชิงหล่างพ่นควันบุหรี่ออกมาขณะถาม

“ผมก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร”

ไม่มีอะไรจะพูดอีก แต่กลับไปร้านของใครของมันก็น่าเบื่อ ทั้งสองคนสูบบุหรี่จบมวนแรกก็จุดมวนที่สองต่อโดยอัตโนมัติ

“แล้วภรรยาของคุณล่ะ” สวี่ชิงหล่างพูดเรื่องไหนไม่พูดมาพูดเรื่องนี้

“แยกกันอยู่แล้ว” โจวเจ๋อเบ้ปาก

“ฮิๆ”

จากนั้นก็เงียบอีก

ต่อจากนั้นก็สูบมวนที่สาม

“ผมต้องกลับบ้านเก่าไปสักพักหนึ่ง น้ำบ๊วยผมจะทำให้คุณใหม่วันพรุ่งนี้”

“ขอบใจ คุณไม่ใช่คนที่นี่เหรอ”

“ผมเป็นคนเหมินไห่”

เหมินไห่เป็นอำเภอหนึ่งในทงเฉิง

“ญาติของผมจะแต่งงาน พูดความจริง ผมก็ไม่อยากไป แต่ไม่ไปก็ไม่ได้ ถึงยังไงก็เคยเล่นดินเล่นโคลนด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก เพื่อมิตรภาพจึงต้องทำหน้าด้านไปเป็นขบวนขันหมากแจกซองแดง”

“เขาจะให้คุณเป็นเพื่อนเจ้าสาวเหรอ” โจวเจ๋อถาม

“ใช่ เพื่อนเจ้าสาว…” สวี่ชิงหล่างทันทีที่เข้าใจ แล้วจึงขึงตาใส่โจวเจ๋อหนึ่งที “เป็นเพื่อนเจ้าบ่าว”

“ชาติที่แล้วคุณได้แต่งงานไหม”สวี่ชิงหล่างถามในทันใด

“ยังเลย” โจวเจ๋อตอบ

“หากมีความรู้สึกดี ก็เท่ากับชีวิตนี้ได้เมียฟรีคนหนึ่ง”

“เธอไม่เคย…”

โจวเจ๋อหยุดชะงัก ไม่พูดต่อ

ความยึดติด…

ความยึดติดของสวีเล่อ

ยังคงอยู่!

อืม ต้องเป็นแบบนี้แน่นอน

“มีชีวิตอยู่ ก็จงใช้ชีวิตให้ดี พ่อแม่ของผมไปแล้ว ไปแล้วจริงๆ ผมเองก็คิดได้แล้วเหมือนกัน ผมต้องโตเป็นผู้ใหญ่ต้องออกไปค้นหาชีวิตของตัวเอง ไม่แน่อีกไม่นานก็จะได้มีแฟนกับเขาเสียที”

“แฟนผู้ชายมีความเป็นไปได้สูงมาก” โจวเจ๋อพ่นควันบุหรี่ออกมา แล้วพูดซ้ำเติมอีกหน่อย

“ฮิๆ ตอนผมเป็นเด็กในหัวก็เริ่มออกแบบพิธีแต่งงานของตัวเองแล้ว จะใช้สไตล์อะไร จะจัดแบบไหน จะจัดยังไง…”

“นี่คือสิ่งที่ผู้หญิงคิดไม่ใช่เหรอ” โจวเจ๋อถาม

“ผู้ชายจะคาดหวังไม่ได้หรือไง คุณหุบปากไปเลย ไม่อย่างนั้นวันพรุ่งนี้จะไม่มีน้ำบ๊วยดื่ม!”

โจวเจ๋อพยักหน้า ได้ ฉันจะหุบปาก

“ผมอยากจะจัดพิธีแต่งงานแบบคลาสสิก แบบโบราณมากๆ แบบนั้น ผมไม่ต้องการรถหรู ผมอยากได้เกี้ยวใหญ่แปดตัว เหมือนกับการแสดงในภาพยนตร์ ถึงตอนนั้นผมก็จะเช่าม้าหนึ่งตัว แล้วผมก็จะใส่เสื้อแจ๊คเก็ตแบบจีนหรือไม่ก็ชุดฮั่นฝูจีนโบราณ บรรยากาศแบบนั้นคุณเข้าใจไหม”

โจวเจ๋อยื่นมือชี้นิ้วไปข้างหน้า

“เป็นแบบนั้นใช่ไหม”

สวี่ชิงหล่างตะลึงเล็กน้อย หรี่ตามองข้างหน้า เอ่ยว่า “นั่นคืออะไร”

“คุณมองไม่เห็นหรือ” โจวเจ๋อถาม

สวี่ชิงหล่างสีหน้านิ่ง รีบกลับเข้าไปในร้านทันที ไม่ช้า เขาจึงเช็ดสิ่งของที่เป็นประกายแวววาวอยู่ในมือแล้วนำมาเช็ดที่ดวงตาของตัวเอง แล้วจึงส่งเสียงอุทานออกมา

จริงด้วย ถนนตรงนั้นที่ไม่มีผู้คน แต่มีเกี้ยวใหญ่สีแดงแปดตัวกำลังเดินมาที่นี่

คนแบกเกี้ยวผูกผ้าสีแดงที่เอว สวมมงกุฎสีแดงไว้ที่ศีรษะ คนแบกเกี้ยวแปดคน กำลังเดินอย่างเป็นระเบียบ

ขณะเดินก็ใช้จังหวะเก้าตื้นลึกหนึ่ง

และด้วยเหตุนี้ ทุกๆ ช่วง เกี้ยวจะถูกเขย่าเล็กน้อย คนแบกเกี้ยวกับคนที่เป่าเครื่องดนตรีสั่วน่าสองคนก็กระโดดขึ้นพร้อมกันด้วยท่าทางคึกคักยินดี

แต่ในสถานที่รกร้างแบบนี้ กลับมีฉากแบบนี้ปรากฏขึ้นกะทันหัน มากพอที่ทำให้คนที่สัญจรไปมาแถวนี้ต้องหวาดกลัว

ขณะที่สวี่ชิงหล่างเจอฉากแบบนี้ก็อ้าปากค้างเช่นกัน และทำตัวไม่ถูกอยู่บ้าง

“ภรรยาของคุณเหรอ” โจวเจ๋อชี้ไปที่ขบวนแห่ขันหมากที่อยู่ข้างหน้าแล้วเอ่ยพูด

“ไร้สาระ” สวี่ชิงหล่างถอยหลังไปสองสามก้าว เกือบจะถอยเข้าไปในร้านแล้ว เขาเห็นโจวเจ๋อยังนั่งยองๆ อยู่ตรงนั้น จึงตะโกนพูดว่า “คุณยังไม่กลับเข้าไปอีก นี่คือขบวนขันหมากผี!”

“มีโยนลูกบอลแพรปักสีแดงไหม” โจวเจ๋อตบขากางเกง แล้วลุกขึ้นอย่างช้าๆ

“โดนจับได้ก็จะกลายเป็นสามีของหัวหน้าหมู่บ้าน” สวี่ชิงหล่างพูดเสียงฮึดฮัดเย็นชา “คุณอยากเป็นเถ้าแก่ร้านหนังสือหรือว่าอยากถูกจับไปเป็นสามีของผีในนรก”

“หนักหนาขนาดนั้นเชียว”

โจวเจ๋อรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เมื่อก่อนเขาเคยเห็นผีเหล่านี้ แต่ก็ไม่เก่งขนาดนี้มาก่อน หากจะพูดให้ถูกกว่านี้ ก็คือไม่มีอิทธิพลรุนแรงอะไร

ถ้าหากจะพูดว่าเจ้านายที่อยู่ในเกี้ยวสามารถเรียกวิญญาณของคนกลับไป ‘แต่งงาน’ กับเธอได้จริง เช่นนั้นตัวเองจะต้องจัดการได้ใช่หรือไม่

และสุภาพสตรีคนนั้นตัวเองก็ยังพอหลับหูหลับตาได้บ้าง รอให้ลูกชายของเธอสอบเอนทรานซ์เสร็จก่อน เธอก็จะปล่อยวางความยึดติดของตัวเอง แล้วไปรายงานตัวที่นรก แต่บุคคลที่อยู่ตรงหน้านี้

จัดขบวนแห่เสียใหญ่โต จะต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน

โจวเจ๋อไม่ขยับตัว สวี่ชิงหล่างยืนอยู่ในร้าน เงยหน้ามองยันต์กระดาษที่ติดอยู่ด้านบนของตัวเอง ก็ยังรู้สึกปลอดภัยไม่พอ แต่โจวเจ๋อยังคงนิ่งไม่ขยับ เขาจึงพูดด้วยความโมโห

“คุณเป็นผีมือใหม่ แต่นั้นเธอเป็นพวกปีศาจแล้ว คุณกลับเข้ามาเลย ไม่แน่เธออาจจะไม่มาหาเรื่องคุณ”

โจวเจ๋อยังไม่ขยับเหมือนเดิม ระหว่างนั้นเขาสัมผัสได้ถึงตราประทับที่อยู่ตรงกลางฝ่ามือของตัวเองเหมือนจะร้อนเล็กน้อย ดูเหมือนกำลังเตือนเขาว่า คนที่อยู่ตรงหน้านี้ จำเป็นต้องส่งไปลงนรก ไม่อย่างนั้นจะสร้างผลกระทบต่อโลกมนุษย์

สุภาพสตรีก่อนหน้านั้น โจวเจ๋อปล่อยให้จากไป ตราประทับก็ไม่มีการตอบสนอง ถือว่ายอมรับโดยปริยาย แต่ครั้งนี้ ตราประทับกลับเตือนตัวเอง

พนักงานชั่วคราวใช่ว่าจะเป็นกันง่ายๆ

ปกติเวลาเกิดเรื่องอะไร มีงานตรงไหนมองข้ามและละเลยโดยทั่วไป ก็จะให้พนักงานชั่วคราวเข้าไปเสริม

โจวเจ๋อตอนนี้กำลังอยู่ในตำแหน่งที่เก้ๆ กังๆ เป็นอย่างมาก

ขบวนขันหมากอยู่ห่างจากโจวเจ๋อสิบเมตรแล้วหยุดลง

คนแบกเกี้ยวสองคนยื่นมือเปิดผ้าม่านของเกี้ยว

ข้างในไม่มีใครสักคน

คนเป่าเครื่องดนตรีสั่วน่าเดินมาหาโจวเจ๋อ โน้มตัวให้โจวเจ๋อในระยะห่างหนึ่งเมตร

“นายหญิงของพวกเราได้ยินว่าท่านยมทูตเพิ่งจะเลื่อนตำแหน่ง จึงสั่งให้ข้ามาเชิญท่านไปนั่งที่เรือนเพื่อเฉลิมฉลองขอรับ”

คนเป่าเครื่องดนตรีสั่วน่าคนนี้ มีหน้าตาหล่อเหลาและสง่า แต่ผิวขาวมาก ปัดแก้มและทาปากแดงเกินไปเหมือนกับคนกระดาษที่ขายในร้านกระดาษไหว้เจ้า

“คุณเป็นยมทูตแล้วเหรอ” สวี่ชิงหล่างเดินออกมาจากข้างในร้าน ด้วยท่าทางตกใจเหมือนไม่ใช่ความจริง ว่าหนุ่มข้างบ้านตัวเองจากหวังเสี่ยวตั้นที่ยากจนและไร้การศึกษาจู่ ๆ กลายเป็นนายกเทศมนตรี

“ถ้าวันหนึ่งร่ำรวยได้ดีแล้วอย่าลืมกันนะ! คุณกล้าปิดบังผม!” สวี่ชิงหล่างเดินเข้ามา แล้วบ่นโจวเจ๋ออย่างไม่พอใจลักษณะท่าทางแบบนั้น เหมือนอยากจะบีบกระดูกให้หักไปเลย

“ข้ามีเรื่องหนึ่ง อยากขอคำแนะจากท่านยมทูตขอรับ” คนเป่าเครื่องดนตรีสั่วน่าถามอย่างเคารพนอบน้อม

“ว่ามาสิ เรื่องอะไร ไม่มีปัญหา เดี๋ยวเขาจัดการให้! ต่อไปพื้นที่แถวนี้ เขาเป็นคนดูแลทั้งหมด!” สวี่ชิงหล่างวางมาดดีใจและทำเกินหน้าที่ วุ่นวายจนยากจะห้ามปราม

“นายหญิงสั่งให้พวกข้ามารับท่านยมทูตและในขณะเดียวกัน อยากให้พวกข้าพาผู้ชายหนึ่งคนจากโลกมนุษย์กลับไปแต่งงานด้วยขอรับ

ได้ยินว่า ผู้ชายคนนั้น มีห้องชุดยี่สิบกว่าห้องอยู่ในโลกมนุษย์ เหมาะสมเหมือนกิ่งทองใบหยกกับนายหญิงของพวกเราพอดีขอรับ

ไม่ทราบว่าท่านยมทูต พอจะทราบหรือไม่ว่าคนผู้นั้นอยู่ที่ไหนขอรับ”

“…” สวี่ชิงหล่าง

…………………………………………………………………………