ตอนที่ 32 กินดี อยู่ดี

สังคมแย่ลง จิตใจคนไม่เหมือนก่อน!

หลายคนต่างโอดครวญกับยุคสมัยปัจจุบัน สังคมถูกกระแสแนวคิดบูชาเงินเป็นพระเจ้ายากจะถอนตัว ต่อให้เป็นการแต่งงานก็ยังต้องวางบนตาชั่งเพื่อเทียบราคา

ทว่าปีนี้แม้แต่การแต่งงานของผีก็เริ่มที่จะพิถีพิถันเรื่องนี้แล้ว!

คุณมีห้องชุดยี่สิบกว่าห้อง บังเอิญพอดีเลย

นายหญิงของพวกเราก็มีเรือนในนรกยี่สิบกว่าเรือน เหมาะสมเป็นกิ่งทองใบหยกแท้ๆ!

เป็นที่น่ายินดีๆ น่ายินดีเป็นอย่างมาก!

ชายเป่าเครื่องดนตรีสั่วน่าหลังจากถามคำถามนี้ โจวเจ๋อก็กระตุกมุมปากทันที

เขากำลังกลั้นหัวเราะ และรู้สึกพอใจมากในขณะเดียวกัน

เพื่อนบ้านที่เอะอะก็พูดว่า ‘ผมมีห้องชุดยี่สิบกว่าห้อง’ เป็นประจำ โจวเจ๋ออยากจะต่อยเขามานานแล้ว และนายหญิงจากเมืองผีก็มาได้ประจวบเหมาะพอดี

ธรรมชาติย่อมเคลื่อนโคจรไป!

สวี่ชิงหล่างตกใจเหงื่อไหลออกมา เขาเป็นแค่เด็กหนุ่มที่มีวิชาเล็กน้อย แต่เขาไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าการเบิกเนตรหยินหยางผสมกับลูกเล่นหุ่นเชิด ‘โชว์หน้ากากเปลี่ยนหน้าศิลปะแสดงของเสฉวน’ ก็เท่านั้น เขาไม่ใช่ตัวตนที่มีอยู่จริงเหมือนคุรุเทพจางเทียนซือในนิยาย ไม่อย่างนั้นคงไม่กลัวเด็กหญิงตัวน้อยขนาดนี้หรอก

สวี่ชิงหล่างที่ได้สติทันทีเริ่มเงยหน้า มองท้องฟ้า

‘คุณพูดอะไร

ผมฟังไม่เข้าใจ

คนคนนั้นผมไม่รู้จัก’

จากนั้น หนังตาของสวี่ชิงหล่างเริ่มกระตุก เพราะว่าเขาเห็นมือขวาของโจวเจ๋อที่วางแนบตัวแต่เดิม กลับยกนิ้วชี้ขึ้นมาแล้วชี้ไปที่เขาโดยตรง

“@¥%……*&*!!!!!”

ความเจ็บปวดแสบทรวงที่อยู่ส่วนลึกสุดของหัวใจของสวี่ชิงหล่างพวยพุ่งออกมา!

คนเป่าเครื่องดนตรีสั่วน่าทั้งสองคน เดินมายืนอยู่ข้างกายสวี่ชิงหล่างโดยตรง แล้วเอ่ยพูดด้วยความเคารพ

“ขอเชิญคุณสามีนั่งเกี้ยวขอรับ”

เยี่ยมเลย เกี้ยวตัวนี้ไม่ได้มารับท่านยมทูต แต่เป็นนายหญิงจากเมืองผีส่งมารับเจ้าบ่าวของตัวเองโดยเฉพาะ

โจวเจ๋อกำลังให้นิยามใหม่สำหรับฐานะของ ‘พนักงานชั่วคราว’ ของตัวเองอีกครั้ง

“อย่าดึงผม อย่าลากผม อย่าบังคับผม! ระวังผมจะแตกคอกับคุณนะ!”

สวี่ชิงหล่างถูกคนเป่าเครื่องดนตรีสั่วน่าผลักไปหาเกี้ยว แต่เขายังคงดิ้นรนไม่หยุด

เขาเพิ่งจะพูดว่าอยากจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ อยากมีคู่ครอง แต่เขาไม่ได้อยากได้เมียผี!

“โจวเจ๋อ คุณหลอกผม คุณทำร้ายผม!” สวี่ชิงหล่างตะโกนเสียงดัง ดูแล้วเหมือนหญิงสาวถูกบังคับให้แต่งงาน

ยอมตายดีกว่ายอมแพ้

ขอรักษาพรหมจรรย์ตลอดไป!

“ลองไปดูหน่อย ไม่แน่นายหญิงคนนั้น อาจจะหน้าตาเหมือนหวังจู่เสียนก็ได้ คุณก็ไม่ได้เสียเปรียบอะไรใช่ไหมเล่า” โจวเจ๋อยิ้มพูด

สวี่ชิงหล่างถูกดันเข้าไปในเกี้ยว คนเป่าสั่วน่าพูดกับโจวเจ๋อว่า “ท่านยมทูตไปกับพวกเรา พวกเราจะนำทางท่านขอรับ”

พูดจบ คนเป่าเครื่องดนตรีสั่วน่าก็ชี้ไปที่จักรยานไฟฟ้าคันนั้น ที่จอดอยู่หน้าร้านของสวี่ชิงหล่าง

“ท่านยมทูตขี่ได้ไหมขอรับ”

โจวเจ๋อจำได้ว่าตัวเองนั่งรถกระดาษของคนขับรถผีครั้งที่แล้ว ถูกส่งมาที่หน้าร้านหนังสืออย่างปลอดภัย เห็นได้ชัดว่า ผีพวกนี้มีความสามารถในการใช้วิชา ‘ฉีเหมินตุ้นเจี่ย การหลบหนีประตูลึกลึบ’ ทฤษฎีบางอย่างทางฟิสิกส์ไม่สามารถอธิบายเกี่ยวกับพวกเขาได้

จักรยานไฟฟ้าเป็นของสวี่ชิงหล่าง โจวเจ๋อก็ไม่เกรงใจ หลังจากล็อกประตูร้านแล้ว ก็ขี่จักรยานไฟฟ้าตามขบวนเกี้ยวที่อยู่ตรงหน้าไปพร้อมกัน

คนแบกเกี้ยวเดินเร็วมาก

จังหวะก้าวยังคงเป็นเก้าตื้นลึกหนึ่งเหมือนเดิม

รอจนโจวเจ๋อขี่จักรยานไฟฟ้าเป็นแถวแนวเดียวกับเกี้ยว สวี่ชิงหล่างจึงเปิดผ้าม่านของเกี้ยว มองออกไปข้างนอกเวลานี้สวี่ชิงหล่างหน้าแดงมาก นัยน์ตาสวยงามสดใสราวกับคลื่นน้ำในฤดูใบไม้ร่วง

ฟันของเขาขบริมฝีปากสีแดง ด้วยท่าทางหล่อเหลา งดงาม และเขินอายเป็นอย่างมาก

เวลานี้ จู่ๆ เกี้ยวก็ถูกยกขึ้น

“อ๋า!”

สวี่ชิงหล่างร้องออกมาเมื่อได้สติ พร้อมกับความขุ่นเคืองที่แสดงบนใบหน้า จ้องมองโจวเจ๋อตาเขม็ง รู้สึกอับอายขายหน้ายิ่งนัก!

มือข้างหนึ่งของโจวเจ๋อจับจักรยานไฟฟ้า ส่วนมืออีกข้างหนึ่งพลางโบกมือเบาๆ แล้วเอ่ยอย่างรังเกียจว่า

“ขายขี้หน้า”

“เกี้ยวตัวนี้มีผลกระทบต่อจิตวิญญาณ สามารถกระตุ้นดวงจิตได้!” สวี่ชิงหล่างจำเป็นต้องอธิบาย เขากังวลจริงๆว่าโจวเจ๋อจะเล่นเพลินจนถอนตัวไม่ขึ้น

“การอธิบายคือการปิดบัง” โจวเจ๋อ “ปากบอกไม่แต่ร่างกายกลับซื่อตรงมาก”

“…” สวี่ชิงหล่าง

สวี่ชิงหล่างเหลือบตามองโจวเจ๋อด้วยความโกรธเป็นครั้งสุดท้ายแล้วจึงปล่อยผ้าม่านลง

สายตานั้น ราวกับมองชายที่ทรยศรัก ยอมสละตัวเองทิ้งเพื่อตำแหน่งงานและความมั่นคง!

อันที่จริงโจวเจ๋อสามารถมองออก ถึงการเคลื่อนไหวที่เป็นจังหวะพิเศษของคนแบกเกี้ยวกับคนเป่าเครื่องดนตรีสั่วน่า พวกเขาเป็นแค่หุ่นเชิดเท่านั้น พวกเขาน่าจะเป็นคนกระดาษที่มาจากร้านขายกระดาษไหว้เจ้า ซึ่งมีความคล้ายคลึงกับวัวไม้ม้าเลื่อน (โคยนต์ม้ากล) ที่ออกแบบโดยขงเบ้งในยุคสามก๊กที่อยู่ในนิยาย

โจวเจ๋อขี่จักรยานไฟฟ้าตามไปตลอดทาง

และโดยไม่รู้ตัว ขบวนแห่ก็ผ่านเข้ามาเขตเมือง ผ่านเข้าสู่บริเวณของเขตทงโจว

เมื่อสองสามปีก่อน เขตทงโจวเป็นอำเภอหนึ่งของเมืองทงเฉิง และเปลี่ยนจากอำเภอเป็นเขตเมื่อไม่นาน สถานที่แห่งนี้โจวเจ๋อเคยมาครั้งที่แล้ว ตอนที่ช่วยคุณยายที่อยู่ในห้องดับจิตหาเงิน

ในที่สุด ขบวนเกี้ยวก็เข้าสู่พื้นที่รกร้าง เอียงลาดด้านล่างของถนนเจียงไห่ ที่นี่มีตึกสูงอาคารก่อสร้างอยู่โดยรอบและที่นี่ น่าจะมีเหตุผลเฉพาะเจาะจง จนมีเรื่องติดขัดและต้องหยุดการก่อสร้าง

ทางข้างในเข้าไปไม่ค่อยสะดวกนัก โจวเจ๋อจึงได้แต่ลงจากรถ แล้วเข็นจักรยานไฟฟ้าเข้าไป

หลังจากเดินเข้าไปประมาณสิบกว่ากิโลเมตร

ทันใดนั้นก็มีแต่ความสดใสร่าเริง!

เดิมทีที่นี่เป็นสถานที่รกร้างเงียบเหงา จู่ๆ ได้ถูกประดับประดาด้วยผ้าและโคมไฟสวยงาม เบื้องหน้า มีโต๊ะวางอยู่ข้างนอกยี่สิบกว่าตัว โต๊ะทุกตัวมีอาหารจานเย็นสิบอย่างวางอยู่บนโต๊ะอย่างเป็นระเบียบ

คราคร่ำไปด้วยผู้คน ผู้หญิงแต่งหน้าปะแป้งสวยงาม พูดคุยหัวเราะกันสนุกสนาน

มีผู้หวังดีตะโกนเสียงดังว่า “เจ้าบ่าวมาแล้ว!”

ทันใดนั้นสาวสวยมากมายต่างกรูกันเข้ามา โจวเจ๋อรู้สึกว่าข้างกายตัวเองมีแต่สาวๆ คึกคักยิ่งนัก มีบางคนที่ทะลุผ่านตัวหรือรถของเขาไปโดยตรง เดินไปเดินมา ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

และมือขวาของโจวเจ๋อได้กำหมัดแน่นตลอดเวลา ตราประทับยังคงร้อนอยู่

อันที่จริง ไม่จำเป็นต้องให้ตราประทับเตือน โจวเจ๋อก็รู้ตัวดี สิ่งที่อยู่ตรงหน้า น่าจะเป็นสถานที่ที่ยมทูตจะต้องจัดการ

เพราะผีของที่นี่อยู่ภายใต้การนำของนายหญิงของเมืองผีแห่งนี้ ซึ่งได้สร้างเป็นองค์กรขึ้นมาแล้ว แบบนี้ทนไม่ได้แน่นอน!

แต่โจวเจ๋อยังอดทนต่อไป อย่างแรกตัวเองเป็นแค่พนักงานชั่วคราว อย่าเพิ่งรีบร้อนเห่อของใหม่ ไม่อย่างนั้นมีความเป็นไปได้สูง ที่จะเผาตัวเองให้มอดไหม้ อย่างไรก็ตามโดยทั่วไปแผนกไหนในโลกมนุษย์เกิดปัญหา สุดท้ายคนที่เข้ามาแก้ไขก็คือพนักงานชั่วคราว โจวเจ๋อรู้สึกว่าเมืองผีแห่งนี้ก็น่าจะเป็นเหมือนกัน อย่างไรเสียคนที่ตายจากโลกมนุษย์ก็จะต้องลงมาที่เมืองผีอยู่แล้ว

อีกอย่าง โจวเจ๋อก็รู้ดี ถ้าหากจัดการง่ายจริงๆ เด็กหญิงตัวน้อยคนนั้นทำไมถึงไม่จัดการด้วยตัวเอง

อีกฝ่ายถึงขนาดกล้าเชิญตัวเองที่เป็นยมทูตมาเลี้ยงฉลองถึงบ้าน ก็พอที่จะเห็นความไม่กลัวเกรงของอีกฝ่ายได้มากพอ

“วางเกี้ยวลง!”

พวกคนแบกเกี้ยววางเกี้ยวลงพร้อมกัน สวี่ชิงหล่างถูกผลักออกมา เขาระมัดระวังและเขินอายมาก ขณะเดียวกันก็อับอายเป็นที่สุด

“นายหญิงเชิญค่ะ”

หญิงสาวในชุดโบราณสีดำคนหนึ่งเดินมาอยู่ตรงหน้าโจวเจ๋อกับสวี่ชิงหล่าง แล้วโน้มตัวด้วยความเคารพ

“เดินเถอะ”

โจวเจ๋อตบไหล่ของสวี่ชิงหล่าง

สวี่ชิงหล่างปัดมือของโจวเจ๋อออกด้วยความรังเกียจ แต่ยังเดินไปข้างหน้าพร้อมกับโจวเจ๋อ

เมื่อเดินผ่านโต๊ะจัดเลี้ยง มองดูวิญญาณลักษณะต่างๆ ที่อยู่ข้างๆ พากันชี้และวิจารณ์ตัวเอง โจวเจ๋อรู้สึกไม่ค่อยคุ้นชินเท่าไร โชคดีที่พอเดินมาถึงหน้าห้องเล็กสีแดงชั้นสองของตึก ในที่สุดก็ไม่ได้ยินเสียงดังรบกวนวุ่นวายอีก

อาคารหลังนี้ประดับประดาด้วยผ้าและโคมไฟสวยงาม แขวนด้วยโคมไฟสีแดงขนาดใหญ่ และยังเปลี่ยนโคมคู่อันใหม่หน้าประตูด้วย เข้ากับบรรยากาศสดชื่น ร่าเริง

ตัวอาคารเป็นแบบสมัยใหม่ ผ่านประตูตรงกลางเข้าไป ก็เป็นห้องนั่งเล่น สาวใช้ในชุดโบราณสีดำคนนั้นส่งสัญญาณแสดงให้โจวเจ๋อกับสวี่ชิงหล่างเข้าไป

“ตื่นเต้นไหม” โจวเจ๋อถามในทันใด “ถ้าหากหน้าตาท่าทางเหมือนกับหวังจู่เสียนจริงๆ คุณอย่าเที่ยวเพลินจนลืมกลับบ้านนะ”

“ผมอยากให้เธอชอบ ‘หนึ่งหญิงสองชาย’”

สวี่ชิงหล่างพูดอย่างโหดร้าย เห็นได้ชัดว่าในเมื่อเขาซวยก็อยากดึงโจวเจ๋อให้ซวยไปด้วย

เพราโจวเจ๋อคอยซ้ำเติมอย่างเต็มที่ตลอดทางจริงๆ และพยายามอดกลั้นเพื่ออยากดูความตลกของเขา!

ปกติเขามักจะชอบพูดว่า ‘ตัวเองมีห้องชุดยี่สิบห้อง’ เป็นประจำไม่ใช่เหรอ

หรือนี่ไม่ใช่เรื่องจริง!

เขาจงใจอยากอวดอยากโชว์อะไรไม่ใช่หรือ

พอเข้าไปในห้องโถง เท้าเหยียบอยู่บนพรมสีแดงผืนใหญ่ พื้นผนังโดยรอบแขวนด้วยผ้าปักครอสติสที่สวยงาม

หญิงสาวในชุดเจ้าสาวสีแดงคนหนึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะตัวเล็กข้างๆ อย่างสุภาพและสง่างาม

มีกับแกล้มที่จัดอย่างประณีตวางอยู่บนโต๊ะตัวเล็ก

“ท่านยมทูต เจ้าบ่าว เชิญนั่งเจ้าค่ะ”

หญิงสาวลุกขึ้น เพื่อบอกให้ทั้งสองนั่งลง

เนื่องจากใบหน้าของหญิงสาวถูกคลุมด้วยผ้าคลุมหน้าสีแดง ดังนั้นจึงมองเห็นไม่ถนัด

แต่น้ำเสียง มีความไพเราะมากจริงๆ

โจวเจ๋อนั่งลง จากนั้นจึงลากสวี่ชิงหล่างนั่งลงไป สวี่ชิงหล่างนั่งลงอย่างกระมิดกระเมี้ยน

ในเมื่อมาแล้วก็จงอยู่ให้มีความสุขเถิด จะได้ดูว่าแม่นางอยากจะเล่นลูกไม้อะไร

อาหารเลิศรสบนโต๊ะน่าทานและหอมมาก สุราก็หอมกรุ่น กลิ่นหอมชื่นใจ

“ท่านยมทูต เจ้าบ่าว เชิญกินได้ค่ะ” ผีสาวผายมือเพื่อบอกให้ทั้งสองกินข้าว

โจวเจ๋อไม่กิน ยังคงรักษาท่าที

สวี่ชิงหล่างที่มีสีหน้าเจ็บแค้นกลับดื่มเหล้าติดกันสามจอก จากนั้นก็พูดว่า “เหล้าดี!”

ต่อจากนั้นก็กินกับข้าวไม่หยุด ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะเปลี่ยนจากความเจ็บแค้นเป็นความหิว

โจวเจ๋อมองดูอยู่ข้างๆ หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลง พลางใช้มือปิดปากของตัวเอง

“คุณเป็นอะไร กินสิ อร่อยมากนะ อร่อยกว่าที่ผมทำเสียอีก” สวี่ชิงหล่างก็เป็นพ่อครัว รสชาติอร่อยหรือแย่สามารถแยกแยะได้โดยอัตโนมัติ

‘คุณไม่เคยดูหนังผีเหรอ’

โจวเจ๋อคิดอยากจะพูด

แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร แล้วจึงหยิบตะเกียบขึ้นมาช่วยคีบอาหารใส่ชามของสวี่ชิงหล่าง พร้อมกำชับว่า

“เด็กดี กินเยอะๆ นะ ที่นี่ไม่มีน้ำบ๊วย ผมกินไม่ลง คุณเข้าใจอยู่แล้ว”

สวี่ชิงหล่างทำเสียง ‘ฮึดฮัด’ สองที เพราะมีเขาอยู่ด้วยจึงไม่สงสัย จากนั้นจึงกินต่อ ถึงแม้ต้องตายก็ขอเป็นผีที่ไม่อดอยาก!

และมันอร่อยจริงๆ!

สวี่ชิงหล่างกำลังคิดว่าอีกประเดี๋ยวจะหาโอกาสเรียนวิธีการทำอาหารกับผีสาวตนนี้ หากนำอาหารเหล่านี้ไปวางขายในตลาด เชฟระดับโรงแรมห้าดาวก็ทำรสชาติอร่อยแบบนี้ไม่ได้

รอจนสวี่ชิงหล่างกินเสร็จ

โจวเจ๋อจึงพยักหน้าด้วยความพอใจ แล้วจึงถามผีสาวว่า “แม่หญิง ไม่ทราบว่ากับข้าวพวกนี้ทำยังไงครับ”

“ท่านยมทูตเกรงใจเกินไปแล้ว เหล้านี้ ข้าหมักมาจากฉี่ของคนที่สัญจรไปมา

ส่วนกับข้าวพวกนี้ ข้านำเนื้องู แมลง หนูและมดที่สดใหม่ที่สุดมาใช้ในการปรุงเจ้าค่ะ…”

สวี่ชิงหล่างสีหน้าเปลี่ยนไปทันที

จากนั้นยื่นมือชี้นิ้วมาที่โจวเจ๋อ ยังไม่ทันรอให้เขาพูดอะไร ต่อมาก็… “อ้วก…”

…………………………………………………………………………