เล่มที่ 8 บทที่ 219 พูดไม่ชัด

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ

“ไม่ต้องถามแล้ว ข้าจะไปดูเอง”

ชิงหูดันตัวหลินเมิ้งหยาไปเบื้องหลัง ก่อนจะเดินเข้าไป

แม้สถานการณ์ภายในค่ายจะวุ่นวาย แต่เพราะมีกำลังพลเป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังมีหิมะตก

ดังนั้นเปลวเพลิงจึงถูกสกัดได้ในไม่ช้า หลินเมิ้งหยาเดินผ่านค่ายเข้าไปอย่างระมัดระวัง ด้านนอกไม่มีปัญหาอะไร คาดว่าเปลวเพลิงจะต้องลุกโหมมาจากด้านในอย่างแน่นอน

กระโจมหลักและบริเวณรอบๆ ล้วนถูกเผาไหม้จนเหลือแต่ตอ หลินเมิ้งหยานิ่งอึ้งราวกับคนโง่

ดูเหมือนกระโจมหลักและกระโจมของฉินมั่วจะถูก “ให้ความสำคัญ” เป็นอย่างดี

คนกลุ่มนี้บังอาจยิ่งนัก พวกเขากล้าลอบวางเพลิงได้แม้ในค่ายทหาร

ดูเหมือนจะอยากให้ฉินมั่วตายคาที่

“คนเล่า? ฉินมั่วอยู่ที่ไหน?”

หลินเมิ้งหยายึดตัวทหารคนหนึ่งเอาไว้แล้วเอ่ยถามด้วยความร้อนใจ

ชายคนนั้นรู้สึกหมดความอดทน แต่เมื่อเห็นว่านางคือหลินเมิ้งหยา สีหน้าดีใจอย่างสุดซึ้งพลันปรากฏขึ้น

“คุณหนูใหญ่ ท่านกลับมาแล้ว! ท่านแม่ทัพรอท่านจนแทบจะบ้าตายอยู่แล้วขอรับ เชิญท่านมากับข้าทางนี้เถิด”

นางเดินตามหลังนายทหารไป

เมื่อมาถึงด้านในสุด นางไม่เห็นกระโจมที่ถูกไฟไหม้อีก

หัวใจของหลินเมิ้งหยาเต้นเป็นจังหวะกระหน่ำ

ร่างกายของฉินมั่วไม่อาจถูกเคลื่อนย้ายได้

หากตำแหน่งของเข็มคลาดเคลื่อน นางไม่อยากนึกถึงผลที่ตามมา

กระโจมที่อยู่ด้านในสุดมีการตรึงกำลังทหารเอาไว้อย่างแน่นหนา

เพียงได้เห็นหลินเมิ้งหยา พวกเขารีบแหวกทางให้

หลินเมิ้งหยาวิ่งเข้าไปด้านใน นางเห็นกลุ่มคนยืนล้อมเตียงของฉินมั่วเอาไว้ ใบหน้าของสาวใช้ทั้งสี่เปรอะเปื้อนราวกับลูกแมวเปื้อนโคลน แต่ถึงกระนั้นก็ยังพยายามทำงานของตนเองอย่างสุดความสามารถ

“คุณหนูใหญ่มาแล้ว หลบไปเร็ว”

ไม่รู้ว่าใครเป็นผู้ร้องตะโกน แต่เสียงนั้นทำให้ทุกคนแหวกทางให้นางอย่างรวดเร็ว

หลินเมิ้งหยาแทรกตัวเข้าไป ทว่าร่างกายของฉินมั่วเริ่มมีสีม่วงช้ำ

“พระชายา! ลูกชายของกระหม่อมเป็นเช่นไรบ้าง? เข็ม…เข็มถูกคนดึงออกไปแล้ว”

ใต้เท้าฉินใกล้จะสิ้นสติเต็มที ตอนที่มีเสียงร้องตะโกนว่าไฟไหม้ เขาวิ่งออกไปดูแค่เพียงครู่เดียวเท่านั้น

แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเมื่อกลับมาอีกครั้ง เข็มที่ถูกฝังอยู่บนร่างกายของลูกชายตนเองจะหายไป

ใครกันที่ใจดำอำมหิตเช่นนี้ พวกเขาไม่คิดอยากให้สกุลฉินมีทายาทสืบสกุลกระนั้นหรือ?

“ไม่เป็นไร พระชายา กระหม่อมใช้วิชาลับของตระกูลยับยั้งการแพร่กระจายพิษเอาไว้ ตอนนี้เหลือเวลาอีกเพียงครึ่งชั่วโมงพ่ะย่ะค่ะ”

คิดไม่ถึงเลยว่าไท่อีชิวอวี้จะเป็นฝ่ายพูดขึ้น

มองดูสีหน้าขาวซีด หลินเมิ้งหยารู้ในทันทีว่าวิชาลับนี้จะต้องส่งผลกระทบต่อหัวใจอย่างแน่นอน

“เอายาที่ข้าผสมไว้เข้ามา พวกเจ้าจงรีบนำมันไปต้ม ที่เหลือข้าจะจัดการเอง”

หลินเมิ้งหยาหยิบหญ้าชิงหลิงออกจากวงแขน เช็ดเล็กน้อย ก่อนจะยัดเข้าปาก

“เจ้าเด็กน้อย! มันไม่ใช่ของกินนะ”

ยังไม่ทันสิ้นเสียงร้องห้ามของชิงหู ใบหน้าของหลินเมิ้งหยาก็ยับยู่ยี่ประหนึ่งซาลาเปา

อา! ขมจัง!

แต่ส่วนสำคัญที่สุดของหญ้าชิงหลิงคือน้ำสกัดของมันนี่นา

ทำใจเคี้ยวต่อ ไม่นานน้ำสีขาวก็ไหลออกมาจากปาก หลินเมิ้งหยารู้สึกราวกับชีวิตตกอยู่ในความมืดมนขมขื่น

“เร็วเข้า เอาแก้วชามา”

ทุกคนไม่เข้าใจว่าพระชายากำลังทำอะไร

แต่สุดท้ายนางก็พยายามเคี้ยวจนสกัดน้ำจากหญ้าชิงหลิงออกมาจนสำเร็จ

“สมุนไพรตัวนี้จะส่งผลกระทบตามมาหรือไม่?”

ชิงหูมองดู ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความกังวล

หลินเมิ้งหยาโบกมือ

“ไอ้เอ็นไอ อ้อแอ้อู้ดไอ้อั๊ดเอ้าอั๊น (ไม่เป็นไร ก็แค่พูดไม่ชัดเท่านั้น)”

เหตุเพราะหญ้าชิงหลิงมีฤทธิ์ทำให้เกิดอาการชา แต่เพียงหนึ่งชั่วโมงก็จะกลับมาเป็นปกติเหมือนเดิม

ขณะที่คนอื่นๆ กำลังไปต้มยา หลินเมิ้งหยาเริ่มตรวจอาการของฉินมั่วครั้งสุดท้าย

แม้ว่าจะได้ยาถอนพิษมาแล้ว แต่เขาถูกพิษกัดกร่อนร่างกาย

หากคิดจะถอนพิษออกให้หมด เช่นนั้นจะต้องทำการดูดพิษ

“อ๋อยออกไอ (ถอยออกไป)”

ท่าทางยังคงน่าเกรงขาม เพียงแค่ส่งเสียงออกมาไม่ชัด ทว่าทุกคนกลับรู้สึกผ่อนคลายเล็กน้อย

“จงถ่ายทอดคำสั่งของข้า! ทุกคนในค่ายชิงเฟิงห้ามเข้าใกล้กระโจมแม้แต่ก้าวเดียว! หากฝ่าฝืนอนุญาตให้ฆ่าได้ไม่ยกเว้น!”

หลินหนานเซิงไล่ทุกคนออกไปด้านนอก ภายในกระโจมจึงเหลือเพียงใต้เท้าฉินและไท่อีอีกสองคน

แม้แต่ชิงหูก็ออกไปยืนด้านหน้ากระโจมทันทีเพื่อปกป้องหลินเมิ้งหยา

“อ้าอะเอิ้มแอ๊วอ๊ะ (ข้าจะเริ่มแล้วนะ)”

หลินเมิ้งหยาพยักหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ราวกับอาการชาของลิ้นมิได้เป็นอุปสรรคแต่อย่างใด

เข็มเล่มยาวที่ถูกฆ่าเชื้อเรียบร้อยแล้วปรากฏเบื้องหน้าของนาง

สูดลมหายใจ หลินเมิ้งหยาฝังเข็มแรกลงไป

เหตุเพราะกำลังอยู่ในสถานการณ์คับขัน ฉะนั้นใต้เท้าฉินจึงจับจ้องมองดูใบหน้าของลูกชายตนเองที่กำลังถูกหลินเมิ้งหยาฝังเข็มให้ตลอดเวลา

ร่างกายทั้งท่อนบนและล่างล้วนถูกเข็มหลายสิบเล่มแทงเข้าไปลึกถึงกระดูก

เม็ดเหงื่อผุดพรายตามใบหน้าของหลินเมิ้งหยา

“อย่ากังวลไปเลย ท่านทำได้อย่างแน่นอน”

ผ้าเช็ดหน้าสีขาวยกขึ้นมาเช็ดหน้าผากที่กำลังชุ่มไปด้วยเหงื่อ

หลินเมิ้งหยาหันไปมองชิวอวี้ ดูท่าว่าไท่อีผู้นี้จะเชื่อใจนางอย่างหมดหัวใจ

พยักหน้า หยิบเข็มเล่มสุดท้ายแทงลงไป

“นายหญิง ต้มยาเสร็จแล้วเจ้าค่ะ”

ด้านนอกกระโจม ป๋ายจีซึ่งเป็นคนสุขุมที่สุดยกถ้วยยาเข้ามา

หลินเมิ้งหยามองด้วยความสงสัยเล็กน้อย ก่อนจะรับถ้วยยามา

เมื่อครู่นางตรวจสอบยาเล็กน้อย โชคดีที่ไม่มีใครยุ่งอะไรกับมัน

หลินเมิ้งหยาสูดลมหายใจ ก่อนพยุงศีรษะฉินมั่วขึ้นมา

ท่ามกลางสายตาฉงนของใต้เท้าฉิน นางป้อนยาให้ฉินมั่วเกินครึ่งถ้วย

ยาไหลผ่านคอของฉินมั่วเข้าสู่ร่างกาย

หลินเมิ้งหยาขยับตัวถอยหลังหลายก้าว ก่อนจะสั่งให้ใต้เท้าฉินและชิวอวี้หมอบไกลๆ

“พระชายา ท่าน….”

ใต้เท้าฉินไม่เข้าใจ ขณะที่กำลังจะเอ่ยปากถาม สายตาพลันเห็นลูกชายพ่นเลือดสีดำออกมา

“อย่าขยับ! เมื่อครู่พระชายาเปิดระบบไหลเวียนเลือดทั้งหมดของคุณชายหลิง หากข้าเดาไม่ผิดแล้วล่ะก็ พระชายาใช้ยาขับพิษออกมา”

สมแล้วที่ชิวอวี้เป็นไท่อี หลินเมิ้งหยาส่งสายตาชื่นชมไปทางเขา

ท่ามกลางสายตาของทุกคน ไม่นานเลือดสีดำสนิทก็ถูกขับออกจากร่างกายของฉินมั่ว

ชิวอวี้เหลือบมองหลินเมิ้งหยา นางไปเรียนรู้วิธีการอันน่าทึ่งนี้มาจากที่ใด?

เลือดสีดำของฉินมั่วไหลลงท่วมเตียงจนดูราวกับแอ่งน้ำเล็กๆ

หลินเมิ้งหยาสั่งให้ป๋ายจีนำยาที่เหลือเข้ามา อีกทั้งยังสั่งให้เตรียมน้ำอุ่นเอาไว้

ยาพิษที่ทะลักออกมาสาดกระเซ็นลงบนพื้น

อากาศภายในกระโจมคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเลือดผสมกลิ่นเหม็นของยาพิษ

ตอนนี้ใต้เท้าฉินรู้แล้วว่าพระชายากำลังทำอะไร

เมื่อเห็นว่าฉินมั่วขับพิษออกมาได้มากแล้ว หลินเมิ้งหยาจึงนำยาที่เหลือทาบนร่างกายของเขา

นางดึงแขนเสื้อขึ้น หยิบอ่างน้ำขึ้นมาแล้วค่อยๆ ราดรดลงบนร่างของชายหนุ่มที่เพิ่งผ่านความตายมาหมาดๆ

“พระชายา งานที่ต้องออกแรงเช่นนี้ให้กระหม่อมทำเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

คิดไม่ถึงเลยว่าชิวอวี้จะเสนอตัวเข้าช่วย

หลินเมิ้งหยาหันไปมอง ก่อนจะพยักหน้า

น้ำอุ่นค่อยๆ ถูกราดรดลงบนตัวของฉินมั่ว

บางทีอาจเพราะพิษถูกขับออกมาจนหมดแล้ว คิ้วที่ขมวดเป็นปมของชายคนนี้จึงคลายลง

หลินเมิ้งหยายืนอยู่ด้านหลังสุด เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงแล้ว นางจึงหมุนตัวออกจากกระโจม

ถึงอย่างไรนางก็เป็นหญิง ของลับบางอย่างนางก็ไม่ควรมอง

“เสี่ยวหยา เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”

เมื่อเดินออกมาจากกระโจมแล้ว หลินเมิ้งหยาถูกพวกหลินหนานเซิงเข้ามาห้อมล้อม

โชคดีที่อาการลิ้นชาของนางดีขึ้นมากแล้ว จึงสามารถส่งเสียงได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

“ทุกอย่างเรียบร้อยดีเจ้าค่ะ ท่านพี่โปรดวางใจ”

เมื่อเห็นท่าทางโล่งใจของพี่ชาย หลินเมิ้งหยารู้สึกว่าความพยายามของตนเองไม่สูญเปล่า

“ข้าได้ยินเรื่องที่ชิงหูเล่าหมดแล้ว เจ้า…เจ้าโง่จริงๆ”

ทั้งถูกโจมตีระหว่างทาง ทั้งเกือบร่วงหล่นจากหน้าผา

เพียงได้ยินเท่านี้ ความกลัวพลันปรากฏขึ้นในใจของหลินหนานเซิง

ถ้าหากเขาสามารถช่วยสหายของตนเองได้ แต่ต้องสูญเสียน้องสาวไป

เขาไม่อยากจะนึกภาพนั้นเลยจริงๆ

“พวกเราลูกชายลูกสาวสกุลหลินควรมีความกล้าเช่นนี้จึงจะถูก จริงสิท่านพี่ ตกลงเหตุเพลิงไหม้ในค่ายเกิดขึ้นได้เช่นไร?”

หลินเมิ้งหยารีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา นางรู้จักพี่ชายของตนเองดี

อย่าได้มองเขาเป็นเพียงท่านแม่ทัพใหญ่ผู้กล้าหาญแห่งสกุลหลินเชียว

ในช่วงเวลาที่มีปัญหาเกิดขึ้น เขาไม่ต่างอะไรจากนักบ่นมืออาชีพเลยทีเดียว

หากเปิดโอกาสให้แล้วล่ะก็ กว่าจะฟังจบคงต้องใช้เวลานานหลายชั่วโมง

“ตอนนั้นข้ากำลังจัดการงานอยู่ในกระโจมหลัก ทุกคนกำลังยุ่งอยู่กับการปกป้องฉินมั่ว ดังนั้นจึงไม่มีใครทันได้ตรวจสอบเรื่องนี้”

สายตาของหลินหนานเซิงเย็นชาขึ้น

การลอบสังหารเขาในค่ายทหารนับว่าเป็นเรื่องใหญ่มากแล้ว

ต่อมายังถูกวางเพลิง เรื่องนี้มิต่างอะไรจากการตบหน้าเขาและทำให้ทหารกล้าแห่งสกุลหลินต้องรู้สึกอับอาย

“ที่ท่านพี่เอ่ยเช่นนี้ก็เพราะคิดว่ามีคนสอดแนมอยู่ในค่ายใช่หรือไม่?”

อันที่จริงนี่มิใช่เรื่องยากในการเดา

ยิ่งไปกว่านั้น กองทัพหาใช่กองเหล็ก

หลินเมิ้งหยายื่นหน้าเข้าไปกระซิบข้างใบหูหลินหนานเซิงสองสามประโยค หลังจากเห็นสายตาลังเลของเขา นางจึงพาสาวใช้ของตนเองพร้อมทั้งชิงหูเดินเข้าไปยังจุดต้นเหตุของเหตุการณ์ไฟไหม้

แม้ตอนนี้สภาพอากาศจะหนาวเหน็บ แต่กระโจมเล็กกระโจมน้อยล้วนโดนเผาไหม้จนกลายเป็นเถ้าถ่าน

หลินเมิ้งหยาเดินอ้อมดูหนึ่งรอบ คิ้วขมวดเข้าหากัน

“คิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นน้ำมันตะเกียง”

เป็นไปตามคาด มีคนจงใจวางเพลิงที่นี่

“ภายในค่ายทหารย่อมมีน้ำมันตะเกียงอยู่แล้ว แต่พี่ชายของเจ้ากำลังกลับเมืองหลวงเพื่อไปรายงานสถานการณ์ หาใช่ไปออกรบ เช่นนั้นพวกเขาคงใช้น้ำมันทำกับข้าวมิง่ายกว่าหรือ?”

ชิงหูเองก็ได้กลิ่นน้ำมันตะเกียงเข้มข้น

เขาและหลินเมิ้งหยามีประสาทสัมผัสในการดมกลิ่นค่อนข้างไว

เดิมทีกลิ่นเหม็นไหม้ของผ้าสักหลาดก็มากเพียงพอที่จะกลบกลิ่นแล้ว

แต่ถึงกระนั้นก็ไม่อาจปิดบังจมูกของทั้งสองคนไปได้

“ข้าเคยได้ยินท่านอ๋องอวี้กล่าวว่าน้ำมันตะเกียงเป็นสินค้าควบคุม ปกติคนทั่วไปจะต้องไปซื้อถึงที่ อีกทั้งยังห้ามซื้อในปริมาณเกินกำหนด ผ้าสักหลาดในค่ายของท่านพี่ล้วนถูกออกแบบมาเป็นพิเศษ หากต้องการวางเพลิงใหญ่โตเช่นนี้ แสดงว่าพวกเขาจะต้องใช้น้ำมันไม่น้อยเลย”