แม้ว่าเปลวเพลิงเผาไหม้หลักฐานทุกอย่างจนกลายเป็นเถ้าธุลี แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงหลงเหลือหลักฐานชิ้นหนึ่ง
หลินเมิ้งหยาหยิบดาบเล่มยาวของชิงหูขึ้นมา ก่อนจะใช้มันเขี่ยไปมาในกองเถ้าถ่าน
“เฮ้อ เจ้าเด็กน้อย ดาบเล่มนั้นของข้าแพงมากเลยนะ”
ชิงหูมองดาบของตนเองอย่างเจ็บปวดใจ เขาต้องทุ่มเงินมหาศาลในการจ้างวานช่างตีเหล็กฝีมือดีตีมันขึ้นมา
ปกติไม่มีใครแตะต้องมันได้
คิดไม่ถึงเลยว่าหลินเมิ้งหยาจะนำมันมาเขี่ยขี้เถ้าเช่นนี้
“ก็ได้ เช่นนั้นคืนให้เจ้า”
หลินเมิ้งหยาโยนดาบคืนให้ชิงหู นางคิดจะใช้มือขุด
มองดูมือนุ่มนิ่มคู่นั้นกับดาบสุดรักสุดหวงของตนเอง ชิงหูไม่ลังเลเลยที่จะเลือกมือคู่นั้น
ก่อนจะเอ่ยเหมือนสุนัขหางหด
“ต่อให้แพงขนาดไหน แต่ถ้าไม่เอามาใช้ก็คงไม่คุ้ม ไม่เป็นไรหรอก เชิญเจ้าตามสบายเลย”
หลินเมิ้งหยาแอบหัวเราะ นางรู้อยู่แล้วว่าชิงหูจะต้องไม่มีทางปล่อยให้นางทำเช่นนั้นแน่
ใช้ดาบขุดคุ้ยหาสิ่งที่ต้องการ พวกเขาจะต้องไม่พกถังใส่น้ำมันไปด้วยอย่างแน่นอน
ขอบคุณสวรรค์ที่ยังมีเมตตา ถังน้ำมันและตะบันจุดไฟยังคงไม่ถูกเผามอดไหม้ไปจนหมด
“ด้านบนจะต้องมีสัญลักษณ์ของร้านขายน้ำมันอย่างแน่นอน ขอเพียงพวกเราตรวจสอบดูก็จะรู้ได้ในทันทีว่าใครเป็นคนซื้อไป อีกอย่าง การขนน้ำมันเข้ามาในค่ายทหารเช่นนี้จะต้องมีคนสังเกตเห็นอย่างแน่นอน”
เมื่อครู่หลินเมิ้งหยาบอกให้พี่ชายของตนเองไปสร้างขวัญกำลังใจเหล่าหัวหน้าแม่ทัพนายกองทั้งหลายเพื่อให้พวกเขาจับตามองลูกน้องของตนเองเอาไว้
จากนั้นนางจึงแอบออกมาหาหลักฐาน หนึ่งก็เพื่อป้องกันมิให้ใครเข้ามาทำลายหลักฐาน สองก็เพื่อทำให้อีกฝ่ายตั้งตัวไม่ทัน
“เอาของพวกนี้ไปให้ท่านพี่เจ้าก็พอแล้ว เจ้าเด็กน้อย พวกเรารีบกลับกันดีกว่า”
หลังจากผ่านเหตุการณ์ความเป็นความตายมา สาวงามอย่างหลินเมิ้งหยากลับกลายเป็นตุ๊กตาเปื้อนโคลนไปเสียแล้ว
ใบหน้าขาวนวลเต็มไปด้วยฝุ่นขี้เถ้า
“อืม ได้ ข้าจะนำของพวกนี้ไปมอบให้ท่านพี่”
ชิงหูใช้แขนเสื้อเช็ดใบหน้านวลอย่างเบามือเสมือนเขาทำมันอย่างเคยชิน
หลินเมิ้งหยายกยิ้ม สำหรับนาง ฐานะของชิงหูแทบไม่ต่างอะไรจากหลินหนานเซิงเลย
ทว่าเมื่อภาพตรงหน้าตกอยู่ในสายตาของชายอีกสองคน จู่ๆ บรรยากาศพลันเปลี่ยนไป
“ทั้งที่อยู่ท่ามกลางสายตาของผู้คนมากมาย แต่กลับยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แสดงกิริยาออดอ้อนกับเจ้านักฆ่าแห่งเถาฮวาอู๋นั่นอย่างโจ่งแจ้ง พี่สาม ชายาของท่านดูจะมีความสุขเสียเหลือเกิน”
หลงชิงหานที่รีบตามมาตั้งใจเข้ามายืนพูดข้างๆ หลงเทียนอวี้
หลงเทียนอวี้เพียงชำเลืองมองเขาเล็กน้อย ทว่าสายตายังคงเหมือนเดิม
ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับชิงหู หากเขาที่อยู่ร่วมชายคาเดียวกับนางทุกวันคืนยังไม่รู้แล้วล่ะก็ เช่นนั้นแสดงว่าเขาคงเป็นคนตาบอด
ยิ่งไปกว่านั้น….
เขาหมุนตัว สาวเท้ายาวๆ ออกไป หลงชิงหานยังคงไม่ยอมแพ้ เขารีบตามหลังหลงเทียนอวี้แล้วเอ่ยวาจาเชือดเฉือนดั่งใบมีดสำทับ
“พี่สาม หากนางสนใจท่าน สนใจตำแหน่งพระชายา นางก็คงไม่ระริกระรี้อยู่กับเจ้าชิงหูนั่น นี่มันไม่ต่างอะไรจากการดูถูกท่านเลยแม้แต่น้อย!”
หลงเทียนอวี้หันไปมององค์ชายเจ็ดที่เป็นน้องชายของเขาราวกับกำลังมองคนแปลกหน้า
“ใครสอนให้เจ้าเอ่ยวาจาเช่นนี้”
คำพูดของหลงเทียนอวี้ทำให้ใบหน้าของหลงชิงหานแดงก่ำ ครู่ต่อมาเขาจึงเอ่ยเสียงแข็งกร้าว
“คือ….ข้า…มันคือคำพูดที่ออกมาจากก้นบึ้งในหัวใจของข้า! พี่สาม ต่อให้ท่านไม่ฟังข้า แต่อย่างน้อยท่านก็ควรฟังคำพูดของหมู่เฟยมิใช่หรือ?”
แววตาเปลี่ยนไป พยายามปิดบังความเจ็บปวดในใจ
หลงเทียนอวี้มองน้องเจ็ดของตนเองอย่างขมขื่น
“ต่อจากนี้ไปห้ามอยู่กับเจียงเฉิงและป๋ายหลี่อู๋เฉินอีก”
เห็นได้ชัดว่าพี่สามรู้เรื่องนี้ดี หลงชิงหานจึงพูดไม่ออก
ยิ่งไปกว่านั้น ความรู้สึกที่หลงชิงหานมีต่อหลินเมิ้งหยาโดยมากแล้วยังเป็นความรู้สึกชื่นชม
ไม่รู้ว่าเขาไปขลุกอยู่กับพวกป๋ายหลี่อู๋เฉินตั้งแต่เมื่อไหร่
ก่อนหน้านี้เขาไม่ใส่ใจเพราะคนเหล่านั้นมิได้สร้างเรื่องใหญ่โตแต่อย่างใด
ทว่าตอนนี้ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดคนเหล่านั้นจึงหันมาทำร้ายหลินเมิ้งหยา
“พี่สาม พวกเราก็แค่…”
“เรื่องของข้า ข้าย่อมรู้ดีที่สุด ชิงหาน ข้าเคยบอกเจ้าแล้วว่าแต่ละคนล้วนมีเป้าหมายของตนเอง หากเจ้ามองไม่ออก เช่นนั้นเจ้าจะถูกหลอกใช้เอาได้”
แม้หลงเทียนอวี้จะไม่พูด แต่เขาก็รู้ความคิดของคนเหล่านั้นดี
พวกเขาหลอกใช้ความเป็นห่วงของหลงชิงหานที่มีต่อเขา
เขาเคยเตือนเจียงเฉิงและป๋ายหลี่อู๋เฉินไปแล้ว ฉะนั้นพวกเขาจึงพยายามเป่าหูหลงชิงหาน
พวกเขาพยายามดึงฟืนออกจากใต้หม้อ ดูเหมือนเขาจะประมาทพวกเขาจนเกินไป!
“ข้า…”
หลงชิงหานไม่ได้โง่ อีกทั้งยังมิใช่คนขลาดเขลา
มองตามพี่สามที่เดินจากไป เขาอ้าปากค้าง แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา
ทันใดนั้นสติสัมปชัญญะของตนเองพลันตื่นขึ้น
เขากำลังถูกคนอื่นหลอกใช้
ป๋ายหลี่อู๋เฉินมีความสามารถในการโน้มน้าวจิตใจผู้อื่น หากไม่เป็นเช่นนี้แล้วล่ะก็ เขาคงไม่มองว่าหลินเมิ้งหยาเป็นหินขวางทาง
จะว่าไปเรื่องนี้ก็แปลก
หันไปมองทางหลินเมิ้งหยาที่เดินจากไป หลงชิงหานครุ่นคิดบางอย่าง
“คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะหาเบาะแสเจออย่างรวดเร็วเช่นนี้ หากท่านพ่อรู้จะต้องรั้งเจ้าไว้ข้างกายมิยอมปล่อยไปไหนอย่างแน่นอน”
หลินหนานเซิงมองดูสิ่งของสองอย่างตรงหน้า เขารู้สึกประหลาดใจจนพูดไม่ออก
เขาจำคำพูดของท่านพ่อได้ แม่ของพวกเขาเป็นหญิงที่มีสติปัญญาเป็นหนึ่ง
แต่เขาคิดไม่ถึงเลยว่าความฉลาดเฉลียวนั้นจะถูกส่งต่อมายังน้องสาวของเขา
“ข้าไม่เอาด้วยหรอก! ต้องระหกระเหินเดินดินกินกลางป่า ข้าขอเป็นชายาอวี้ต่อไปดีกว่า เอาล่ะท่านพี่ ตอนนี้เรื่องราวคลี่คลายเรียบร้อยแล้ว ข้าควรจะกลับไปได้แล้วเช่นกัน”
มิใช่เรื่องดีที่นางบุกเข้ามาในค่ายทหารเช่นนี้
หากยังอยู่ที่นี่ต่อไปแล้วล่ะก็ เกรงว่าจะถูกผู้มิหวังดีนำเรื่องนี้มาเป็นข้ออ้างได้
ยิ่งไปกว่านั้น แค่เรื่องลอบสังหารและวางเพลิงก็ทำให้พี่ชายปวดหัวมากเพียงพอแล้ว
นางมิอาจช่วยได้ แต่อย่างน้อยไม่สร้างปัญหาเพิ่มให้ท่านพี่ก็เพียงพอแล้ว
“อืม เจ้าพูดถูก เอาอย่างนี้แล้วกัน เจ้ารอข้าก่อนสักครู่ หลังจากข้าไปหาใต้เท้าฉินแล้ว ข้าจะให้คนไปส่งพวกเจ้า”
หลินเมิ้งหยาต้องการปฏิเสธ ทว่าหลินหนานเซิงกลับแสดงท่าทีมุ่งมั่น
เขากลัวว่าน้องสาวจะพบอันตรายระหว่างทาง หากมิใช่เพราะเขายังไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าเมืองหลวงในเวลานี้แล้วล่ะก็ เขาจะขอเป็นคนไปส่งน้องสาวด้วยตนเอง
เดินตามหลังพี่ชายไป หลินเมิ้งหยาที่ทุกคนได้ยินข่าวว่าเป็นหญิงสาวสติเลอะเลือนเรียกสายตาจากผู้คนได้มากมาย
ภายในค่ายทหาร เหตุการณ์แสดงทักษะทางการแพทย์ที่น่าทึ่งของคุณหนูใหญ่สกุลหลินยังคงตราตรึงอยู่ในหัวใจของทหารทุกคน
ยิ่งไปกว่านั้น หลินเมิ้งหยายอมเสี่ยงอันตรายจนเกือบเอาชีวิตไม่รอดเพื่อช่วยเหลือรองแม่ทัพตำแหน่งเล็กๆ ดังนั้นชื่อเสียงของหลินเมิ้งหยาจึงเพิ่มมากขึ้น
“ยินดีด้วยขอรับใต้เท้าฉิน คุณชายหลิงอาการดีขึ้นแล้ว ขอเพียงบำรุงดูแลร่างกายให้ดี อีกไม่นานคงกลับมาใช้ชีวิตโลดโผนได้เป็นปกติ”
ภายในกระโจม เสียงชื่นชมของชิวอวี้ดังขึ้น
วิธีการของหลินเมิ้งหยาล้ำลึกยิ่งนัก
นางสามารถคิดหาวิธีขับพิษออกมาได้ อีกทั้งเขายังไม่เคยเห็นวิธีการเช่นนี้มาก่อน
เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมียอดคน
“ยอดเยี่ยมจริงๆ ข้าเองก็คิดไม่ถึงว่าจะสามารถช่วยชีวิตมั่วเอ๋อร์กลับมาได้เช่นนี้”
ฉินสวี่มองดูร่างกายที่กลับมามีสีเลือดของลูกชาย
ลมหายใจของเขาเข้าออกอย่างสม่ำเสมอแล้ว
“ใต้เท้าฉิน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านได้โปรดวางใจเถิด”
หลินหนานเซิงเดินผ่านกระโจมเข้าไป ใบหน้าหล่อเหลาเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม
สกุลฉินและสกุลหลินล้วนมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน น้องสาวของเขาสามารถช่วยชีวิตฉินมั่วกลับมาได้ ตอนนี้ความสัมพันธ์ของทั้งสองตระกูลคงจะยิ่งแนบแน่นมากกว่าเดิม
“ขอบพระทัยที่พระชายาทรงช่วยเหลือลูกชายของกระหม่อมในคราวนี้ เหล่าเฉินมิรู้ว่าจะตอบแทนเช่นไร พระชายาได้โปรดมอบโอกาสนั้นให้แก่เหล่าเฉินสักคราเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
ใต้เท้าฉินที่มีเส้นผมสีขาวโพลนและมีชีวิตอยู่มานานกว่าสามรัชสมัยคุกเข่าลงตรงหน้าหลินเมิ้งหยา
นางรีบปรี่เข้าไปประคองร่างใต้เท้าฉิน
“หากเป็นเช่นนั้น แสดงว่าใต้เท้าเห็นว่าข้าเป็นคนอื่นแล้ว เมื่อมองจากความสัมพันธ์ระหว่างตระกูล ข้าสมควรเคารพท่านในฐานะท่านลุง คุณชายฉินเป็นเพื่อนเล่นกับพี่ชายของข้าตั้งแต่เด็ก ข้าที่เป็นน้องสาวจึงควรช่วยเขา ยิ่งไปกว่านั้นข้ายังอยากให้คุณชายฉินอยู่ช่วยพี่ชายของข้าไปอีกนาน”
ฉินสวี่มองดูหญิงสาวฐานะสูงกว่าตนตรงหน้า ชายาอวี้มีความอ่อนโยนยิ่งนัก หัวใจของเขาสัมผัสได้
ตอนนั้นมู่จือเคยขอให้เขารับนางที่ยังสติเลอะเลือนมาเป็นสะใภ้
ทว่าเขากลับปฏิเสธไป ตอนนั้นเขายังรู้สึกเสียใจที่ทำเช่นนั้นกับเพื่อน
คิดไม่ถึงเลยว่านางจะเป็นคนมีโชค อย่าว่าแต่ได้แต่งงานเข้าสู่ราชวงศ์เลย กระทั่งสติปัญญายังชาญฉลาดกว่าคนธรรมดาทั่วไป
บางทีนี่อาจเป็นโอกาสที่สวรรค์ประทานให้เขาได้ชดใช้ความเห็นแก่ตัวในคราวนั้น จนทำให้ความสัมพันธ์ของสองตระกูลร้าวฉาน
“ชายาอวี้จิตใจกว้างขวาง เหล่าเฉินเลื่อมใสยิ่งนัก ภายภาคหน้ากระหม่อมขออนุญาตเข้าไปแสดงความขอบคุณต่อพระองค์อีกครั้ง ขอท่านอ๋องอวี้และพระชายาได้โปรดอย่าปฏิเสธเลยพ่ะย่ะค่ะ”
หลงเทียนอวี้พยักหน้าลง สีหน้าผ่อนคลายกว่าเดิมมาก
ฉินสวี่เป็นขุนนางที่มีความเป็นกลาง หากมิใช่เพราะคราวนี้หลินเมิ้งหยาช่วยเหลือฉินมั่วแล้วล่ะก็
ชายผู้ไม่เคยฝักใฝ่ฝ่ายใดผู้นี้จะไม่มีทางเข้าหาพวกเขาก่อนเป็นอันขาด
เขายังจำได้เป็นอย่างดี ในงานวันเกิดของพระสนมเต๋อเฟย ไม่ว่าเขาจะเชิญชายคนนี้มาร่วมงานสักกี่ครั้ง เขาก็ไม่เคยมา
“ในเมื่อท่านลุงฉินเอ่ยเช่นนี้ เช่นนั้นข้าที่เป็นหลานสาวคงมิอาจปฏิเสธได้ เอาเช่นนี้แล้วกัน อีกไม่กี่วันก็จะถึงงานวันเทศกาลฤดูหนาวแล้ว ปีนี้ฮ่องเต้สุขภาพร่างกายไม่ดีนัก ท่านอ๋องต้องไปที่วัดเพื่อขอพรกับไท่จื่อ ข้าอายุยังน้อย ยังไม่เคยมีประสบการณ์เช่นนี้ ท่านลุงเป็นถึงขุนนางเก่าสามบังลังก์ มิทราบว่าท่านจะชี้แนะท่านอ๋องได้หรือไม่?”
หลินเมิ้งหยาส่งเสียงอ่อนโยนอ่อนหวานเสมือนกำลังขอคำปรึกษา
ฉินสวี่ครุ่นคิด แน่นอนว่าเขาเป็นผู้ดูแลงานพิธีต่างๆ การชี้แนะท่านอ๋องก็หาใช่เรื่องเสียหายอันใด
“พ่ะย่ะค่ะ เช่นนั้นกระหม่อมจะพยายามสุดความสามารถพ่ะย่ะค่ะ”
หลงเทียนอวี้คิดไม่ถึงเลยว่าหลินเมิ้งหยาจะใช้ข้ออ้างนี้เชิญฉินสวี่มายังจวนอวี้
สายตาแปรเปลี่ยนเป็นชื่นชม
นางเป็นคนมีพรสวรรค์ในการมัดใจคน
ฉินสวี่ที่เป็นขุนนางมีหน้าที่ในการสั่งสอนชี้แนะเหล่าองค์ชาย
แต่เพราะเหล่าองค์ชายเติบโตแล้ว ดังนั้นเขาจึงค่อยๆ ปลีกตัวออกมา
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ฮองเฮาและไท่จื่อบริหารบ้านเมืองอย่างเอาแต่ใจ ดังนั้นเหล่าขุนนางจึงรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก