ปกติแล้วคนชราเช่นใต้เท้าฉินควรกลับไปใช้ชีวิตผาสุกอยู่ที่บ้าน
“ขอบคุณท่านลุงฉินมาก เช่นนั้นข้ากับท่านอ๋องจะตั้งตารอพบท่านนะเจ้าคะ”
คำพูดของหลินเมิ้งหยาทำให้ฉินสวี่รู้สึกปลื้มปีติ
รู้จักเคารพ มีมารยาท รู้จักรุกรู้จักถอย วิชาแพทย์เก่งกาจเกินคน สกุลหลินช่างมีวาสนายิ่งนัก
“ตอนนี้ก็มืดแล้ว ข้าอยู่ที่ค่ายทหารอย่างมิสมควรมาหนึ่งวันเต็ม ท่านลุงฉิน เช่นนั้นพวกข้าขอตัวกลับก่อน”
นับตั้งแต่เมื่อคืนวานที่ขี่ม้ามายังที่นี่จนกระทั่งตอนนี้ก็เป็นเวลาเกือบหนึ่งวันเต็มแล้ว
พี่ชายควบคุมเหตุการณ์วุ่นวายภายนอกได้แล้ว
หากยังอยู่ที่นี่ต่อไป เกรงว่าจะไม่เหมาะสม
“พ่ะย่ะค่ะ อีกไม่กี่วันพวกเขาก็สามารถเข้าเมืองหลวงได้แล้ว ท่านแม่ทัพ ข้าต้องขอฝากฉินมั่วกับท่านแล้ว”
หลินหนานเซิงพยักหน้า ฉินมั่วมิใช่เพียงคนที่เข้ามาช่วยชีวิตเขา แต่เขายังเป็นสหายสนิท
แน่นอนว่าเขาจะต้องดูแลฉินมั่วให้ดีที่สุด
“เสี่ยวหยา เจ้าต้องดูแลตัวเองให้ดี อีกไม่กี่วันท่านพ่อก็จะมาถึงแล้ว เมื่อถึงเวลานั้นพวกเราค่อยมารวมตัวกันใหม่”
หลินหนานเซิงยังคงเป็นห่วงน้องสาวของตนเอง ดังนั้นเขาจึงกำชับอีกครั้ง
เมื่อก่อนตอนที่นางยังสติเลอะเลือน นางมักจะถูกซ่างกวนฉิงกลั่นแกล้ง
เขาและท่านพ่อต่างเป็นกังวล
ทว่าแม้ตอนนี้สติสัมปชัญญะของนางกลับมาครบถ้วนแล้ว เขากลับยิ่งเป็นห่วง
บนโลกใบนี้ยังมีคำสุภาษิตที่ว่าไม้เด่นเกินไพร ลมพัดหักโค่น
น้องสาวของเฉลาดเฉลียวยิ่งนัก เมืองหลวงมีแต่เสือสิงห์จิ้งจอก คนเหล่านั้นอาจไม่ประสงค์ดีกับนาง
“เจ้าค่ะ ข้ารู้ หากท่านพ่อกลับมา ข้าจะไปต้อนรับท่านด้วยตัวเอง”
เวลาที่ครอบครัวได้อยู่กันพร้อมหน้ากันหาได้ยากยิ่ง
หลินเมิ้งหยายิ้ม ก่อนจะขึ้นไปบนรถม้าที่พี่ชายเตรียมไว้ให้
นางบอกลาหลินหนานเซิง ก่อนจะเดินทางออกจากค่ายทหาร
โชคดีที่ช่วงนี้มีคนเข้าออกค่ายทหารค่อนข้างมาก ดังนั้นพวกหลินเมิ้งหยาจึงมิได้เป็นจุดสนใจของผู้อื่น
“นายหญิง หลังจากกลับไปแล้วท่านนอนหลับพักผ่อนหน่อยเถิดนะเจ้าคะ ท่านเหนื่อยมาหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว”
ป๋ายจีนวดขาให้หลินเมิ้งหยา แม้คนอื่นจะไม่เห็น แต่พวกนางเห็นสิ่งที่หลินเมิ้งหยาทำทั้งหมดดี
ไม่รู้ว่าหลินเมิ้งหยาที่หลับตาอยู่ผล็อยหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่
สาวใช้ทั้งสี่สบตากัน ก่อนจะหัวเราะออกมา
นายหญิงคงเหนื่อยมากจริงๆ
ความรู้สึกอ่อนล้าแล่นพล่านไปทั่วทั้งร่าง
เปลือกตาหนักอึ้ง แม้นางจะพยายามลืมตาสักเท่าไหร่ก็ไม่อาจทำได้
นางเหนื่อยมาก…เหนื่อยเหลือเกิน นางอยากหลับไปตลอดกาล
“เจ้าเด็กน้อย! เจ้าเด็กน้อย! เลิกนอนเถิด ตื่นได้แล้ว”
เสียงของชิงหูดังขึ้นที่ข้างหู
สติของหลินเมิ้งหยาเริ่มกลับมา
นางมิได้อยู่บนรถม้าโคลงเคลงอีกต่อไป ตอนนี้นางอยู่ในห้องนอนของตำหนักหลิวซิน
“ข้า…หลับไปนานขนาดไหน?”
หันหน้า มองดูใบหน้าเปื้อนยิ้มอันแสนคุ้นเคยของชิงหู
“เจ้าหลับสนิทเหมือนแมวเซานานกว่าหนึ่งคืนแล้ว คงเพราะรู้สึกเหนื่อยเจียนตาย เมื่อวานข้าแบกเจ้าเข้ามา เจ้าก็ไม่ตื่น”
เมื่อวานทุกคนล้วนรู้สึกเหน็ดเหนื่อย
อย่าว่าแต่หลินเมิ้งหยาเลย หลังจากสาวใช้ทั้งสี่อาบน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกนางหลับลึกเป็นตาย
เพราะเหตุนี้ตำหนักหลิวซินจึงตกอยู่ในความเงียบสงบ
ทุกคนจมอยู่อยู่ในห้วงความฝันอันแสนหวาน
“อ้อ ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้”
ลูบศีรษะ ก่อนจะลุกขึ้น
น่าแปลก ร่างกายของนางรู้สึกดีขึ้นมาก
ชีพจรที่เคยอ่อนแอกลับมาเต้นจนเกือบจะเป็นปกติ
ความคิดความอ่านของนางเองก็แจ่มชัดมากขึ้น
หรือจะเกี่ยวข้องกับหญ้าชิงหลิง?
นางยังจำความรู้สึกชาที่ลิ้นได้
รสชาติขมกว่าหวงเหลียนถึงสามเท่า นางไม่คิดอยากลิ้มรสมันอีกเป็นครั้งที่สอง
บางทียาสมุนไพรชนิดนี้อาจช่วยควบคุมพิษในร่างกายเอาไว้
“ข้าอยากกินข้าว ข้าหิว!”
ได้ช่วยเหลือพี่ชาย อีกทั้งยังทำให้พิษในร่างถูกยับยั้ง
ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว หลินเมิ้งหยารู้สึกดีใจมากเหลือเกิน
บนโต๊ะมีอาหารมากมายละลานตา หลินเมิ้งหยาคีบนู่นคีบนี่กินจนอิ่ม
“ชิงหลีส่งข่าวมาบอกว่าพี่ชายของเจ้าควบคุมทุกอย่างเอาไว้แล้ว ตอนนี้น่าจะกำลังกำจัดหนอนบ่อนไส้”
ที่โต๊ะอาหาร ชิงหูกินข้าวไปด้วยและรายงานหลินเมิ้งหยาไปด้วย
“เช่นนั้นเจ้าจงบอกให้ชิงหลีระวังตัวหน่อย อย่าเข้าไปใกล้จนเกินไป ข้าเชื่อว่าท่านพี่จะต้องตรวจสอบบริเวณใกล้เคียงอย่างแน่นอน”
หลินเมิ้งหยามีแผนอยู่ในใจ สำหรับไท่จื่อแล้ว สกุลหลินมิต่างอะไรจากดาบสองคม
แม้จะสามารถปกป้องความสงบสุขของประเทศ แต่ถ้าหากพวกเขากุมอำนาจมากจนเกินไป เช่นนั้นไท่จื่อก็จะมีปัญหา
ส่วนนาง ในอนาคตข้างหน้าอาจจะเป็นตัวแปรสำคัญในการแย่งชิงราชบัลลังก์
หากไม่มีนาง สุดท้ายนางก็ยังจะเป็นคุณหนูใหญ่แห่งสกุลหลินที่ได้รับความรักความเมตตาอยู่ดี
“จริงสิ ตอนที่ข้าถอนพิษ ข้าพบเรื่องแปลกอยู่หนึ่งเรื่อง”
หลินเมิ้งหยาหันไปกระซิบกับชิงหู
“ราวกับว่าชิวไท่อีคุ้นเคยกับยาที่ข้าใช้เป็นอย่างดี ยาพวกนี้ล้วนเป็นยาที่มีไว้ใช้สำหรับถอนพิษ ให้ข้าเดา ไท่อีที่มีความสามารถที่สุดหาใช่มีวิชาตรวจร่างกายหรือฟื้นบำรุงร่างกาย แต่กลับเป็นวิชาการถอนพิษ เจ้าไม่คิดว่าเรื่องนี้แปลกประหลาดหรอกหรือ?”
นี่คือสิ่งที่หลินเมิ้งหยายังไม่เข้าใจ
“เจ้าหมายว่าความว่า…”
ชิงหูมีสมองอันชาญฉลาดและมีไหวพริบ ดังนั้นเขาจึงรู้ความหมายของนางทันที
“ตอนนี้เป็นเพียงแค่การคาดเดาเท่านั้น บางทีข้าอาจคิดมากไป ถึงอย่างไรไท่อีในจวนของเชื้อพระวงศ์ก็ล้วนเก่งกาจมีความสามารถทั้งสิ้น หากข้ามิได้เรียนรู้วิชากับท่านอาจารย์มานานและมีร่างกายที่ค่อนข้างพิเศษ บางทีข้าอาจจะไม่รู้จักวิชาการถอนพิษเลยด้วยซ้ำ”
ตอนนี้หลินเมิ้งหยาไม่อยากสนใจอะไรมากมาย
ใกล้วันงานเทศกาลฤดูหนาวแล้ว นางรู้สึกเป็นห่วงท่านพ่อกับท่านพี่เป็นอย่างมาก
ยิ่งไปกว่านั้น นางยังไม่รู้จะบอกเรื่องของพี่เยว่ถิงกับท่านพี่อย่างไร
เรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้นทำให้นางตั้งตัวไม่ทัน
พริบตาเดียวเวลาก็ล่วงเลยไปหลายวัน หลินมู่จือนำทัพหลวงมาถึงชานเมืองแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นวันนี้เป็นวันที่ทัพหลวงจะเดินทางเข้าสู่เมืองหลวง เหล่าทหารและแม่ทัพได้รับอนุญาตให้กลับบ้านของตนเองได้
ผู้คนบนถนนหนทางต่างตื่นเต้น พวกเขาอยากชื่นชมเหล่าคนรักผู้กล้าหาญของตนเอง
เช้าวันนี้ หลินเมิ้งหยานั่งอยู่ในร้านหรูอี้โหลว มองดูบรรยากาศคึกคักด้านนอก
“นายท่านใกล้จะมาถึงแล้ว! นายหญิง ดีจริงๆ เลยเจ้าค่ะ!”
ป๋ายจื่อดีใจยิ่งนัก สมัยเด็กเวลาที่นายท่านและคุณชายใหญ่กลับมา นางกับคุณหนูจึงจะมีวันเวลาอันแสนสงบสุข
แม้ตอนนี้นางจะได้มารับใช้คุณหนูจนมิต้องกังวลเรื่องอาหารหรือเสื้อผ้า
ทว่าความหวังในใจยังคงเหมือนเดิมมิแปรเปลี่ยน
“เจ้านี่หนา ตกลงกำลังหวังให้ท่านพ่อข้ากลับมาหรือเพราะชอบขนมฝูหรงที่ร้านหรูอี้แห่งนี้กันแน่? ครู่เดียวเจ้ากินเข้าไปแล้วถึงสามถาด มั่วหรานเอ๋ย ข้าว่าร้านหรูอี้ของเจ้าจะต้องถูกนางกินจนขาดทุนเป็นแน่”
หลินเมิ้งหยาส่งเสียงหยอกล้อ มั่วหรานและชิงหลีต่างหัวเราะตาม
หลังจากได้ทำความรู้จักกับเจ้าสำนักมานานสักระยะหนึ่ง พวกเขาล้วนคุ้นเคยกับอุปนิสัยใจคอของนางดี
นางเป็นคนที่เข้าถึงง่าย
ทุกที่ที่นางไปล้วนมีเสียงหัวเราะและความสุขใจ
พวกเขาเข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใดนายท่านจึงเปลี่ยนแปลงไปเพราะนางมากขนาดนี้
“ข้าไม่มีความสามารถอย่างป๋ายซ่าวที่จะถูกพระสนมเต๋อเฟยขอยืมตัวไปตั้งแต่เช้านี่นา ข้าน่ะนะ…มีหน้าที่กินขนมฝูหรงแต่เพียงเท่านั้น”
ป๋ายจื่อแลบลิ้น ก่อนจะหยิบขนมฝูหรงสีขาวดั่งหิมะเข้าปาก
ทว่าดวงตาของป๋ายจีและหลินเมิ้งหยากลับเผยให้เห็นความกระวนกระวาย
หลังจากที่กลับมาจากค่ายทหาร ดูเหมือนความสัมพันธ์ของป๋ายซ่าวและตำหนักหยาเสวียนจะแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
“นายหญิง ป๋ายซ่าวนาง….”
หลินเมิ้งหยาเอ่ยขัดป๋ายจี เอ่ยเสียงเรียบ
“ข้าเชื่อใจนาง”
นางเชื่อว่าป๋ายซ่าวไม่มีทางทรยศนาง
หากนางทรยศ เช่นนั้นอย่าหาว่านางใจร้ายเลย
พวกเขาพูดคุยกันอยู่พักใหญ่ ก่อนที่เสียงของเสี่ยวเอ้อร์จะวิ่งขึ้นมาแจ้งข่าว
“ท่านอ๋องเสด็จแล้ว ข้าน้อยขอทูลลา”
หลินเมิ้งหยานัดหมายกับหลงเทียนอวี้ที่ร้านหรูอี้
แต่ถึงกระนั้นนางก็ยังไม่อยากเปิดเผยเรื่องความสัมพันธ์อันดีระหว่างนาง มั่วหราน และชิงหลี
พยักหน้า มองตามทั้งสองที่เดินออกไป
ไม่นานร่างสูงโปร่งกำยำของหลงเทียนอวี้ก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้านาง
อากาศหนาวเย็นมากขึ้น หลงเทียนอวี้สวมเสื้อคลุมขนสัตว์ตัวใหญ่ ปกเสื้อปักเย็บขนจิ้งจอก
ศีรษะสวมมงกุฎหยกสีขาว ใบหน้าคมเข้มหล่อเหลาไร้อารมณ์
เขาเปรียบเสมือนแสงจันทร์ท่ามกลางความมืดมิด ไม่มีใครหมางเมินเขาได้
เมื่อเขาปรากฏกายขึ้นในร้านหรูอี้ ความสนใจของคนทั้งหมดราวกับถูกมัดรวมเป็นกระจุกเดียว
ทว่าสายตาของเขากลับไร้ซึ่งความรู้สึก ราวกับว่าเขาทำได้เพียงปฏิบัติต่อโลกใบนี้ด้วยความเย็นชา
“เชิญท่านอ๋อง”
เสี่ยวเอ้อร์ที่ยืนเฝ้าประตูรีบผายมือเชิญ ก่อนจะนำทางหลงเทียนอวี้มาหาหลินเมิ้งหยา
ประตูซึ่งวาดเป็นภาพภูเขาและลำธารถูกเปิดออก สิ่งแรกที่ได้เห็นคือใบหน้างดงามตราตรึงใจ
บางทีอาจเพราะช่วงนี้ค่อนข้างยุ่ง หลินเมิ้งหยาจึงผอมลงมาก
ใบหน้าที่เคยกลมเล็กน้อยกลับซูบตอบ
แต่ถึงกระนั้นนางก็ยังคงแย้มยิ้มร่าเริง
แม้หน้าต่างจะถูกเปิดออก ทว่าอุณหภูมิภายในห้องกลับอบอุ่น
น้อยครั้งนักที่หลินเมิ้งหยาจะสวมใส่ชุดอย่างเป็นทางการ ชุดสีม่วงปักลายดอกป๋ายหลี่ขับให้ผิวของนางยิ่งขาวผ่องกว่าเดิม
บนศีรษะสวมใส่เครื่องประดับหรูหราลายผีเสื้อ
เมื่อเทียบกับหญิงสาวเมื่อครึ่งปีก่อนแล้ว หญิงสาวตรงหน้ามีความสุขุมและน่าเกรงขามกว่ามาก
“เชิญท่านอ๋องเสด็จเข้ามาข้างในเถิดเพคะ ยังมีเวลาอีกเล็กน้อยกว่าทหารหลวงจะเคลื่อนทัพเข้ามา”
ยกยิ้มอ่อนหวาน หลินเมิ้งหยาลุกขึ้นยืน น้ำเสียงเจือความรู้สึกห่างเหินเล็กน้อย
ห้าวันแล้วที่นางไม่ได้เจอหลงเทียนอวี้
ไม่รู้ว่าเพราะทั้งสองคิดเห็นตรงกันหรือกำลังขุ่นเคืองอยู่กันแน่ ดังนั้นจึงไม่มีใครยอมมาหาอีกฝ่ายก่อน
หากมิใช่เพราะได้รับพระราชโองการจากฮองเฮาว่าให้หลงเทียนอวี้กับไท่จื่อออกมาต้อนรับทัพของทหารหลวงแล้วล่ะก็ ไม่รู้ว่าพวกเขาจะได้พบหน้ากันอีกครั้งตอนไหน