เล่มที่ 8 บทที่ 222 รอต้อนรับ

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ

หลงเทียนอวี้ ถอดเสื้อคลุมออก ก่อนจะนั่งลงที่ฝั่งตรงข้ามกับหลินเมิ้งหยา

ป๋ายซ่าวรีบรับเสื้อคลุมของหลงเทียนอวี้ไปแขวนเอาไว้

“ป๋ายซ่าวก็มาหรือ ด้านนอกหนาวหรือไม่?”

ป๋ายจีมองทางป๋ายซ่าว ความเจ็บปวดวาดผ่านในแววตา

ไม่คิดไม่ฝันว่าป๋ายซ่าวจะมาร้านหรูอี้พร้อมกับท่านอ๋อง

นางใคร่ครวญถึงคำพูดของมารดา ป๋ายซ่าวมีดวงตาดอกท้อมาตั้งแต่เกิด บางทีพวกนางอาจจะไม่สามารถเป็นพี่น้องกันได้อีกต่อไป

“ไม่เท่าไร ข้านำเตาทำความอุ่นมาให้นายหญิง”

ราวกับถูกความร้อนลวกมือ สายตาของป๋ายซ่าวลุกลี้ลุกลน ก่อนจะเสไปหยิบถ่านมาใส่เตาทำความอุ่นที่หลินเมิ้งหยามักพกติดตัว

“เจ้าดูสดใสขึ้นนะ”

ตั้งแต่ก้าวเข้ามา สายตาของหลงเทียนอวี้ไม่คลาดจากใบหน้าของหลินเมิ้งหยา

แม้ภายในห้องนี้จะมีหญิงสาวหน้าตางดงามมากมาย

แม้ภายในห้องนี้จะมีภาพวาดวิจิตรตระการตา

ทว่าสายตาของเขาจับจ้องหลินเมิ้งหยาเแต่พียงผู้เดียว

“ขอบพระทัยท่านอ๋อง หม่อมฉันอาการดีขึ้นมากแล้วเพคะ ตอนนี้อากาศหนาวเย็นมากขึ้น ไม่รู้ว่าพวกท่านพ่อจะได้สวมใส่เสื้อกันหนาวหรือไม่”

หลินเมิ้งหยายื่นนิ้วมือทั้งห้าไปสัมผัสกระดิ่งสีเหลืองทองที่ห้อยอยู่ริมหน้าต่าง

นี่เป็นสิ่งที่ชิงหูเสาะหามาแขวนเอาไว้เพื่อทำให้นางอารมณ์ดี

“อันที่จริงข้ามีเรื่องอยากปรึกษาเจ้า”

เมื่อสิ้นเสียงของหลงเทียนอวี้ ผู้คนที่อยู่ในห้องต่างพากันออกไปจากห้อง

“มิทราบว่าท่านอ๋องมีเรื่องอันใดหรือเพคะ? หากหม่อมฉันทำได้ หม่อมฉันจะพยายามอย่างสุดความสามารถ”

นางสั่นกระดิ่งเบาๆ เพื่อรับฟังเสียงอันไพเราะเสนาะหู

เขาจะคิดถึงนางก็ต่อเมื่อมีเรื่องไม่สบายใจ

จู่ๆ หลินเมิ้งหยาก็รู้สึกโศกเศร้า

หลงเทียนอวี้หมุนถ้วยชาสีขาวจนน้ำชาสีเหลืองอ่อนส่งกลิ่นหอมขึ้นมา

ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ทุกครั้งที่เขาได้เจอหลินเมิ้งหยา เขาไม่รู้ว่าควรพูดกับนางเช่นไร

อีกทั้งยังรู้สึกว่าขอเพียงได้มองนางเช่นนี้ก็มีความสุขมากแล้ว

ทว่านางมักแสดงท่าทางอ่อนโยนอ่อนหวาน ไม่เหมือนนางคนก่อนเลยแม้แต่น้อย

เขาชอบเวลาเห็นนางแสดงท่าทางสงบนิ่งเมื่อต้องเจอกับปัญหามากกว่า

ใบหน้าเรียวเล็กรูปไข่มีเสน่ห์ แต่กลับไม่อาจคาดเดาความคิดของนางได้

หลินเมิ้งหยาที่เป็นแบบนี้ แม้จะพูดว่าไม่ชอบได้ไม่เต็มปาก แต่ถึงกระนั้นเขาก็รู้สึกไม่เหมือนก่อน

ฉะนั้นเขาจึงตั้งใจเอ่ยว่ามีเรื่องรบกวนนาง

“เรื่องพิษที่ฉินมั่วได้รับ ข้าคิดว่าพี่ชายของเจ้าน่าจะเดาได้แล้วใช่หรือไม่”

ชักมือกลับ พยายามปกปิดอาการมือกระตุกเมื่อครู่

หลินเมิ้งหยากลับมานั่งที่เดิม สายตาของทั้งคู่บรรจบกัน

“นั่นเป็นเรื่องของท่านพี่ หม่อมฉันไม่อยากเกี่ยวข้อง ท่านอ๋องรีบตามคนของพระองค์กลับมาจะดีกว่า คาดว่าท่านพ่อและท่านพี่จะต้องค้นหาคนสอดแนมภายในกองทัพอย่างแน่นอน อุตส่าห์เลี้ยงดูมานานหลายปี หากต้องเสียไปจะเสียดายเปล่านะเพคะ”

เขาสัมผัสได้ว่าแม้จะตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน ทว่าหลินเมิ้งหยากลับจับสังเกตสิ่งเหล่านี้ได้อย่างรวดเร็ว

“หลายวันมานี้เหล่าขุนนางเสนอให้เจ้าเข้าวังเพื่อรักษาอาการของเสด็จพ่อ”

นี่ต่างหากคือสิ่งที่เขาเป็นกังวลที่สุด ยิ่งไปกว่านั้น คนที่เสนอเรื่องนี้ขึ้นมายังเป็นไท่จื่อ

เรื่องการรักษาฉินมั่วในค่ายทหารถูกแพร่กระจายไปทั้งเมืองหลวง

อีกทั้งยังมีคนขุดคุ้ยเรื่องราวเก่าๆ ขึ้นมาจนรู้ว่าแม่ของนางคือหมอเทวดาเลื่องชื่อแห่งเมืองหลวง

หากเพียงแค่เข้าวังเพื่อรักษาอาการของเสด็จพ่อ เช่นนั้นเขาคงไม่กังวล

แต่เรื่องนี้กลับเป็นไท่จื่อที่เสนอขึ้น

เขาอดที่จะกระวนกระวายไม่ได้

“โอ้? หม่อมฉันมีความรู้เรื่องพิษเพียงหางอึ่งเท่านั้น อีกทั้งยังไม่รู้จักวิธีการรักษาโรคอื่น”

ความสงสัยปรากฏขึ้นในใจของหลินเมิ้งหยา

แต่ก่อนนางพยายามปิดบังเรื่องของตนเองและก่อตั้งร้านสามสหายขึ้น

ทว่าหลังจากช่วยชีวิตฉินมั่วแล้ว เรื่องกลับถูกกล่าวขานออกไปจนมิอาจยับยั้งได้

“เรื่องนั้น….ข้าจะลองไปคุยดู เจ้าอย่ากังวลไปเลย ที่ข้าบอกเจ้าก็เพราะอยากให้เจ้าวางแผนเอาไว้แต่เพียงเท่านั้น”

อันที่จริงหลงเทียนอวี้เองก็อยากให้หลินเมิ้งหยาเข้าวังเพื่อรักษาอาการของฮ่องเต้

ฮ่องเต้ประชวรติดเตียงมานานหลายปีแล้ว เขาเองก็ไม่ได้เจอเสด็จพ่อมานานมาก

เขาเคยเค้นถามหมอหลวงว่าตกลงแล้วเสด็จพ่อประชวรด้วยโรคอันใด

ทว่าหมอหลวงกลับบอกว่าเป็นอาการเจ็บป่วยจากโรคที่เคยเป็นมา ดังนั้นร่างกายจึงอ่อนแอ

หากมิใช่เพราะผลการตรวจชีพจรของเสด็จพ่ออยู่ที่ตำหนักของฮองเฮาแล้วล่ะก็ ป่านนี้เขาคงหาวิธีนำมันมาตรวจสอบนานแล้ว

“เพคะ หม่อมฉันเข้าใจแล้ว”

คนเหล่านั้นกำลังพุ่งความสนใจมาที่นาง

ท่านพ่อกับท่านพี่กลับมาแล้ว แม้พวกเขาจะพยายามให้ความสำคัญกับนางมาก แต่ย่อมมาพร้อมความเสี่ยงมหาศาล

ช่วงนี้ชิงหูและหลินจงอวี้ต่างยุ่งวุ่นวายกันตลอดทั้งวัน อีกทั้งยังเพิ่มยอดฝีมือเข้ามาคุ้มกันบริเวณรอบๆ ตำหนักของนาง

หรือจะให้พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือช่วงนี้มีคนพยายามลอบเข้ามาในตำหนักของนางหลายต่อหลายครั้ง

ป๋ายซูไม่ยอมห่างจากนางแม้เพียงก้าวเดียว

หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป คาดว่าคนของตำหนักหลิวซินจะต้องเหนื่อยตายอย่างแน่นอน

“ท่านอ๋อง ท่านแม่ทัพเดินทางมาถึงนอกประตูเมืองแล้ว เชิญพระองค์และพระชายาเสด็จเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

ด้านนอกประตู เสียงของหลินขุยพลันดังขึ้น

ทั้งสองสบตากันก่อนจะลุกขึ้นยืน

ในที่สุดก็มาแล้ว

นอกเมือง ไท่จื่อยืนอยู่บนหลวนเจี้ยโดยไม่สนใจพวกขุนนาง

เจิ้นหนานโหวหลินมู่จื่อรักษาความสงบอยู่ที่ชายแดน ฉะนั้นเขาจึงได้รับการต้อนรับอย่างสมเกียรติ

ยิ่งไปกว่านั้น แม้หัวใจของเขาจะมีแต่อาณาจักร ทว่าเขาไม่เคยยกตนข่มท่าน อีกทั้งยังให้เกียรติและเคารพฮ่องเต้และเหล่าเชื้อพระวงศ์อยู่เสมอ

เหล่าขุนนางจึงยกย่องเลื่อมใสเขามาก

แต่ละฝ่ายล้วนอยากดึงเขาเข้าไปเป็นพวก

ทว่าตลอดหลายปีมานี้ นอกจากเรื่องที่ฮองเฮาออกหน้าจัดงานอภิเษกสมรสระหว่างคุณหนูใหญ่สกุลหลินกับท่านอ๋องอวี้แล้ว หลินมู่จื่อมิเคยสร้างความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นหรือตัดขาดผู้ใดจนเกินงาม

ดังนั้นคนที่จะไปมาหาสู่กับสกุลหลินจึงมีน้อยมาก

“น้องสาม เขาคือพ่อตาที่เปรียบเสมือนขุนเขาของเจ้า เป็นอย่างไรบ้าง? ตื่นเต้นหรือไม่?”

ไท่จื่อสวมชุดสีเหลืองทองอร่ามน่าเกรงขาม

แม้ช่วงนี้จะอยู่แต่ในวังเพื่อบูรณะวังหลวง ทว่าท่าทางของเขาสงบนิ่งกว่าแต่ก่อนมาก

แต่เมื่อได้เห็นหลงเทียนอวี้กับหลินเมิ้งหยา สุดท้ายแล้วธาตุแท้ของเขาก็ปรากฏ

หากมิใช่เพราะเจ้าสองคนนี้ เขาคงไม่ถูกหมู่โฮ่วกักตัวไว้แต่เพียงในจวน

“เจิ้นหนานโหวเป็นขุนนางคนสำคัญ จึงเหมาะสมแล้วที่จะได้รับการต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่”

หลงเทียนอวี้ส่งเสียงเรียบ ราวกับไม่กล้าหาเรื่องไท่จื่อ

หลินเมิ้งหยาแอบดูแคลนไท่จื่อในใจ

ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพียงการแสดง อีกทั้งยังแสดงออกมาเกินจริง

ด้วยเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ก็มองออกว่าไท่จื่อกับอ๋องอวี้ต่างกันราวฟ้ากับเหว

เมื่อขบวนทัพหลวงเคลื่อนพลเข้าสู่เมืองหลวง ราษฎรต่างออกมาต้อนรับ

สายตามองทอดยาวจนได้เห็นท่านพ่อที่กำลังขี่ม้าด้วยท่วงท่าน่าเกรงขาม

ภายในความทรงจำ ท่านพ่อเป็นคนเคร่งขรึมเสมอมา

ทว่าเมื่อเทียบกับตอนนี้ ความเปลี่ยนแปลงมีค่อนข้างมาก

ทั้งที่อายุมากกว่าห้าสิบปีแล้ว ทว่าใบหน้าท่าทางของหลินมู่จื่อยังคงมีเสน่ห์

หรืออาจพูดได้ว่าฮ่องเต้เมื่อครั้งที่ยังเป็นไท่จื่อยังมิได้รับการต้อนรับดั่งเช่นเจิ้นหนานโหวผู้นี้

เพราะอายุที่มากขึ้น ดังนั้นใบหน้าของท่านพ่อจึงมีริ้วรอยตามวัย

ทว่าใบหน้าหล่อเหลาของเขายังคงคมเข้มงดงามราวกับรูปสลักจากฝีมือช่างชั้นยอด

หากอยู่ในยุคสมัยปัจจุบัน รับรองว่าเขาจะต้องเป็นคุณลุงที่สาวน้อยสาวใหญ่ต่างพากันพร่ำเพ้อหา

คนที่ตามท่านพ่อมาทางด้านหลังคือแม่ทัพหลินผู้หล่อเหลา

ใบหน้าของทุกคนล้วนเคร่งขรึมสงบนิ่ง แม้จะมองเห็นเพื่อนหรือญาติพี่น้องของตนเองก็ตาม

สายตาของพวกเขามุ่งมั่น กองกำลังมีความเป็นระเบียบเรียบร้อย

หลินเมิ้งหยาได้ยินเสียงร้องเรียกชื่อคนที่ตัวเองรักของเหล่าราษฎรที่ดังขึ้นมิขาดสาย

แต่กลับไม่มีทหารคนใดเดินแตกแถวจากขบวนทัพของตนเอง

แม้จะกลับมาถึงบ้านเกิด แต่พวกเขารู้ดีว่าตนเองยังคงเป็นทหาร

หลินเมิ้งหยาเพิ่งจะเข้าใจว่าเหตุใดทหารในกองทัพของสกุลหลินจึงมีความทะนงตน

จู่ๆ ความภูมิใจพลันปรากฏขึ้นในหัวใจ

เหตุเพราะนางเองก็เป็นคนในสกุลหลินเช่นเดียวกัน

หลินมู่จื่อและหลินหนานเซิงเปรียบเสมือนหัวใจของกองทัพ

เมื่อมองเห็นไท่จื่อ พวกเขาพลิกตัวลงจากหลังม้า

“เหล่าเฉินหลินมู่จื่อคารวะไท่จื่อ”

ทหารทุกคนล้วนคุกเข่าคารวะต่อหน้าไท่จื่อ

ทว่าไท่จื่อที่ได้เห็นคนทั้งกองทัพคุกเข่าต่อหน้าตนพลันรู้สึกลำพองใจ เขาไม่แม้แต่จะลงจากหลวนเจี้ย

“แม่ทัพหลินคงเดินทางมาอย่างเหน็ดเหนื่อย เปิ่นไท่จื่อเตรียมจัดงานเลี้ยงต้อนรับเอาไว้ในวังเพื่อปัดเป่าความเหนื่อยล้าให้แก่ท่าน เช่นนั้นเชิญท่านแม่ทัพ”

หลินเมิ้งหยาส่งสายตาเย็นชาไปทางไท่จื่อ นางก็ได้เห็นเหล่าขุนนางทั้งหลายพากันส่ายหน้า

แค่นหัวเราะเสียงเย็นในใจ ไท่จื่อคนนี้มิรู้ความยิ่งนัก

บางครั้งนางก็อดสงสัยไม่ได้ว่าไท่จื่อผู้โง่เขลาคนนี้ถูกเลี้ยงดูมาเช่นไร

ออกรบอยู่ต่างบ้านต่างเมือง อยู่อย่างอดอยากเพื่อบ้านเกิดเมืองนอน

หากไท่จื่อเป็นคนฉลาด อย่างน้อยต้องถามไถ่สารทุกข์สุขดิบ อีกทั้งเพื่อรักษาหน้า เขาควรแสดงความซาบซึ้งใจออกมา

มีอย่างที่ไหนที่จะสั่งให้ทหารที่เพิ่งกลับมาจากการออกรบปลดอาวุธของตนเอง

เป็นการเอาหน้าที่มิเหมาะมิควรเลยแม้แต่น้อย

ดูเหมือนคนที่ผิดหวังจะมิใช่เพียงเหล่าขุนนางที่อยู่ด้านหลังเขาเสียแล้ว

“เหล่าเฉินรับพระบัญชา ขอบพระทัยในพระมหากรุณาฯ ของไท่จื่อ”

ขณะที่พูด หลินมู่จื่อคารวะอีกครั้ง สายตาสงบนิ่งเป็นปกติ ก่อนจะหยัดกายลุกขึ้น

สิ่งแรกที่เห็นมิใช่ไท่จื่อที่มีรูปร่างสูงใหญ่ แต่เป็นลูกสาวซึ่งเปรียบเสมือนแก้วตาดวงใจที่ยืนอยู่ข้างกายอ๋องอวี้

พ่อลูกได้พบกัน แต่เขาไม่รู้เลยว่าความตายได้พรากบางสิ่งไปจากเขาเสียแล้ว

สายตาเป็นกังวลระคนยินดี ขอบตาของหลินเมิ้งหยาเปียกชื้น

นางไม่อยากร้อง แต่จิตวิญญาณลึกๆ ในใจของนางกลับก่อให้เกิดความรู้สึกเช่นนี้

ความรู้สึกราวคนแปลกหน้าได้จางหายไป

ตอนนี้นางกำลังยอมรับฐานะของตนเองอย่างแท้จริง

ซูชิงเกอตายไปในห้องทดลองแล้ว ตอนนี้นางคือหลินเมิ้งหยาที่ยังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้