ตอนที่ 242 ร่างใหญ่อ่อนโยนพายุฝนโหมกระหน่ำ (1)

หมอหญิงจ้าวดวงใจ

ข้าหลวงเหยาสั่งให้เหยาเหยียนเอินตามหลานชายคนโตของตระกูลที่เป็นปัญญาชนเหยาเสิ้งหลินกลับมาด้วย เหยาเหยียนอี้มีบุตรีอายุสองขวบนามว่าเหยาชุ่ยฮั่น ถูกแม่นมอุ้มมาตรงหน้าหวางฮูหยิน

ปีนี้เหยาเสิ้งหลินอายุเจ็ดขวบ เขาเข้าไปร่ำเรียนหนังสือในสถานศึกษาของวงศ์ตระกูลตั้งแต่อายุห้าขวบ ข้าหลวงเหยาเข้มงวดต่อกฎระเบียบทางตระกูล ในสถานศึกษาของวงศ์ตระกูลจึงมีชีวิตการเป็นอยู่ที่สมเหตุสมผลทุกอย่าง ยังมีแม่นมและเด็กรับใช้คอยติดตาม เด็กในตระกูลเหยาเข้าไปในสถานศึกษาไม่มาก คนที่มีอายุมากที่สุดเพียงสิบกว่าปี คนที่มีอายุน้อยก็ราวๆ เจ็ดแปดปี เหล่าปัญญาชนอายุน้อยต่างก็ไม่กลับมานอนในจวน กลับจวนตอนที่มีกิจธุระเท่านั้น

ปกติเหยาเยี่ยนอวี่จะได้เจอหลานชายคนโตในช่วงวันตรุษจีนเท่านั้น เทศกาลไหว้บ๊ะจ่างในวันนั้นก็มัวแต่ยุ่งจึงไม่ได้เจอะเจอกัน อีกทั้งเด็กผู้ชายก็มักจะไม่เข้าไปในเรือน พอคิดคำนวณดูแล้วหนึ่งปีก็ยังไม่ได้เจอหน้ากันเ ด็กคนนี้กลับเติบโตขึ้นมาไม่น้อย

เหยาเสิ้งหลินติดตามอยู่ข้างหลังของเหยาเหยียนเอินแล้วได้น้อมทำความเคารพฮูหยินผู้เฒ่าและฮูหยินก่อน ถึงจะน้อมทำความเคารพเจียงฮูหยินน้อย หนิงฮูหยินน้อย และเหยาเยี่ยนอวี่

เหยาเยี่ยนอวี่รู้ว่าคืนนี้เหยาเสิ้งหลินจะกลับมา ดังนั้นจึงเตรียมไข่มุกที่ขนาดใหญ่เท่าดวงตามังกรเจ็ดเม็ดแล้วสั่งให้คนไปเลี่ยมด้วยทองคำให้เขาโดยเฉพาะ บอกว่าให้เขาปักอยู่บนผมเปีย

เด็กอายุเจ็ดขวบในราชวงศ์ต้าอวิ๋นไม่มีการมวยผม ผมดำเงาถูกเปียเป็นผมเปียสิบกว่าเส้นแล้วมัดรวบบนศีรษะ มีเพียงผมเปียเส้นเดียวที่ปล่อยลงมา เด็กน้อยในตระกูลมั่งมีมักจะประดับประดาผมเปียด้วยไข่มุก แค่ว่าไข่มุกขนาดใหญ่เช่นที่เหยาเยี่ยนอวี่เอาออกมานี้ก็ยังไม่เคยพบเจอมาก่อน

เจียงฮูหยินน้อยเห็นพลันพูดขึ้น “เขาเป็นเพียงเด็กน้อยเท่านั้น จะใช้ของมีค่าเยี่ยงนี้ได้อย่างไร น้องสาวรีบเก็บไว้เถอะ”

เหยาเยี่ยนอวี่แย้มยิ้ม “นี่เป็นสินน้ำใจจากข้า ไม่รับไว้ก็แสดงว่ารังเกียจข้า”

เหยาเสิ้งหลินรับของชิ้นนั้นที่มารดายื่นไปให้ จากนั้นก็น้อมทำความเคารพเหยาเยี่ยนอวี่อย่างเป็นพิธีตรีตรอง “หลานขอขอบคุณท่านอาขอรับ”

เหยาเยี่ยนอวี่ไม่ได้เป็นคนหน้าเงิน ในทางตรงกันข้าม นางกลับมองอัญมณีและทรัพย์สินเหล่านี้ด้วยความนิ่งเฉย หากใช้ของพวกนี้มาเสริมสร้างความสัมพันธ์จริงๆ นางก็ยินยอม เงินทองเป็นสิ่งที่ไม่มีมาแต่เกิด แน่นอนว่าตายไปก็เอาไปไม่ได้ จะยึดติดกับของพวกนี้ไปไยกัน

แน่นอนว่าอย่าไปคิดร้ายกับผู้คนหรือเห็นผู้อื่นโง่งมเพราะสิ่งของพวกนี้ การกระทำเช่นนี้ใครก็ยากจะรับไหวระหว่างที่เหล่าสตรีกำลังพูดคุยเล่นกัน เหยาเชวี่ยหวาก็มาเยือนอย่างใจเย็น

หลังจากเข้าประตู เหยาเชวี่ยหวาน้อมทำความเคารพฮูหยินผู้เฒ่าก่อน ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งเห็นเหยาเชวี่ยหวาก็นึกถึงอาการเจ็บป่วยของซ่งเหยียนชิง ด้วยเหตุนี้จึงไม่ค่อยโปรดปรานนางมากนัก จากนั้นเหยาเชวี่ยหวาก็น้อมทำความเคารพฮูหยิน หวางฮูหยินกลับไม่ได้แสดงทีท่าใดออกมา แค่ยิ้มอ่อนสื่อให้นางลุกขึ้นและไม่ต้องพิธีตรีตรองมากนัก

เหยาเชวี่ยหวาถึงจะมาน้อมทักทายพี่สะใภ้สองคนและเหยาเยี่ยนอวี่

เจียงฮูหยินน้อยและหนิงฮูหยินน้อยต่างก็เหมือนแต่ก่อน แค่อมยิ้มให้เหยาเชวี่ยหวานั่งลง หนิงฮูหยินน้อยยังถามถึงสุขภาพร่างกายของนางแล้วพูดถ้อยคำที่บอกว่าสีหน้าของนางดูดีกว่าก่อนหน้านี้ไม่น้อย

เหยาเชวี่ยหวายิ้ม “ดีขึ้นเยอะแล้ว ขอบคุณพี่สะใภ้ที่เป็นห่วงเจ้าค่ะ”

เหยาเยี่ยนอวี่ยกยิ้มแล้วหยิบลูกไหนสองลูกพร้อมเหยียดกายลุกขึ้นไปหยอกเล่นกับบุตรีของเหยาเหยียนอี้ฮั่นเจี่ยเอ๋อร์

ใบหน้าของเหยาเชวี่ยหวาที่ฝืนยิ้มดูเกร็งเล็กน้อย กลับไม่กล้ามากความอะไร แค่จับเมล็ดทานตะวันแล้วบีบอย่างเบามือ

ส่วนบุรุษก็ตั้งโต๊ะอาหารอยู่นอกฉากกั้นไม้ประดู่สลักลายกล้วยไม้สิบสองบาน เหยาหย่วนจือนั่งตรงที่นั่งหลัก เว่ยจางถูกเขาลากไปนั่งข้างๆ แล้วมีเหยาเหยียนอี้ที่นั่งเป็นเพื่อนอยู่ฝั่งตรงกันข้าม

ทุกคนต่างก็จิบชากินของว่างก่อน หลังจากพูดคุยเล่นกันไม่นานหัวหน้าแม่บ้านจึงเข้าไปรายงานว่าสุราและอาหารเตรียมเสร็จแล้ว เหยาหย่วนจือถึงจะบอกให้เริ่มตั้งโต๊ะ

เหตุเพราะด้านในมีฮูหยินผู้เฒ่านั่งอยู่ หลังจากตั้งสุราและอาหารแล้ว เหยาหย่วนจือก็ขึ้นไปรินเหล้าให้ฮูหยินผู้เฒ่า จากนั้นก็ส่งไปตรงหน้านาง

ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งมองเหยาหย่วนจือเพียงพริบตาเดียวแล้วยกมือรับจอกเหล้าไว้พร้อมพูดอย่างร่าเริง “วันนี้เป็นงานเลี้ยงของครอบครัว เจ้าไม่ต้องพิธีตรีตองอะไรมากนัก เจ้าอยู่ที่นี่พวกนางล้วนอยู่อย่างไม่เป็นอิสระ อย่างไรเจ้าออกไปเสวนากับบุรุษด้วยกันด้านนอกเสียเถอะ”

เหยาหย่วนจือรู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าให้อภัยเขาแล้วดั่งคาด แค่อาการของซ่งเหยียนชิงดีขึ้น ฮูหยินผู้เฒ่าก็รู้สึกมีความสุขขึ้นมาแล้ว ดังนั้นจึงดื่มกับนางไปสามจอกด้วยความปิติยินดีแล้วหันหลังเดินออกไปนอกฉากกั้น

เหยาเหยียนเอินก็ลุกขึ้นพลางยกเหยือกเหล้าเข้าไปด้านในแล้วรินเหล้าให้กับฮูหยินผู้เฒ่าและฮูหยิน ฮูหยินผู้เฒ่าคงไม่มีทางไม่ญาติดีกับหลานของตนตลอดไปอยู่แล้ว จึงดื่มเหล้าที่เขารินแล้วสั่งให้เขาออกไปร่วมพูดคุยเสวนากับแขกเหรื่อ และแขกเหรื่อที่ว่าก็คือว่าที่หลานเขยเว่ยจาง

ปกติเว่ยจางเป็นคนไม่ช่างพูด เหยาหย่วนจือกลับเป็นปัญญาชนที่ช่างพูดอย่างยิ่ง

เรื่องราวมากมายใต้หล้านี้ล้วนเติมเต็มซึ่งกันและกัน เดิมทีเหยาหย่วนจือก็มีทัศนคติที่ไม่เลวต่อเว่ยจาง อีกทั้งตระกูลเหยายังเป็นตระกูลขุนนางฝ่ายบุ๋น หากเกี่ยวดองเป็นทองแผ่นเดียวกับเว่ยจางก็ถือเป็นทางเลือกที่ไม่เลว

ตอนงานเลี้ยงสังสรรค์ก็พูดคุยกันไปไม่กี่คำ เหยาหย่วนจือจึงสังเกตเห็นว่าว่าที่บุตรเขยที่ไม่ช่างพูดคนนี้ยังมีความสามารถอะไรบางอย่างแอบแฝงอยู่ ไม่ใช่แค่รู้จักใช้ดาบใช้อาวุธเท่านั้น ดังนั้นภายในใจจึงชื่นอกชื่นใจขึ้นมา เขาจึงชนจอกกับเว่ยจางที่ยื่นมาตรงหน้าทันที

เว่ยจางเห็นพ่อตารื่นเริงยินดีมากยิ่งจึงรู้สึกคล้อยตามไปด้วย ใครก็ไม่อยากมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับพ่อตาหรอก

ส่วนเหล่าสตรีที่อยู่ด้านในต่างก็พูดคุยเล่นกันอย่างครึกครื้น

ถ้าไม่มีปัญหาเล็กๆ เกิดขึ้นในภายหลัง กล่าวบอกได้ว่านี่คงจะเป็นงานเลี้ยงครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ แค่เสียดายที่ไม่มีเรื่องใดที่สมบูรณ์แบบ

เหตุเพราะเว่ยจางดื่มหนัก ซ้ำยังดื่มชาไปไม่น้อยจึงลุกขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้า และเหตุเพราะอยู่ในเรือนของฮูหยินผู้เฒ่า ข้างในยังมีสตรีมากมายอยู่เกรงว่าจะไม่สะดวก จึงชวนเหยาเหยียนอี้ไปด้วย

หลังจากทั้งสองออกจากโต๊ะอาหารเ หยาเหยียนอี้พาเว่ยจางไปสุขา จากนั้นก็มีผัวจื่อยกน้ำหนึ่งกะละมังและผ้าเข้ามาปรนนิบัติรับใช้

ผ่านไปสักพักเว่ยจางออกมาก่อน เหยาเหยียนอี้รู้สึกไม่สบายท้องจึงอยู่ในนั้นนานไปหน่อยให้เว่ยจางกลับไปก่อน

เว่ยจางล้างมือแล้วเดินกลับทางเดิม กลับเจอกับสตรีสวมใส่ชุดกระโปรงสีมรกตนั่งอยู่บนราวจับระเบียง ทั้งยังเช็ดน้ำตาอยู่ตรงนั้น

สตรีผู้นี้ดูจากหน้าตาแล้วอายุราว ๆสิบกว่าปีเท่านั้น เรือนร่างยังไม่ได้โตเต็มวัย นางเกล้าผมสองมวย บนหัวประดับประดาด้วยอัญมณี ดูท่าแล้วไม่เหมือนสาวใช้

เว่ยจางจำได้ว่าเหยาเยี่ยนอวี่มีน้องสาวอนุภรรยาคนหนึ่ง และคิดว่าต้องเป็นนาง แค่ไม่รู้ว่าเหตุใดนางถึงมาร้องห่มร้องไห้ที่นี่ ทว่าเขาก็รู้ว่าเรื่องนี้ตนไม่ควรยุ่งเกี่ยวจึงเตรียมตัวกลับเรือนโดยไม่พูดไม่จา

เหยาเชวี่ยหวากลับเห็นเขาแต่เนิ่นๆ จึงพลันลุกขึ้นมาค้อมตัวทำความเคารพ

เว่ยจางไม่อาจเฉยเมยจึงพยักหน้าให้สาวน้อยคนนี้ ทั้งยังสาวเท้าไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดชะงัก

“พี่เขย” เหยาเชวี่ยหวาพลันเรียกขึ้น

เว่ยจางยังนึกว่าตนเองฟังผิด ทว่าฝีเท้ายังคงชะงักลง

“ฮือๆ…” เหยาเชวี่ยหวาแค่ขานเรียกคำๆ เดียวก็ร้องห่มร้องไห้ขึ้นทันที

เหยาเชวี่ยหวาร้องไห้ สาวใช้สองคนที่อยู่ตรงระเบียงได้ยินจึงรีบเดินมาตามเสียง พอเห็นเว่ยจางจึงรีบค้อมตัวลงแล้วเอ่ยถามขึ้น “คุณหนูสามเป็นอะไรไปเจ้าคะ”

เหยาเชวี่ยหวาแค่ส่ายหัวแล้วก้มหน้าก้มตาร้องไห้ สาวใช้สองคนมองหน้ากันอย่างประหลาดใจแล้วหันไปมองเว่ยจาง

เว่ยจางขมวดคิ้วไม่พูดไม่จาก ลับไม่กล้าเดินออกจากที่นั่นทันที แค่ยืนอยู่ตรงนั้น

หวางฮูหยินที่อยู่ในเรือนได้ยินเสียงจึงสั่งให้คนออกมาดู เหยาเยี่ยนอวี่ได้ยินอย่างชัดเจนว่าเหยาเชวี่ยหวากำลังร้องไห้ ภายในใจกลับรู้สึกไม่พอใจอย่างบอกไม่ถูก หนิงฮูหยินน้อยจำต้องลุกขึ้นไปดู พอออกประตูก็เห็นว่าเป็นเว่ยจาง เลยเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ “ท่านแม่ทัพเว่ยก็อยู่หรือ”