ซือลี่หมิงดูรายละเอียดที่ขยายใหญ่บนหน้าจอ ถือโทรศัพท์แนบหู “คุณเฉิงสุ่ย ไม่ผิดแน่ มีสัญลักษณ์อยู่บนนั้น”
เฉิงสุ่ยเหลือบมองเฉิงเจวี้ยนที่นั่งอยู่ในห้องพลางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ถือโทรศัพท์ออกไปด้านนอก ลดเสียงลง“ตอนนี้นายท่านกำลังเจรจากับตระกูลมาสอยู่ นายประมูลไปก่อน”
ซือลี่หมิงคุยกับเฉิงสุ่ยไปไม่กี่คำก็วางสาย
“คุณหนูฉิน คุณว่าหุ่นยนต์นั่นดูคุ้นๆ ไหม?” เฉิงมู่ลืมเรื่องที่เขาโดนกระทบเทือนจิตใจตลอดสองวันไปชั่วขณะ เอียงหน้าถามฉินหร่าน
เฉิงมู่ไม่ได้สังเกตเสี่ยวเอ้อร์ที่อยู่ที่บ้านกู้ซีฉือโดยละเอียด เขาจึงไม่รู้ว่าบนข้อมือของเสี่ยวเอ้อร์มีสัญลักษณ์ดอกป๊อปปี้สีแดงหรือไม่
ฉินหร่านก้มหน้าเลื่อนดูโทรศัพท์ พอได้ยินเสียงเฉิงมู่ เธอก็ลืมตาเล็กน้อยและเลิกคิ้ว “ไม่”
ในที่สุดซือลี่หมิงก็ประมูลหุ่นยนต์ตัวนั้นมาได้
เขาไม่มีเงินสดอยู่ในมือและในบัตรก็มีเงินไม่พอ ดังนั้นเขาจึงให้ช่องทางการติดต่อนายพลฮอลล์ไว้ ทันทีที่คนในสถานประมูลได้ยินซือลี่หมิงแสดงสถานะของตัวเอง ก็ไม่ได้ซักไซ้ว่าเขามีเงินจ่ายหรือไม่ แค่บอกว่าอีกสองวันจะส่งกลับไป
หลังจากจัดการขั้นตอนทั้งหมดเสร็จสิ้น ซือลี่หมิงก็อธิบายว่า “นั่นคือหุ่นยนต์EA3 อวิ๋นกวงกรุ๊ปเป็นผู้พัฒนาระบบอัจฉริยะชุดที่สมบูรณ์แบบที่สุดในโลก หุ่นยนต์เป็นแกนหลักที่โลกภายนอกสามารถเข้าถึงได้ ดังนั้นอวิ๋นกวงกรุ๊ปจึงยืนหยัดอยู่ในด้านเทคโนโลยีได้อย่างมั่นคง และยังเป็นผู้คิดค้นระบบอัจฉริยะนี้ขึ้นมาเป็นรายแรกอีกด้วย”
เฉิงหั่วสนใจระบบอัจฉริยะนี้มานานมากแล้ว
ซือลี่หมิงเองก็ไม่คิดว่าการออกมาคราวนี้จะบังเอิญเจอเข้าพอดี
“ระบบอัจฉริยะ?” นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เฉิงมู่ได้ยินคำคำนี้ แต่เขารู้สึกอยู่เสมอว่าระบบอัจฉริยะที่ซือลี่หมิงพูดถึงนั้นแตกต่างจากที่เขาคิดเอาไว้
ฉินหร่านยืนอยู่ข้างๆ ติดกระดุมหมวกอย่างเงียบๆ
เห็นได้ชัดว่าซือลี่หมิงรู้ข้อมูลภายในอยู่บ้าง พอเขาเหลือบมองโทรศัพท์ก็พบว่าหัวหน้าโจวส่งข้อความมา โดยให้พวกเขารีบกลับไปเพื่อเตรียมออกเดินทางล่วงหน้า
“ฉันเคยอยู่ที่หน่วยข่าวกรองมาสักพัก เคยเห็นข้อมูลของคุณเฉิงหั่วที่นั่นด้วย เมื่อยี่สิบปีที่แล้วเหมือนจะมีปล่องภูเขาไฟในประเทศ…” ซือลี่หมิงพูดถึงตรงนี้ก็ลดเสียงลง “ดูเหมือนว่าจะเป็นอารยธรรมขั้นสูง”
ฉินหร่านใช้มือหนุนศีรษะ เมื่อได้ยินทั้งสองกำลังพึมพำกันอยู่ก็อดไม่ได้ที่จะเอนตัวพลางหรี่ตาลง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ขั้นสูงอะไรกัน ไปเถอะ”
ในสายตาเฉยเมยคู่นั้นแฝงไปด้วยความล้อเลียน
**
เมื่อพวกเขากลับไปถึง หัวหน้าโจวและคนอื่นๆ ก็ได้มารวมตัวกันหมดแล้ว
ขบวนรถก็จัดเตรียมเสร็จเรียบร้อยแล้ว
มีรถสีดำเพิ่มมาอีกสองคัน ทุกคนยืนกันเป็นสองแถว
หัวหน้าโจวถือกล่องสีดำไว้ในมือ
เมื่อเห็นพวกฉินหร่านกลับมาแล้ว คิ้วที่ขมวดก็คลายลง เขานำกล่องสีดำไปใส่ไว้ในรถฉินหร่านโดยตรงพลางพูดเสียงเข้ม “คุณฉิน พวกคุณรีบขึ้นรถเถอะ พวกเราจะแยกทางกันไป”
ฉินหร่านดูก็รู้แล้วว่าของที่หัวหน้าโจวใส่ไว้ในกล่องคือสินค้าที่พวกเขามารับในครั้งนี้
เธอพยักหน้าแต่ยังไม่ได้ขึ้นรถไปในทันที เพียงเหลือบมองไปทางซือลี่หมิง
ซือลี่หมิงพยักหน้าเข้าใจทันที
เฉิงมู่เคยบอกเขาแล้วว่า ไม่ว่าคุณฉินจะไปที่ไหน จะไม่เอาของอะไรไปก็ได้ แต่กระเป๋าเป้สีดำของเธอใบนั้นจะต้องเอาไปด้วย
“ซือลี่หมิง นี่เป็นช่วงเวลาเร่งด่วน พวกนายรีบไปกันก่อน” เมื่อหัวหน้าโจวเห็นซือลี่หมิงวกกลับมาจึงห้ามเขาไว้ “นายจะไปทำอะไร?”
“คุณฉินยังมีกระเป๋าเดินทาง ผมจะไปช่วยเธอถือ” เขาออกตัวอย่างรวดเร็ว เพิ่งจะพูดจบประโยคก็หายตัวไปแล้ว
หัวหน้าโจวยังห้ามไว้ไม่ทัน
รอยแผลเป็นของฮอลล์ที่ยืนอยู่อีกด้านหนึ่งขยับเหมือนไม่สบอารมณ์ แต่ก็ยังกลั้นโมโหไว้โดยไม่พูดอะไร
เฉิงมู่เหลือบมองฮอลล์และหัวหน้าโจวอย่างเงียบๆ คอมพิวเตอร์ของฉินหร่านเครื่องนั้นมีความสำคัญมากแค่ไหน เขาอธิบายไปก็คงไร้ประโยชน์ คนต่ำต้อยอย่างเขาพูดไม่มีน้ำหนักอยู่แล้ว
ผ่านไปไม่กี่นาที ซือลี่หมิงก็ถือกระเป๋าเดินทางพร้อมกับกระเป๋าเป้ออกมา
“ผู้กองลั่ว นายพาพวกคุณฉินไปทางอ้อม” หัวหน้าโจวหันไปมองผู้กองลั่ว “พวกเราจะไปถนนเส้น26เพื่อล่อกระสุน ความปลอดภัยของคุณฉินมอบให้เป็นหน้าที่ของนาย”
ผู้กองลั่วเป็นคนของทีมวันแห่งฝ่ายยุติธรรม ในบรรดาคนกลุ่มนี้เขาแข็งแกร่งที่สุด ทางที่ดีที่สุดควรส่งเขาไปคุ้มครองฉินหร่าน
**
กลุ่มทหารแยกออกเป็นสองกลุ่ม
หัวหน้าโจวจะเดินทางไปตามเส้นทางก่อนหน้านี้โดยให้รถขบวนใหญ่ขับไปตามทางที่พวกเขามา
ทางด้านฉินหร่านมีรถเพียงแค่สองคันและถอดธงดำออก คันแรกมีพวกฉินหร่านสามคน ส่วนอีกคันเป็นผู้กองลั่วกับคนของฝ่ายยุติธรรมสี่คน
ฉินหร่านนั่งเบาะหลัง
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เป็นสายจากเฉิงเจวี้ยน ดูเหมือนว่าเขาเพิ่งจะเลิกยุ่งจากงาน น้ำเสียงฟังดูเหนื่อยล้า “ออกเดินทางแล้วเหรอ?”
“อือ” ฉินหร่านวางมือบนกระจกรถ เธอถอดเสื้อแจ็คเกตขนเป็ดไว้ข้างๆ นิ้วเรียวเคาะกระจกโดยไม่รู้ตัว “เสี่ยวซือบอกว่าน่าจะถึงพรุ่งนี้เช้า”
ถ้าไม่ไปทางลัด ขับรถสิบสองชั่วโมงกว่าจะถึง
แต่ถ้าไปทางลัดก็จะถึงช่วงฟ้าสาง
เฉิงเจวี้ยนกำลังเดินออกไปข้างนอก เขาก้มหน้าติดกระดุมเสื้อโค้ตพลางเลิกคิ้ว “เที่ยวให้สนุก ถ้าไม่มีเรื่องอะไรก็อย่าลงไม้ลงมือ”
เธอมักจะประมาทเวลามีเรื่องชกต่อย
เฉิงเจวี้ยนยังจำตอนที่มือขวาของเธอได้รับบาดเจ็บครั้งนั้นได้
เมื่อได้ยินที่เขาพูด ฉินหร่านก็เงียบไปพักหนึ่งและไม่ตอบในทันที
เฉิงเจวี้ยนอดทนรอ
หลังจากนั้นไม่นาน ฉินหร่านก็ร้อง “อ๊ะ” ขึ้นมาเหมือนกำลังหงุดหงิด แต่ยังพยักหน้าตอบรับ “เข้าใจแล้ว”
น้ำเสียงฟังดูไร้เรี่ยวแรง
ทั้งสองคุยกันได้ไม่กี่ประโยค เฉิงเจวี้ยนก็วางสายไปหลังจากที่เฉิงสุ่ยก็เข้ามาเรียกเขา
ฉินหร่านก้มหน้ามองดูโทรศัพท์
เฉิงมู่ที่นั่งอยู่ตำแหน่งข้างคนขับก็ได้รับสายจากเฉิงเจวี้ยนเช่นกัน
ห้าโมงเย็น
พวกเขาผ่านเขตชายแดนเข้าสู่ดินแดนภายในรัฐ M เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เมื่อกลุ่มผู้กองลั่วเห็นว่าการเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่น ก็ถอนหายใจเล็กน้อย
พระอาทิตย์กำลังตกดิน ซือลี่หมิงจอดรถพักผ่อน
คราวนี้ไม่มีรถขบวนใหญ่ เฉิงมู่เองก็ได้รับคำสั่งจากเฉิงเจวี้ยนแล้ว พวกเขาจึงไม่ได้รีบร้อนอะไรขนาดนั้น เขาจุดไฟและดึงตะแกรงปิ้งย่างออกจากกระเป๋าเดินทาง
ผู้กองลั่วและอีกสี่คนก็หยิบขนมปังกับขวดน้ำออกมาจากท้ายรถ เห็นเฉิงมู่กับซือลี่หมิงหยิบเนื้อที่พ่อครัวของคฤหาสน์เตรียมไว้ให้พวกเขาออกมาย่างด้วยความแพรวพราว…
ฉินหร่านคลำกระเป๋ากางเกงก็พบว่าไม่มีทั้งลูกอมไม่มีทั้งบุหรี่
ผ่านไปได้สักพักหนึ่ง ก็เห็นเธอนั่งไขว่ห้างคาบใบหญ้าอย่างเอ้อระเหยลอยชายอยู่บนม้านั่งเล็กๆ พลางย่างเนื้อไปด้วย
“ผู้กองลั่ว” ในที่สุดคนที่อยู่ด้านหลังผู้กองลั่วก็ทนไม่ไหว แอบบ่นขึ้นมาว่า “พวกเขามาเที่ยวกันจริงๆ ใช่ไหม บนรถยังมีของของพวกเรา…”
ผู้กองลั่วเองก็ไม่สบอารมณ์ แต่ไม่ได้พูดอะไร เขาแค่ลดเสียงพูด “ไม่ต้องพูดแล้ว”
ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปคนเหล่านี้ก็ไม่ได้เคารพฉินหร่านมากมายอะไรขนาดนั้นแล้ว
รอบๆ ยังมีหิมะที่ยังไม่ละลาย
บรรยากาศฟังดูเงียบมาก มีแค่เสียงย่างเนื้อที่อยู่ในมือของพวกฉินหร่านเท่านั้น
เงียบมากจนกระทั่งเฉิงมู่รู้สึกได้ถึงความผิดปกติ
เขาเงยหน้ามองไปรอบๆ ทันที จากนั้นก็เดินไปหาผู้กองลั่ว “มีการดักซุ่ม?”
ผู้กองลั่วโยนขนมปัง สีหน้าเข้มขึ้น “ขึ้นรถก่อน! พวกมันไม่ได้ไปถนนเส้น26! พวกเราโดนหลอกแล้ว!”
แต่ก็สายเกินไปแล้ว ไฟหน้าส่องจนแสบตา เสียงเบรกรถแหลมบาดหู มีรถบรรทุกขนาดกลางจอดอยู่คันหนึ่ง
กลุ่มทหารรับจ้างที่แทบจะได้กลิ่นกระหายเลือดไปทั้งตัวกระโดดลงจากรถ
ในมือยังถืออาวุธสงครามทุกรูปแบบ
“คุณหนูฉิน!” เมื่อเห็นฉินหร่านยังคงนั่งย่างเนื้อนิ่งๆ อยู่ข้างกองไฟเหมือนคนโง่ พวกผู้กองลั่วก็อดขึ้นเสียงไม่ได้
ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างผู้กองลั่วก่นด่าเสียงต่ำ “อยากตายนักใช่ไหม?”
ตอนนี้ยังจะมองเนื้อย่างของตัวเองอยู่ได้?
ทหารรับจ้างกำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ มีคนกว่าสามสิบคน เกมนี้ไม่จำเป็นต้องสู้ก็ตัดสินแพ้ชนะได้แล้ว
หัวหน้าทหารรับจ้างไม่ได้รีบร้อน เขาเดินเข้ามาอย่างช้าๆ ราวกับว่าของอยู่ในกระเป๋าหมดแล้ว
เมื่อเห็นว่าฉินหร่านยังคงก้มหน้า จริงจังอยู่กับการย่างเนื้อ เขาก็อดยิ้มหยอกไม่ได้
เขายกเท้าเตะตะแกรงปิ้งย่างคว่ำ
มือฉินหร่านที่กำลังตั้งใจย่างเนื้อชะงัก เธอจ้องเนื้อย่างที่จมอยู่ในขี้เถ้าพลางหรี่ตาลง เนื้อที่เธออุตส่าห์ย่างด้วยความลำบากจนถึงตอนนี้ไม่มีแล้ว
เฉิงเจวี้ยนบอกเธอว่าถ้าไม่มีอะไรอย่าลงไม้ลงมือ
ตอนนี้ ไม่มี เนื้อ กิน แล้ว
เธอหลุบตาลง แสงอันชั่วร้ายและเย็นชากำลังก่อตัวขึ้นในเบื้องลึกของดวงตา เลือดกำลังพลุ่งพล่าน เธอก้มหน้ามองเนื้อชิ้นนั้นอยู่เป็นเวลานาน
ปีศาจร้ายที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของร่างกายเหมือนโดนเจาะเป็นช่องโหว่จนระเบิดออกมา “ตูม”
“คุณหนูฉิน” ผู้กองลั่วเดินเข้ามา “ไม่ต้องนั่งย่างเนื้อแล้ว ขึ้นรถก่อน!”
คนของฝ่ายยุติธรรมสี่คน สู้แบบหนึ่งต่อสี่ได้ไม่มีปัญหา อย่างน้อยก็พอจะยื้อเวลาได้ไปอีกไม่กี่นาที
ผู้กองลั่วและคนอื่นๆ ต่างก็รู้ดีว่านี่จะต้องเป็นแผนของศัตรูอย่างแน่นอน พวกมันใช้ถนนเส้น26มาเป็นฉากบังหน้า
สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้ไม่ใช่สินค้า แต่เป็นความปลอดภัยของฉินหร่าน
สถานการณ์แบบนี้ฉินหร่านดูเหมือนจะยังไม่รู้ตัว เขาอยากด่าคนซะจริงๆ!
ในที่สุดฉินหร่านก็ลุกขึ้นยืนภายใต้การจับจ้องของทุกคน เธอยื่นมือปัดขี้เถ้าบนเนื้อย่าง
จากนั้นเงยหน้ามองไปยังกลุ่มทหารรับจ้าง หญ้าในปากเธอสั่นเล็กน้อย เธอยื่นมือเอาหญ้าออก เอียงศีรษะพลางยิ้มอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว “เมื่อกี้ ใครเตะตะแกรงเนื้อย่างฉัน?”