ตอนที่ 227 ปากพล่อยๆ ของศัตรูคู่แค้น

ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม

“ฮะ” อันหลินเห็นอากัปกิริยาของหยินสี่ ในใจพลันเกิดสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมา

หรือว่า…นี่จะเป็นเช็กเด้งจริงๆ!

ในหอพิมานของดินแดนสรวงสวรรค์

หญิงสาวที่สวมชุดสีอ่อนคนหนึ่งกำลังทำหน้ามุ่ย สายตามองผ่านหน้าต่าง จดจ้องดอกท้อสิบลี้ด้านนอก ทอดถอนใจแผ่วเบา

นิ้วขาวปลอดเรียวยาวม้วนผมเงางามไม่หยุด นัยน์ตาเลื่อนลอย ราวกับกำลังคิดอะไรอยู่

“เสี่ยวจื่อ เจ้ากลุ้มเรื่องอะไรอีกแล้ว”

จู่ๆ เสียงอบอุ่นก็ดังขึ้นด้านหลังนาง กระชากสติของหญิงสาวที่แววตาเลื่อนลอยกลับมา

“เสด็จพ่อ! อย่าเอาแต่เรียกชื่อเล่นของลูกสิ ทำให้ลูกนึกถึงเจ้างั่งคนนั้น!” หญิงสาวหันหน้ามองชายที่มีหนวดเครา ใบหน้าลุ่มลึกที่อยู่ด้านหลัง พร้อมกับบ่นอุบอิบ

เมื่อบุรุษที่มีฐานะเป็นถึงเจ้าแห่งแดนจิ่วโจวเผชิญหน้ากับเสียงบ่นของบุตรสาว ก็ไม่ได้โกรธเกรี้ยวแต่อย่างใด กลับพูดหยอกเย้าว่า “นั่นหมายความว่าความเห็นของพ่อกับวีรบุรุษน้อยที่ชื่ออันหลินคนนั้นตรงกัน สัตว์เลี้ยงของเขาก็ชื่อเสี่ยวหง ต้าไป๋ไม่ใช่หรือ ชื่อแบบนี้ทั้งไพเราะและซื่อตรง!”

“ฮะ เสด็จพ่อเห็นลูกเป็นสัตว์เลี้ยงแล้วหรือ” หญิงสาวไม่สบอารมณ์เมื่อได้ฟัง เอ่ยปากโต้แย้งทันที

เสียงของชายคนนั้นสะดุดกึกเพราะสำลัก

เขาคิดว่าลูกสาวคนนี้ชอบต่อปากต่อคำกับตนมากขึ้นทุกวัน ทั้งๆ ที่ตนอบรมบ่มเพาะนางไปในทิศทางฉลาดปราดเปรื่อง สุขุมพูดน้อยแท้ๆ แต่ไยช่วงนี้นิสัยถึงได้แย่ลงทุกวันกันนะ…

หญิงคนนี้ก็คือหลินจวิ้นจวิ้นที่ถูกอันหลินยั่วโมโหนับครั้งไม่ถ้วนนั่นเอง และบุรุษที่ดูสง่างามแต่น่ายำเกรงตรงหน้านาง แน่นอนว่าเป็นบุคคลที่สูงศักดิ์ที่สุดของแดนจิ่วโจว จักรพรรดิสวรรค์ เจ้าแห่งสรวงสวรรค์นั่นเอง

แรกเริ่มเดิมทีจักรพรรดิสวรรค์อยากตั้งชื่อธิดาทั้งเจ็ดของตนด้วยสีแดง แสด เหลือง เขียว น้ำเงิน ครามและม่วง เสียดายที่ความคิดนี้ถูกราชินีมารดรปฏิเสธเสียงแข็ง ทั้งยังตั้งชื่อลูกสาวทั้งเจ็ดคนแทนตนว่า เทียนโซ่ว เทียนหยาง เทียนหรง เทียนชาง เทียนเสียน เทียนชิ่งและเทียนอวี่

ธิดาทั้งเจ็ดย่อมชอบชื่ออันเป็นปกติที่ราชินีมารดรตั้งให้อยู่แล้ว ฉะนั้นชื่อที่ตั้งโดยสีของเขาจึงค่อยๆ หลุดออกจากสายตาของเหล่าเทพธิดา มีเพียงจักรพรรดิสวรรค์ที่ยังคงดื้อดึงจะเรียกชื่อที่ถูกต้องด้วยสี

เมื่อจักรพรรดิสวรรค์ทราบว่าอันหลินแห่งสำนักความร่วมมือบำเพ็ญเซียนก็ชอบตั้งชื่อสัตว์ด้วยสีเช่นกัน อุทานดังลั่นโดยพลันว่าพบเพื่อนรู้ใจ หากไม่ใช่เพราะอยากปล่อยให้เขาเป็นอิสระสักสองสามปี ตนอยากไปพบหน้าตั้งนานแล้ว

“กลุ้มใจครานี้ เป็นเพราะเจ้างั่งที่ชื่ออันหลินอีกแล้วหรือ” จักรพรรดิสวรรค์ยิ้มบางๆ แล้วพูดต่อ

“ก็ใช่น่ะสิเพคะ…รังแกที่ลูกไม่มีเงินอีกแล้ว…” หลินจวิ้นจวิ้นเบะปากอย่างไม่พอใจ

จักรพรรดิสวรรค์กลับเบิกบานใจเมื่อได้ฟังเช่นนั้น “เรื่องนี้เราควรจะดีใจไม่ใช่หรือ ขุดคุ้ยข้อมูลดาวม่วงได้มากมายปานนั้น เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาสรวงสวรรค์อย่างใหญ่หลวง เราต่างก็รู้ดี สหายอันหลินคนนี้มีพรสวรรค์จริงๆ ตอนนี้พ่อชื่นชมเขามากขึ้นทุกวันแล้ว…”

จักรพรรดิสวรรค์นิ่งไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยปากว่า “เอาอย่างนี้ อีกสักสองสามวันน่าจะถอนห้าร้อยหินปราณได้ที่หอหยวนเป่า ถึงตอนนั้นเจ้าไปถอนกับเทพเจ้าแห่งโชคลาภ ใช้เงินฟาดหัวเจ้างั่งคนนั้น!”

หลินจวิ้นจวิ้นกลอกตา “เสด็จพ่อ ลูกไม่ได้อยากโจมตีเสด็จพ่อนะ หนึ่งพันหินปราณก็อาจจะไม่พอ”

“มากขนาดนั้นเชียวหรือ!” จักรพรรดิสวรรค์สะดุ้ง พูดด้วยความตกใจ

การรวบรวมข้อมูลดาวม่วงเป็นหน้าที่ของเทียนอวี่เสมอมา ปกติจักรพรรดิสวรรค์ไม่ไถ่ถาม

เขาเพิ่งรู้ตอนนี้ว่า นักพรตน้อยอย่างอันหลินคนนี้มีข้อมูลมหาศาลเพียงใด

“ดี ดีนัก!” หลังจักรพรรดิสวรรค์เงียบไปชั่วครู่แล้วก็พูดว่าดีออกมาสองครั้ง “นี่เป็นความโชคดีของสรวงสวรรค์ ชายหนุ่มอัจฉริยะแท้ๆ! มีข้อมูลมากมายขนาดนี้ การทดลองนั้นน่าจะเข้าสู่ขั้นที่สามได้แล้วกระมัง”

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ใบหน้าของหลินจวิ้นจวิ้นถึงได้มีรอยยิ้มผุดขึ้นมาบ้าง นางพยักหน้า “เริ่มขั้นตอนที่สามแล้ว กำลังจะมากราบทูลเสด็จพ่อนี่แหละ”

จักรพรรดิสวรรค์อารมณ์ดี หัวเราะลั่น “เรื่องมากมายที่อันหลินทำเหนือความคาดหมายได้เสมอ นี่เป็นการแสดงออกถึงความสามารถ และโชคชะตา เสี่ยวจื่อคลุกคลีกับเขาให้มาก ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้…”

ไยหลินจวิ้นจวิ้นจะไม่เข้าใจความนัยของเสด็จพ่อ ใบหน้าขาวหยวกขึ้นสีโดยพลัน กำลังจะตอบโต้ กลับพบว่ายันต์ส่งสารในแหวนมิติสว่างวาบ

นางหยิบยันต์ส่งสารออกมา ผู้ที่ติดต่อมาคือผู้เที่ยงแท้หยินสี่

“หือ ผู้เที่ยงแท้หยินสี่ติดต่อเราทำไมกัน” แม้ใบหน้าของนางจะฉายความสงสัย แต่ก็เลือกเชื่อมต่อ

เสียงแว่วมาจากยันต์ส่งสาร ทว่าไม่ใช่เสียงของหยินสี่ แต่เป็นเสียงที่ค่อนข้างจดจำได้อย่างลึกซึ้งสำหรับนาง…

“นี่ หลินจวิ้นจวิ้น เจ้าทำเกินไปแล้ว จ่ายเช็กเด้งให้ข้าหมายความว่าอย่างไร!”

เสียงจากปลายสายคืออันหลินนั่นเอง เห็นได้ชัดว่าเขาอารมณ์เสียอย่างยิ่ง เปิดปากก็ตำหนินางทันที

หลินจวิ้นจวิ้นสะดุ้งตกใจ นางฉลาดหลักแหลม ไม่นานก็เดาต้นสายปลายเหตุของเรื่องราวได้ “ตอนนี้เจ้ากำลังจะแลกยาเซียนหรือ”

“ก็ใช่น่ะสิ! เจ้ารังแกคนซื่อสัตย์เช่นนี้หรือ!”

“เจ้าจับเสือมือเปล่าเช่นนี้[1] ไม่กลัวกรรมจะตามสนองหรือ มีพ่อดีแล้วจะรังแกสามัญชนรากหญ้าอย่างพวกเราได้อย่างนั้นหรือ ยาเซียนหนึ่งเม็ดแลกกับข้อมูลอักขระสิบกว่าตัวได้ก็นับว่าขาดทุนแล้ว แต่ปรากฏว่าเป็นของปลอม เจ้ามีจิตสำนึกอยู่ไหม…”

อันหลินยังคงพล่ามไม่หยุด อาศัยโอกาสนี้ระบายความไม่พอใจของเขา

ความรู้สึกที่ถูกหยินสี่มองเหมือนเป็นคนโง่ไม่ดีเอาเสียเลย เขารู้สึกว่าตนถูกเทียนอวี่ปั่นหัวแล้วจริงๆ แต่เขากลับทำอะไรเทียนอวี่ไม่ได้ ยามนี้ทำได้เพียงใช้วาจาพยายามให้เทียนอวี่รู้สำนึก…

“อะแฮ่ม…เสี่ยวจื่อ เจ้าจับเสือมือเปล่าจริงหรือ” จักรพรรดิสวรรค์เมื่อได้ยินเสียงในยันต์ส่งสาร ก็จ้องบุตรสาวตรงหน้าด้วยความฉงน

หลินจวิ้นจวิ้นแน่นหน้าอกทันที ตอนนี้ นางอยากจะตัดสายยันต์ส่งสารจริงๆ!

ใช่ นางให้กระดาษที่เขียนว่า ‘อวี่’ ให้อันหลิน ไม่ได้บอกหยินสี่ล่วงหน้า

นั่นเป็นเพราะหลังนางกลับมา จู่ๆ ก็เกิดความคิดบางอย่างขึ้นในใจ ยังอยากจะปั่นหัวผู้ชายที่เคยรังแกนางคนนี้อีกสักหน่อย ให้เขาไปงงเป็นไก่ตาแตกที่ราชวังดุสิต จากนั้นตนค่อยพูดกับหยินสี่อย่างสง่าผ่าเผยก็สิ้นเรื่อง

เดิมทีทำเช่นนี้ไม่มีปัญหา แต่บัดนี้เมื่อเสด็จพ่อได้ยินทั้งหมดแล้ว เรื่องราวก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว จะอธิบายกับเสด็จพ่ออย่างไรว่า ตนไม่ใช่คนที่จ่ายเช็กเด้ง แต่ความจริงกลับมีให้เห็นทนโท่…ต่อให้อยากชี้แจงว่าตนอยากปั่นหัวอันหลินสักหน่อย แต่มันก็เป็นการใช้อำนาจแก้แค้นส่วนตัว…

เสียงก่นด่าของอันหลินดังมาจากยันต์ส่งสารไม่หยุด ร่างอรชรของหลินจวิ้นจวิ้นสั่นเทา ใบหน้าแดงก่ำ จวนจะร้องไห้แล้ว

เขาอีกแล้ว…เขาอีกแล้ว…เขาเก่งแต่รังแกตน!

จักรพรรดิสวรรค์เห็นอากัปกิริยาของหลินจวิ้นจวิ้น ก็พอคาดเดาได้คร่าวๆ แล้ว จึงตบไหล่ของลูกสาว ส่ายหน้ายิ้มๆ “พวกเจ้ามันศัตรูคู่อาฆาต…”

จักรพรรดิสวรรค์ไม่ถือสาที่หลินจวิ้นจวิ้นทำเรื่องเหล่านี้ แต่หลินจวิ้นจวิ้นหน้าบางเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ถูกตนจับเรื่องนี้ได้ ก็เริ่มเก็บสีหน้าไม่อยู่ จึงเกิดเหตุการณ์ที่อึดอัดเช่นนี้

“เจ้าจัดการเรื่องนี้เอง ระงับโทสะของเจ้างั่งคนนั้นให้ดีๆ ก็แล้วกัน ฮ่าๆ ๆ” จักรพรรดิสวรรค์รู้ว่าหากตนยังอยู่ตรงนี้ มีแต่จะทำให้ลูกสาวอึดอัดใจกว่าเดิม จึงเป็นฝ่ายจากไป

แต่ปากพล่อยๆ ของอันหลินยังดำเนินต่อไป…

“พอได้แล้ว! เจ้าจะเอายาเซียนไม่ใช่หรือ ส่งยันต์ส่งสารให้หยินสี่!”

เมื่อเห็นจักรพรรดิสวรรค์ไปแล้ว หลินจวิ้นจวิ้นก็ตะคอกเสียงดัง

“เอ่อ…”

“ขอรับใต้เท้าเทียนอวี่!”

หลังเงียบไปครู่หนึ่ง ชายหนุ่มตรงข้ามก็ตระหนักได้ว่าปากพล่อยๆ ของตนใช้ได้ผลแล้ว จึงยื่นยันต์ส่งสารให้หยินสี่อย่างลิงโลดใจ

หลินจวิ้นจวิ้นตีหน้านิ่งชี้แจงต่างๆ นานาและให้สัญญากับหยินสี่ จึงทำให้เรื่องราวยุติ

นางหัวฟัดหัวเหวี่ยงตัดสายยันต์ส่งสาร หน้าอกกระเพื่อมเล็กน้อย ส่งเสียงฮึดฮัดในลำคอ ท่าทางที่ชายหนุ่มคนนั้นระเบิดเสียงหัวเราะผุดขึ้นมาในสมอง กำหมัดแน่นโดยไม่รู้ตัว

“อันหลิน…เจ้าจำไว้เลย!”

……………………………

[1] จับเสือมือเปล่า หมายถึง แสวงหาผลประโยชน์โดยไม่ต้องลงทุน