ตอนที่ 228 ผ่านไปอีกปีแล้ว

ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม

ภายใต้เจตจำนงของหลินจวิ้นจวิ้น หยินสี่ได้ปรุงยาเทวะปุราณให้อันหลินหนึ่งเม็ด

อันหลินรับยาเซียนเม็ดนี้มาแล้วขี่ต้าไป๋จากไปอย่างพออกพอใจ

เจ้าอัปลักษณ์บำเพ็ญเพียรบนเขาชมจันทร์ อันหลินส่งยาเทวะปุราณไปให้มันกับมือ ทำให้วานรชาตรีอย่างเจ้าอัปลักษณ์ตื้นตันจนร้องไห้สะอึกสะอื้น

“ตั้งใจบำเพ็ญเพียร ข้าไม่รบกวนเจ้าแล้ว” อันหลินโบกมือจากไป

“อืม! ข้าจะพยายามแข็งแกร่งให้ได้แน่นอน คอยติดตามพี่อันตลอดไป!” ดวงตาดุจโคมไฟของเจ้าอัปลักษณ์สะท้อนน้ำตา พูดอย่างซาบซึ้งและหนักแน่น

งานแลกเปลี่ยนมรรคเทศนาสี่ทิศสิ้นสุดลงแล้ว ตัวแทนของทั้งสามอิทธิพลที่เหลือต่างก็กำลังจะเดินทางกลับ

อันหลินว่างไม่มีอะไรทำ จึงเป็นฝ่ายไปอำลาตัวแทนบางคน

ออกัสกับพวกเชอรีลยังคงแผ่รัศมีเช่นเดิม กลุ่มไอดอลพวกนี้เป็นกลุ่มคนที่อันหลินเลือกอำลาก่อนใคร ไม่มีเหตุผลใด เป็นเพราะต้าไป๋ชอบล้วนๆ

ในยามอำลา เชอรีลพูดกับอันหลินอย่างมีลับลมคมในว่าแล้วพบกันในสามปีครั้งหน้า แถมยังบอกว่าจะมีเซอร์ไพรส์ให้เขา มันทำให้อันหลินทำหน้าแปลกใจ

หลังพูดเรื่องสัญญาสามปีเสร็จ เทวทูตผู้ที่งดงามน่าหลงใหลท่านนี้ก็โบกมือลาอันหลินด้วยรอยยิ้ม

อันหลินเกาหัวเล็กน้อย ไม่คิดอะไรมาก ขี่ต้าไป๋ไปบอกลาตัวแทนคนอื่นๆ ต่อ

พวกเขาเจอกับเหล่านักบวชแห่งเมืองพุทธ และเอ่ยถามถึงสถานการณ์ล่าสุดของยุทธวิชัยพุทธะ[1]

เมื่อพูดถึงพุทธะองค์นี้ ชิงจือก็ทำหน้าระอาใจและปลงอนิจจัง

บอกว่ายุทธวิชัยพุทธะรุ่งโรจน์เกรียงไกรในเมืองพุทธ หาคนประลองไปทั่ว ทุกคนต่างก็ยอมรับว่าเขาเก่งกาจมีฝีมือแล้ว แต่เขากลับไม่มีทีท่าว่าจะหยุด

อันหลินค่อนข้างประหลาดใจ ยุทธวิชัยพุทธะบรรลุเป็นพุธธะแล้ว แต่ยังคงไม่อาจสงบจิตใจได้ เหมือนว่าช่วงนี้จะไปสร้างเรื่องที่อาณาจักรวิญญาณ เจ้าอัปลักษณ์อยากไปพบไอดอลสักครั้งมันช่างยากจริงๆ

อันหลินรู้ว่าหากไปเมืองพุทธ ผูกมิตรกับพวกชิงจือย่อมสบายกว่ามาก จึงพูดคุยกับพวกชิงจืออย่างเป็นมิตรอยู่นานโข ซ้ำยังมอบยาเม็ดงูสวรรค์หลายเม็ดให้พวกเขาเป็นการแสดงน้ำใจ

พวกชิงจือรับยาบำรุงสมรรถภาพด้วยใบหน้าที่อิดหนาระอาใจ จากนั้นก็อำลาอันหลินกับต้าไป๋

สุดท้ายอันหลินกับต้าไป๋ก็ไปเดินเล่นที่เรือเหาะของหอสร้างโลก เยี่ยมหงโต้วที่ใจแข็งแกร่งดุจหินผา

เห็นได้ชัดว่าช่วงนี้หงโต้วทุกข์ใจเป็นอย่างมาก เปลวไฟสีแดงกลางหน้าอกค่อนข้างหม่นหมอง

เมื่ออันหลินกับต้าไป๋เห็นมัน ก็ทิ้งไว้เพียงประโยค ‘หงโต้วที่หนึ่งในหล้า’ จากไปพร้อมกับเสียงหัวเราะร่า

หงโต้วจ้องอันหลินที่มุ่งหน้ามาท้าทาย หน้าอกกระเพื่อมอย่างแรง แทบจะเป็นหอบหืดแล้ว แต่เมื่อเห็นสายตาเย็นเยือกของหวงส่านแล้ว เปลวไฟก็สลัวลง…

งานแลกเปลี่ยนมรรคเทศนาสี่ทิศอันคึกคักจบลง ตัวแทนแต่ละอิทธิพลแยกย้ายกันจากไป ชีวิตในรั้วสำนักบำเพ็ญเซียนของอันหลินกลับสู่ความปกติอีกครั้ง

การบำเพ็ญเซียนไม่ใช่เรื่องที่น่าสนุกอะไรเลย การบำเพ็ญเซียนแสนน่าเบื่อวันแล้ววันเล่านี่แหละงานหลัก

อันหลินศึกษาและทดลองความรู้พื้นฐานของการบำเพ็ญเซียนอย่างมีระบบแบบแผนไม่หยุดหย่อนในเวลากลางวัน ส่วนกลางคืนก็ยืนหยัดกับการฝึกกายและใจ ชีวิตนับว่าเต็มอิ่มเหมือนกัน

เวลาอีกครึ่งปีผ่านไปอย่างไม่รู้ตัว

ชีวิตการเรียนรู้ของชั้นปีที่สองก็มาถึงปลายทางแล้ว

ตลอดหนึ่งปีมานี้ก็เกิดเรื่องราวขึ้นมากมายเช่นกัน นอกจากงานแลกเปลี่ยนมรรคเทศนาสี่ทิศแล้ว สิ่งที่ควรค่าให้เอ่ยถึงก็คือศึกแห่งอิสรภาพที่จัดขึ้นปีละหนึ่งครั้ง

ในศึกอิสรภาพครั้งครั้งนี้ อันหลินไม่ได้โกงมากนัก อาศัยเพียงอำนาจแข็งของตน คว้าผลคะแนนอันดับที่แปดมาครอง

ระหว่างนี้เขาไม่ได้ใช่พลังที่ควบคุมได้ยากเช่นพลังปราณอนธการด้วยซ้ำ อย่างไรเสียก็มีชื่อเสียงโด่งดังปานนั้นแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องสู้ขนาดนั้น

ผู้ที่อึดอัดที่สุดไม่พ้นหวังเสวียนจ้าน ทั้งๆ ที่อาศัยความสามารถคว้าที่หนึ่งมาได้ แต่ในสายตาของนักเรียนนับหลายหมื่นชีวิต เขาเป็นได้เพียงรองตลอดกาล

หึ หากไม่ใช่เพราะเทพอันไม่มีแก่ใจประลอง จะมีที่หนึ่งของศิษย์พี่หวังได้อย่างไร เรื่องง่ายๆ แค่นิ้วเดียว

เหล่านักเรียนไม่ได้ดูแคลนหวังเสวียนจ้าน เพียงแต่ว่าวีรกรรมดังตำนานของเทพอันได้ใจผู้คนเหลือเกิน ดังนั้นแม้ครั้งนี้อันหลินจะพ่ายให้กับหวังเสวียนจ้าน พวกเขาก็ยังรู้สึกว่าศิษย์พี่หวังไม่มีอะไรให้ลำพองตน

หวังเสวียนจ้านไม่เคยลำพองกับสิ่งนี้จริงๆ แม้ในขณะที่สู้กับอันหลิน เขาก็ยังอกสั่นขวัญแขวน

เขาตั้งใจไว้แต่แรกแล้วว่า ถ้าอันหลินยื่นนิ้วออกมา เขาจะหันหลังแล้ววิ่งทันที โชคดีที่อันหลินใช้กระบี่อยู่ตลอด ถึงได้ล้มอันหลินได้อย่างสิ้นเชิง ภายใต้สถานการณ์ที่ถูกกระบี่แห่งสายลมฟันครั้งสองครั้ง

ซูเฉี่ยนอวิ๋นกับเซวียนหยวนเฉิงเองก็สร้างผลคะแนนในศึกอิสรภาพได้ไม่เลวเช่นกัน อยู่ในอันดับที่สี่และห้าของอันดับสรวงสวรรค์

นอกจากนี้ เหล่าคนที่อันหลินค่อนข้างให้ความสนใจอย่างหลิวเชียนฮ่วน ยังคงอยู่ในอันดับสองเช่นเดิม สวีเสี่ยวหลานที่สิบ เหยาหมิงซีอันดับที่สิบแปด เหยาซิ่วเทียนสามสิบหก รวมถึงสมาชิกเก่าแก่ในกลุ่มของเขาอย่างลั่วจื่อผิงและพวกเหมียวเถียน ต่างก็อยู่ในห้าสิบอันดับแรก ล้วนเป็นบุคคลที่ค่อนข้างโดดเด่นในสำนักความร่วมมือบำเพ็ญเซียน

ส่วนรางวัลของศึกแห่งอิสรภาพนั้น เศรษฐีอันหลินไม่แยแส!

แม้แต่การเข้าไปศึกษาในเขาสุสานเทวะ เขาก็เข้าไปด้วยความงุนงง และออกมาอย่างงงงวยเช่นกัน…

มาพูดถึงสัตว์เลี้ยงของเขากันหน่อย อย่างพวกเสี่ยวหง ต้าไป๋และเจ้าอัปลักษณ์ต่างก็ค่อนข้างน่าภาคภูมิใจ

หลังเจ้าอัปลักษณ์ได้ของขวัญยาเซียนของอันหลินแล้ว ก็ยิ่งมุมานะ จะไปนั่งสมาธิที่ขุนเขาทุกครั้งที่ว่าง และหยั่งรู้โครงร่างวิชาของมันได้แล้วจริงๆ มันเป็นวิชาอัคคีทมิฬอันชวนให้พรั่นใจ

อันหลินมักจะคุยโวโอ้อวดกับคนอื่นๆ เมื่อทราบเรื่องว่า ตนมีสัตว์เลี้ยงระดับกึ่งแปลงจิตแล้ว

ภายในครึ่งปีนี้ ต้าไป๋ก็ทะลวงเข้าสู่ระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณขั้นกลางแล้ว

แม้แต่เสี่ยวหงที่วันๆ ไม่ทำอะไร รู้แต่เพียงสังเคราะห์แสงก็เช่นกัน ในบ่ายวันหนึ่งที่แสงแดดเจิดจ้า ขณะที่มันกำลังร้องเพลงสังเคราะห์แสง ‘เจ้ากังหันหมุนติ้ว’ ทะลวงเข้าสู่ระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณ…

มีเพียงเจ้านายของพวกมันที่ยังย่ำอยู่กับที่

อืม…เขาเป็นคนที่มีระดับพลังยุทธ์ต่ำที่สุด

ไม่ใช่เพราะอันหลินไม่มีพรสวรรค์ แต่เป็นเพราะดูเหมือนว่าเหล่าสัตว์เลี้ยงของเขาจะมีพรสวรรค์เหนือธรรมชาติไปหน่อย

ในระยะเวลานี้ สวีเสี่ยวหลานเองก็ทะลวงเข้าสู่ระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณแล้ว

การทะลวงที่รวดเร็วเหมือนพุ่งทะลุฟ้าเช่นนี้ หากอันหลินบอกว่าไม่ร้อนใจนั้นเป็นไปไม่ได้ แต่สิ่งที่เขาทำได้ เหมือนว่าจะมีเพียงวิธีที่ตั้งใจบำเพ็ญเพียร ก้าวหน้าขึ้นทุกวันเท่านั้น

บางวันเขายังวิ่งไปถามสวีเสี่ยวหลานว่า ทำอย่างไรจึงจะรู้ความก้าวหน้าในการบำเพ็ญเพียรของตัวเอง จากนั้นสวีเสี่ยวหลานก็บอกให้มองราก สีของรากปราณในทะเลปราณบ้าง ระดับความยืดหยุ่นในยามระดมปราณบ้าง หลังงุนงงไปชั่วขณะแล้ว เขากระจ่างใจโดยพลันว่า เขากับสวีเสี่ยวหลานไม่ใช่คนในเส้นทางเดียวกัน เขามีขุมพลังสัตว์!

อันหลินจนปัญญา ทำได้เพียงไปขอคำแนะนำจากสัตว์เลี้ยงของตน

เขาเรียกเหล่าสัตว์เลี้ยงมารวมตัว หารือวางแผนการบำเพ็ญเซียนร่วมกัน จากนั้นพวกมันก็ตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า ‘เจ้านี่มองไม่ได้ อย่างไรเสียพอบำเพ็ญเพียรไป ระดับก็จะขึ้นไปเอง นายท่านอย่าคิดมากไปเลย ต่อให้ระดับไม่สูงขึ้น พวกเราก็ไม่ทิ้งเจ้าหรอก’

อันหลินน้ำตาอาบหน้าเมื่อได้ฟัง ไสหัวไปบำเพ็ญเพียรต่อเงียบๆ ไม่พูดไม่จา

กาลเวลาผันผ่าน หนึ่งปีผ่านไป มาถึงปลายภาคอีกแล้ว

………………….

[1] ยุทธวิชัยพุทธะ อีกหนึ่งฉายาของซุนหงอคง หมายถึง พุทธะผู้มีชัยในการยุทธ