บทที่ 135 ฆ่าจางหลู่เหลียง
“พรสวรรค์ในอายุสิบสี่ปี เพียงพอที่จะได้รับการประเมินว่าเป็นอัจฉริยะจากขั้นเหลืองระดับกลางแล้ว “เย่เซี่ยงโต่วบ่นพึมพำ
ในองค์กรนักล่ายุทธ์ การประเมินระดับของอัจฉริยะยิ่งสูง อำนาจก็จะยิ่งมากขึ้น และจะได้รับความสำคัญจากระดับสูงของแก๊งมากขึ้นด้วย
“ด้วยอำนาจของข้า อย่างมากจะสามารถประกาศภารกิจรางวัลนำจับระดับใดได้?” หลัวซิวเอ่ยปากถาม
“ระดับต่ำกว่าขั้นเหลือง อย่างมากจะเชิญราชายุทธ์ลงมือได้ หากเป็นขั้นเหลืองระดับกลาง ขอเพียงมีเงื่อนไขเพียงพอ สามารถเชิญจักรพรรดิยุทธ์ได้เลย!” สายตาเย่เซี่ยงโต่วเป็นประกาย
“จักรพรรดิยุทธ์?” หลัวซิวสีหน้าสงสัย “ในเขตการปกครองหยุนหลงมีจักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่งด้วยรึ?”
เท่าที่เขารู้ ในเขตการปกครองหยุนหลง คนที่มีตบะแก่กล้าที่สุดคือหัวหน้าแก๊งเหวินเซวียนหง เป็นผู้แข็งแกร่งที่เป็นระดับราชายุทธ์ขั้นสี่
เย่เซี่ยงโต่วส่ายหัวบอก “อย่าว่าแต่ในเขตการปกครองหยุนหลงไม่มีจักรพรรดิยุทธ์ ทั่วทั้งประเทศเทียนหวูสิบสามเขตการปกครองก็ไม่มีจักรพรรดิยุทธ์ แต่八州และเมืองหลวงของประเทศเทียนหวูมีจักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่ง!”
“ขอเพียงเจ้าสามารถให้เงื่อนไขที่น่าพอใจกับพวกเขาได้ จะมีจักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่งนั่งวาร์ปมาที่เขตการปกครองหยุนหลง”
ยามพูดคำนี้ เย่เซี่ยงโต่วจ้องหลัวซิวเขม็ง เขาสงสัยนักว่าหลัวซิวไปเจออะไรมา ไม่เพียงสามารถฝึกฝนจนเพิ่มระดับด้วยความเร็วในเวลาเพียงครึ่งปีเท่านั้น และยังได้สมบัติมามากมายขนาดนี้
เขาจำได้ดีว่า ตอนแรกหลัวซิวเอาวิชายุทธ์ระดับหกวรยุทธ์ และสมบัติขั้นห้าหลายอย่างไป
สมบัติขั้นห้า วิชายุทธ์ระดับเจ็ดสามารถเชิญราชายุทธ์ได้ หากจะเชิญจักรพรรดิยุทธ์ ต้องเป็นสมบัติขั้นหก,วิชายุทธ์ระดับแปด!
หากหลัวซิวสามารถหาสมบัติระดับนั้นมาได้ งั้นสิ่งที่หลัวซิวไปเจอมามันช่างน่ากลัวยิ่งแล้ว
ต้องรู้ไว้นะว่า ในประเทศเทียนหวูสิบสามเขตการปกครองไม่มีจักรพรรดิยุทธ์เลย ไม่มีสมบัติขั้นหก และไม่มีวิชายุทธ์ระดับแปด
“ข้าคงเชิญจักรพรรดิยุทธ์ไม่ไหว” หลัวซิวหัวเราะออกมา อย่าว่าแต่เขาเชิญไม่ไหว ต่อให้เชิญไหว ในช่วงเวลาแบบนี้ก็ไม่อาจทำได้
หากให้คนอื่นรู้ว่าพรสวรรค์ตัวน้อยอย่างเขากลับมีมรดกจักรพรรดิยุทธ์อยู่ในมือ น่ากลัวว่าอำนาจพวกนั้นในประเทศเทียนหวูสิบสามเขตการปกครองต้องเกิดความละโมบแน่ โจมตีทั้งที่ลับที่แจ้ง มาทุกวิธีการ เขาต้องกินไม่ได้นอนไม่หลับแน่
ส่วนเรื่องจะเปิดเผยสมบัติขั้นห้าของระดับราชายุทธ์สักหน่อย นั่นไม่เป็นไร
“ไม่ว่าอย่างไร ครั้งนี้ต้องถอนรากถอนโคนให้สิ้นซาก จะได้ไม่เป็นภัยภายหลัง!”
ครั้งนี้หลัวซิวตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว
การประเมินของระดับอัจฉริยะ ต้องไปทำที่แก๊งสาขาของเขตการปกครองเมืองหยุนหลง อีกสาขาหนึ่งของสิบแปดเมืองที่เหลือไม่มีสิทธิ์การประเมินให้เป็นระดับอัจฉริยะได้
แต่ว่าก่อนไปที่เขตการปกครองเมืองหยุนหลง หลัวซิวยังมีอีกเรื่องที่ต้องทำ
นับจากออกจากบ้านมา หลัวซิวไม่ได้เปลี่ยนโฉมหน้าตัวเอง และไม่ได้ปิดบังร่องรอย เขามุ่งตรงไปที่ประตูเมืองเลย
สายลับที่คอยวนเวียนรอบบ้านหลัวเอาข่าวนี้กลับไปบอกจางหลู่เหลียงซึ่งเป็นเจ้าตระกูลจาง
“ออกจากเมืองแล้ว?” พอจางหลู่เหลียงรู้เรื่อง สายตาส่อแววคมปลาบวาบ
หลัวซิวพึ่งจะออกจากเมือง ก็รับรู้ได้ว่าโดนคนสะกดรอยตามตลอด
ในการรับรู้ของเขา รังสีแข็งแกร่งค่อยเข้าใกล้มาเรื่อยๆ เขายิ้มมุมปากเย็นเยือก
ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม หลัวซิวอยู่ห่างจากเมืองชิงหยุนแล้ว เขายืนนิ่งกับที่ ไม่นานร่างของจางหลู่เหลียงก็ปรากฏขึ้นต่อสายตาเขา
เขารู้ว่าถ้าเขาออกมาคนเดียว จางหลู่เหลียงต้องไม่อยู่นิ่งแน่ เขาทำแบบนี้เพื่อล่อตาเฒ่าจางหลู่เหลียงออกมานอกเมือง
ต่อให้จางหลู่เหลียงเป็นจอมยุทธ์ที่มีระดับพรสวรรค์ขั้นเก้า แต่หลัวซิวมีไพ่ตายมากมาย เลยไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา
และเขายังจะอาศัยจางหลู่เหลียงมาทดสอบพลานุภาพของพลังแปรเสวียนเทียนดูสักหน่อย
“ไอ้สัตว์เดรัจฉาน รู้ทั้งรู้ว่าข้าจะฆ่าเจ้า ยังกล้าออกจากเมืองคนเดียวรึ?” สายตาจางหลู่เหลียงเต็มไปด้วยแววอาฆาตและความเย็นเยือก
จากนั้นสิ่งที่จางหลู่เหลียงคาดไม่ถึงคือ หลัวซิวกลับตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “ข้ารอเจ้าออกจากเมืองนี่ล่ะ”
พอได้ยินดังนั้น จางหลู่เหลียงตะลึง และสังเกตเห็นว่าตบะของหลัวซิวมาถึงระดับพรสวรรค์ขั้นหนึ่งแล้ว เขาอดเลิกคิ้วไม่ได้
“เจ้าถึงระดับพรสวรรค์แล้ว? ดูท่าเจ้าจะเจอโอกาสไม่ธรรมดาเลยนะ แต่ขอเพียง
ฆ่าเจ้าได้ ทุกอย่างของเจ้าจะเป็นของข้าล่ะ!”
ระหว่างที่พูด สีหน้าชราของจางหลู่เหลียงพลันดุดันขึ้น เขาสะบัดมือ สายรุ้งสีเลือดฟาดไปที่หลัวซิว
“เพี๊ยะ!”
สายรุ้งสีเลือดนี้เกิดจากการรวมตัวของปราณแท้พรสวรรค์ ด้วยตบะของจางหลู่เหลียงสร้างมันออกมา อำนาจนั้นเพียงพอให้ฆ่าพรสวรรค์ขั้นหนึ่งธรรมดาคนหนึ่งได้ในพริบตาเลย
“ชิ้ว!”
หลัวซิวชักกระบี่ออกมา ประกายกระบี่สีดำปราดเปรียวราวสายฟ้าแลบ พุ่งฟันสายรุ้งสีเลือดเส้นนั้นออกไป
“หือ?”
พอเห็นหลัวซิวสกัดกั้นการโจมตีของตนได้ จางหลู่เหลียงตกใจไม่น้อย เพราะความแตกต่างระหว่างพรสวรรค์ขั้นเก้ากับพรสวรรค์ขั้นหนึ่งมันมากนัก
เมื่อฝึกโลกยุทธ์จนถึงระดับพรสวรรค์ คือจอมยุทธ์ และมีแต่ขึ้นถึงขั้นเก้าเท่านั้นจึงจะเรียกว่า จอมยุทธ์
จอมยุทธ์สะบัดมือครั้งเดียวสามารถจัดการระดับพรสวรรค์ขั้นหนึ่งได้งายยิ่งกว่าปอกกล้วย แต่หลัวซิวกลับต้านทานไว้ได้ มันช่างเหลือเชื่อจริงๆ
ไม่เพียงแค่นั้น เขายังพบว่าถึงตบะของหลัวซิวจะเป็นพรสวรรค์ขั้นหนึ่ง แต่ปราณแท้ของเขากลับหนามากเป็นพิเศษ แทบจะถึงระดับพรสวรรค์ขั้นห้าแล้ว
ในเวลานี้เอง ร่างของหลัวซิวพกพาเงาเศษเก้าสาย ประกายกระบี่รวดเร็วดุจสายฟ้าพุ่งเข้ามาหาเขา
กระบี่ของหลัวซิวเร็วถึงขีดสุด ทำให้จางหลู่เหลียงยิ่งตะลึง เขาไม่เห็นกระบี่ของจอมยุทธ์พรสวรรค์คนไหนจะเร็วได้ขนดานี้ ทำให้จอมยุทธ์อย่างเขารู้สึกโดนบีบคั้นราวกับเผชิญหน้าความตาย
“วิชากระบี่บรรลุผล?”
จางหลู่เหลียงอุทานอย่างตะลึงหนึ่งคำ ในมือพลันปรากฏดาบรบเล่มหนึ่ง ออกมารับรังสีกระบี่ของหลัวซิวโดยอัตโนมัติ
“แกร๊ง!”
ดาบกระบี่ปะทะกัน ประกายไฟแปร๊บปร๊าบ เกิดเสียงฟิ้วฟิ้วดังขึ้นในอากาศ แต่ในตอนนี้เอง จางหลู่เหลียงพลันรู้สึกเจ็บปวดราวเนื้อจะฉีกขาดที่หน้าอก เขาหลบตัวออกอย่างรวดเร็ว ตกใจแทบวิญญาณหลุดออกจากร่าง
เขาไม่ได้สังเกตเลยสักนิดว่าหลัวซิวฟันกระบี่ที่สองเมื่อไหร่ หากมิใช่เขาได้สติไว คงต้องโดนกระบี่นั่นฟันขาดเป็นสองท่อนไปแล้ว
“กระบี่ไวนัก หรือว่าจะเป็นวิชากระบี่บริบูรณ์?” รอยแผลที่หน้าอกมีเลือดไหลริน จางหลู่เหลียงรู้สึกเหงื่อออกที่แผ่นหลัง
เขาคิดไม่ถึงว่าหลัวซิวสามารถฝึกดาบเร็วจนถึงระดับนี้ได้ ต้องรู้ไว้นะว่า ตบะของจอมยุทธ์อย่างเขาก็แค่ฝึกวิชาดาบจนถึงแดนสำเร็จน้อยเท่านั้นเอง
ปกติมีแต่ปรมาจารย์ยุทธ์ผู้แข็งแกร่งที่แดนฝึกจิตเท่านั้นจึงจะสามารถฝึกฝนวิชากระบี่ได้จนถึงแดนบรรลุผล และมีเพียงไม่กี่คนในนั้นฝึกจนถึงแดนบริบูรณ์
ต่อให้ตบะของตนจะสูงกว่าหลัวซิวมากนัก แต่บนตัวชายหนุ่มคนนี้เต็มไปด้วยสิ่งแปลกๆ ดูแค่วิชากระบี่แดนบริบูรณ์นี่ น่ากลัวตนจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาล่ะ
พอคิดถึงตรงนี้ จางหลู่เหลียงคิดอย่างแรกเลยคือต้องหนี ไม่งั้นคงต้องตายในน้ำมือชายหนุ่มคนนี้แน่
แต่ตอนนี้เอง หลัวซิวสะบัดกระบี่อีกครั้ง บนกระบี่เงามืดส่องประกายไฟมรณะแห่งความตาย และกระบี่นี้ไม่ว่าจะเป็นความเร็วหรือพลานุภาพ ล้วนเพิ่มเป็นสองเท่าทั้งสิ้น!
จางหลู่เหลียงยังไม่ทันได้สติ ร่างทั้งร่างก็โดนตรึงอยู่กับที่ เขามองหลัวซิวอย่างไม่อยากยอมแพ้ อ้าปากราวกับจะพูดอะไร แต่หัวเขากลับหลุดจากคอลงมาดื้อๆ เลือดสดสาดกระเซ็น
“ร้ายกาจเพียงนี้?”
มองดูจางหลู่เหลียงที่โดนฟันคอขาด ขนาดตัวหลัวซิวเองยังอดตะลึงไม่ได้[1][1]