ตอนที่ 301 จุดเริ่มต้นของวิกฤตอสูร

พันธกานต์ปราณอัคคี

ดินแดนทวีปแห่งเทพแบ่งเป็นห้า สิบทวีปภาคตะวันออกน่านน้ำกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต แดนไท่ไป๋ภาคตะวันตกผู้บำเพ็ญเพียรมารรวมพลังกัน ทุ่งชื่อเจ่าภาคใต้เป็นแหล่งกำเนิดบุปผาและผลไม้แปลกประหลาด สีสันมากมายพิลึกกึกกือ ดินแดนเทียนหยวนภาคกลางขุมกำลังผู้บำเพ็ญเพียรดารดาษดุจดารา ส่วนภาคเหนือถูกขนานนามว่าดินแดนทุรกันดาร

 

 

ดินแดนทุรกันดารเทือกเขาเขียวขจีทอดยาวเหยียดติดต่อกันเกินแสนลี้ ฟ้ากำเนิดสรรพสัตว์ อสูรปีศาจดาษดื่น คือที่ชุมนุมของผู้บำเพ็ญเพียรปีศาจ

 

 

อสูรปีศาจและมนุษย์ แต่โบราณกาลมาก็ขัดแย้งกันไม่ขาด คนล่ามุกปีศาจเพื่อบำเพ็ญเพียร ปีศาจกลืนกินเลือดมนุษย์เพื่อบำรุง เป็นศัตรูโดยธรรมชาติ ไม่อาจอยู่ร่วมฟ้าได้

 

 

ทว่าสืบพันธุ์จวบจนบัดนี้ ระหว่างมนุษย์และปีศาจ ได้กลายเป็นความสมดุลที่น่าอัศจรรย์บางอย่าง เวลาส่วนใหญ่ยังคงเป็นน้ำบ่อไม่ยุ่งกับน้ำคลอง อยู่กันอย่างสงบไม่มีเรื่องขัดแย้งกัน

 

 

การสะสมของความขัดแย้ง ก็เหมือนน้ำหยดลงโอ่ง ต่อให้โอ่งใหญ่สักเพียงใด ก็ต้องมีวันเต็มจนได้ เต็มเกินก็ล้น จึงมีวิกฤตอสูรขึ้น

 

 

ทุกครั้งที่ห่างสักหลายสิบปีหรือร้อยปี เผ่าปีศาจแห่งแดนทุรกันดารก็จะบัญชาอสูรปีศาจนับล้าน เปิดฉากการต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายต่อมนุษย์ครั้งหนึ่ง ถูกผู้บำเพ็ญเพียรมนุษย์ขนานนามว่าวิกฤตอสูร

 

 

วิกฤตอสูรคือเคราะห์กรรม และก็คือโอกาส ทุกครั้งที่วิกฤตอสูรระเบิดขึ้น ผู้บำเพ็ญเพียรที่ตายในนั้นไม่รู้มีตั้งเท่าไร ทว่าก็มีผู้บำเพ็ญเพียรมากมายที่ได้รับโอกาส ตบะเพิ่มขึ้นเหมือนติดปีก

 

 

ที่อยู่ใกล้ดินแดนทุรกันดารที่สุดคือนิกายเจิ้นโซ่ว สำนักนี้ถนัดการฝึกอสูรปีศาจ ยิ่งสามารถอาศัยอสูรปีศาจชดเชยความไม่เพียงพอของพลังที่แท้จริงได้

 

 

ส่วนดินแดนทุรกันดารอยู่ใกล้ชายแดนดินแดนเทียนหยวน มีอสูรปีศาจนับหมื่น ชนิดหลากหลาย เป็นสรวงสวรรค์ในการไล่อสูรปีศาจที่ดีที่สุดของพวกเขา

 

 

“ศิษย์พี่ใหญ่ ไม่รู้วันนี้จะจับอสูรปีศาจอะไรได้นะ?” หญิงสาวรูปร่างเล็กกะทัดรัดคนหนึ่งใส่กระโปรงหนังเสือ ยิ้มหวานว่า

 

 

ผู้ชายใส่หนังเสือเช่นกัน ได้ยินแล้วเอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “ที่แห่งนี้ภูมิประเทศปานกลาง อากาศแห้ง อีกทั้งเราปล่อย ‘หอมสิบลี้’ คิดว่าที่ติดเบ็ดน่าจะเป็นนกเปลวไฟทมิฬ”

 

 

“จริงหรือ? น้องได้ยินมาว่านกเปลวไฟทมิฬ เอาไฟปีศาจของมันมาปรุงสุรา รสชาติของสุรานั้นวิเศษอย่าบอกใครเลยนะ” ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงเต็มไปด้วยความตื่นเต้น

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรชายยิ้มอย่างอบอุ่น กฎในสำนัก ศิษย์ถึงระดับสร้างรากฐานถึงสามารถเข้ามาในที่แห่งนี้ได้ ศิษย์น้องเล็กเพิ่งเลื่อนขั้นไม่นาน ทุกครั้งที่มาล้วนตื่นเต้นเหลือคณา ไม่ต่างอะไรกับตนเมื่อหลายปีก่อน

 

 

มองดูหลุมพรางที่เตรียมการไว้แล้ว ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงสีหน้ามีแต่ความปีติ ทะยานไปดุจนกน้อยออกจากกรง กลับถูกผู้บำเพ็ญเพียรชายรั้งไว้

 

 

“ศิษย์พี่ใหญ่?” ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงสงสัยเล็กน้อย กลับเห็นศิษย์พี่ใหญ่ที่อบอุ่นใจดีเสมอมาสีหน้าหนักหน่วงขึ้นมา ทันใดนั้นจึงไม่กล้าพูดอีก

 

 

“ศิษย์น้องเล็ก เจ้ารอข้าอยู่นี่ ข้าไปดูหน่อย” ผู้บำเพ็ญเพียรชายพูดพลางเดินหน้าไป

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงดึงแขนของเขาไว้ด้วยความร้อนใจ

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรชายหันหน้ากลับมาตบมือนางเป็นการปลอบใจว่า “ไม่เป็นไร”

 

 

เดินไปถึงหลุมพรางที่เตรียมไว้ก่อนหน้า เมื่อมองลงไปข้างในปราดหนึ่งผู้บำเพ็ญเพียรชายก็หน้าถอดสีทันที นิ่งเงียบชั่วครู่แล้วก้มตัวเพ่งพิศรอบๆ สายตาตกไปอยู่บนรอยเท้ารูปดอกเหมยที่ประหลาด มือสั่นขึ้นมาอย่างบังคับตัวเองไม่ได้

 

 

ในยามที่ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงตื่นกลัวขึ้นเรื่อยๆ ผู้บำเพ็ญเพียรชายหมอบลงมา เอาหูแนบพื้น ดูเหมือนกำลังฟังอะไรอยู่

 

 

จากนั้นก็เห็นผู้บำเพ็ญเพียรชายวิ่งทะยานมา ลากมือของผู้บำเพ็ญเพียรหญิงว่า “วิ่งเร็ว”

 

 

ดินแดนทุรกันดารอสูรปีศาจมากมาย พวกเขาลึกเข้ามาที่นี่ เพื่อไม่เปิดเผยเบาะแสปกติจะไม่ใช้อาวุธเวทเหินหาว เพราะกลัวลำแสงรบกวนอสูรปีศาจระดับสูง ดึงอันตรายถึงชีวิตมา

 

 

ทว่าบัดนี้ ผู้บำเพ็ญเพียรชายกลับไม่ทันได้สนใจแล้ว ลากผู้บำเพ็ญเพียรหญิงกระโดดขึ้นกระบี่บินเล่มหนึ่ง บินตรงไปยังทิศทางของสำนัก

 

 

“ศิษย์พี่ใหญ่ เกิดอะไรขึ้น?” ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงเลิ่กลั่ก

 

 

ยังไม่รอให้ผู้บำเพ็ญเพียรชายตอบ ข้างหลังก็มีเสียงโครมๆ ดังขึ้น ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงหันกลับไปมอง ทันใดนั้นวิญญาณกระเจิง

 

 

เห็นเพียงกลางอากาศ นกปีศาจต่างๆ นานาบินกันแน่นขนัด บนพื้น ยิ่งมีอสูรปีศาจนับไม่ถ้วนเดินหน้ามาตามทิศทางที่สองคนอยู่ดุจกองทัพ

 

 

เห็นกับตา ว่าอีแร้งปากแดงกรงเล็บแดงตัวหนึ่งไล่ตามมาแล้ว

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงหน้าถอดสี จับแขนของผู้บำเพ็ญเพียรชายไว้แน่นอย่างไม่รู้ตัว ผู้บำเพ็ญเพียรชายกลับดันนางขึ้นหน้าไปทันที

 

 

“ศิษย์พี่ใหญ่…” ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงกรีดร้องขึ้น

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรชายตะคอกเสียงร้ายกาจว่า “รีบไป กลับไปรายงานสำนัก ก็บอกว่าวิกฤตอสูร วิกฤตอสูรมาแล้ว…”

 

 

“ไม่ ศิษย์พี่ใหญ่ น้องทิ้งท่านไว้คนเดียวไม่ได้…” ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงเสียงเหมือนจะร้องไห้แล้ว

 

 

“สารเลว เจ้าอยากให้ทั้งสำนักต้องดับสูญหรือ?” ผู้บำเพ็ญเพียรชายพูดได้เพียงเท่านี้ อีแร้งเล็บแดงข้างหลังก็ไล่ตามขึ้นมาทันแล้ว

 

 

“ข้ารู้แล้ว ศิษย์พี่ใหญ่…” ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงพลางหนี พลางร้องไห้จนน้ำหูน้ำตากระเด็นไปทั่ว นางรู้ว่าจากกันครั้งนี้ ก็ได้แต่พบกันชาติหน้าแล้ว

 

 

สำนักลั่วสยา

 

 

“อะไรนะ วิกฤตอสูร?” ในโถงหลัก ชายวัยกลางคนในชุดนักพรตสีขาวขอบทองสีหน้าตกใจ

 

 

ผู้ดูแลสำนักลั่วสยานักพรตไป๋จั๋วสีหน้าดูไม่ดี คารวะทีหนึ่งว่า “ท่านเจ้าสำนัก ได้รับข่าว วิกฤตอสูรเริ่มต้นขึ้นแล้ว ศิษย์นิกายเจิ้นโซ่วสูญเสียไปเกือบหนึ่งในสาม บัดนี้เปิดค่ายกลใหญ่ผนึกภูเขาแล้ว ภายในยี่สิบปี จะไม่มีคนเข้าออกได้อีก”

 

 

ทุกสำนักใหญ่ ล้วนมีค่ายกลใหญ่ผนึกภูเขา เพียงแต่หากยังไม่สุดวิสัย จะไม่มีทางเปิดค่ายกลชนิดนี้เด็ดขาด เพราะเมื่อไรที่ค่ายกลชนิดนี้เปิดใช้ ภายในยี่สิบปีก็เข้าออกไม่ได้แล้ว

 

 

ทรัพยากรในสำนักอย่างไรเสียก็มีจำกัด เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วผู้บำเพ็ญเพียรที่บำเพ็ญเพียรถึงคอขวดไม่ได้ออกจากสำนักฝึกตน ได้แต่กักอยู่ในสำนักสิ้นเปลืองเวลา ส่วนผู้บำเพ็ญเพียรที่ฝึกตนอยู่ข้างนอกต้องการบำเพ็ญเพียรอย่างสงบเพื่อทะลวงการเลื่อนขั้นไม่สามารถย้อนกลับสำนักได้ ต้องเผชิญกับภยันตรายมากมายเช่นกัน

 

 

นอกเหนือจากนี้ ค่ายกลใหญ่ผนึกภูเขาที่เปิดขึ้นก็ไม่สามารถรับศิษย์ชดเชยเลือดใหม่ วัฎจักรที่เลวร้าย ผลกระทบต่อสำนักไม่ต้องคิดก็รู้ ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผลกระทบต่อชื่อเสียงและตำแหน่งแล้ว

 

 

ทว่านิกายเจิ้นโซ่วมีข้อยกเว้นอยู่บ้าง พวกเขาอยู่ติดดินแดนทุรกันดาร ทุกครั้งที่เกิดวิกฤตอสูรล้วนถูกโจมตีเป็นที่แรก หากไม่เปิดค่ายกลใหญ่ผนึกภูเขา เผชิญหน้ากับอสูรปีศาจนับพันนับหมื่น เช่นนั้นทั้งสำนักต้องถูกเหยียบราบเป็นหน้ากลอง

 

 

เจ้าสำนักหรวนสีหน้าหนักหน่วงขึ้นมาว่า “ในเวลาอันสั้นเช่นนี้ นิกายเจิ้นโซ่วก็เปิดค่ายกลใหญ่ผนึกภูเขาแล้ว ดูท่าเผ่าปีศาจครั้งนี้ กระเ**้ยนกระหือรือยิ่งนัก”

 

 

นักพรตไป๋จั๋วพยักหน้าว่า “ท่านเจ้าสำนักคาดการณ์ได้ไม่ผิด บัดนี้ทัพอสูรปีศาจกวาดสำนักเล็กๆ และตระกูลบำเพ็ญเพียรนับไม่ถ้วนราบเป็นหน้ากลอง เริ่มการโจมตีสำนักใหญ่ต่างๆ แล้ว”

 

 

“มีผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดกี่ท่านอยู่ในสำนัก?” เจ้าสำนักหรวนถามขึ้น

 

 

นักพรตไป๋จั๋วตอบอย่างไม่ลังเลว่า “เทียนเอี่ยนเจินจวินนิกายเทียนเจิ้น อู๋ฮวนเจินจวินนิกายเหอฮวน ชิงตู้เจินจวินสำนักไท่ซวี หมิงวู่เจินจวินพรรคอู่อี๋ และยังมีชูจี้เจินจวินของเราบัดนี้ต่างอยู่หุบเขาลั่วเยี่ยน ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดที่อยู่ในสำนักมีเสวียนหั่วเจินจวินพรรคเหยากวง จื่อซูเจินจวินนิกายอิ่นตัน ตัวเป่าเจินจวินนิกายเลี่ยนเป่า จูลี่เจินจวินนิกายหมิงฝู และยังมีพวกเทียนชื่อเจินจวินสองสามคนแห่งตระกูลสวี่ เจินจวินอีกสองท่านของเรากักตนไม่เลื่อนขั้นไม่ออกมา”

 

 

“เชิญพวกเจินจวินมาโถงใหญ่ นอกจากนี้ส่งสารให้ชูจี้เจินจวินอย่างเร่งด่วน ให้เขาหารือเรื่องพักรบกับพรรคมาร” เจ้าสำนักหรวนเขียนยันต์แผ่นหนึ่งอย่างรวดเร็วมอบให้นักพรตไป๋จั๋ว

 

 

นักพรตไป๋จั๋วรับไป “ขอรับ”

 

 

ผ่านไปชั่วครู่ ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดไม่กี่ท่านก็เดินเข้าโถงใหญ่แล้ว

 

 

“เจ้าสำนักหรวน” คนที่เข้ามาทักทายขึ้นก่อน เห็นเจ้าสำนักสำนักลั่วสยาจิ้งเหยียนเจินจวินสีหน้ากังวล ต่างรู้สึกประหลาดใจ ต้องรู้ว่าถึงระดับขั้นของพวกเขาแล้ว เรื่องทั่วไปยากจะกระทบอารมณ์ของพวกเขาได้

 

 

“เจ้าสำนักหรวน หรือว่ามุกเจ็ดสีของหุบเขาลั่วสยาตกเข้า…” ตัวเป่าเจินจวินนิกายเลี่ยนเป่าถามหยั่งเชิงขึ้น

 

 

เจ้าสำนักหรวนส่ายศีรษะ จากนั้นกวาดสายตาผ่านเจินจวินไม่กี่ท่านว่า “เจินจวินทุกท่าน ข้าก็เปิดอกพูดเลยแล้วกัน เผ่าปีศาจแห่งดินแดนทุรกันดารเริ่มวิกฤตอสูรแล้ว!”

 

 

“อะไรนะ?” เจินจวินไม่กี่ท่านตกตะลึงในบัดดล

 

 

“เจ้าสำนักหรวน สถานการณ์บัดนี้เป็นเช่นไรบ้างแล้ว?” จื่อซูเจินจวินแห่งนิกายอิ่นตันเป็นผู้บำเพ็ญเพียรหญิงเพียงหนึ่งเดียวในที่นี้ สังเกตได้อย่างเฉียบขาดว่าวิกฤตอสูรครั้งนี้ไม่ธรรมดา

 

 

ต้องรู้ว่าต่อให้เป็นวิกฤตอสูรก็มีใหญ่มีเล็ก ยามใหญ่ ศพเกลื่อนทุ่ง เลือดย้อมทะเล ว่าได้ว่าเป็นมหันตภัยครั้งหนึ่ง ยามเล็ก ก็เป็นเพียงการสู้รบไม่กี่ครั้งเท่านั้น กระทั่งไม่ต้องให้พวกเขาผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดพวกนี้ออกหน้า

 

 

เจ้าสำนักหรวนยกตามองจื่อซูเจินจวินว่า “สถานการณ์…ไม่สู้ดีจริงๆ บัดนี้นิกายเจิ้นโซ่วเปิดค่ายกลใหญ่ผนึกภูเขาแล้ว ทัพอสูรปีศาจไม่อาจต้าน บุกลึกเข้ามาในดินแดนเทียนหยวนแล้ว

 

 

“ชั่วร้ายที่สุด เผ่าปีศาจพวกนี้ช่างเจ้าเล่ห์จริงๆ ฉวยโอกาสศึกเต๋ามารกำลังแต่ละสำนักไม่พอ เข้ามายามอ่อนแอ!” จูลี่เจินจวินนิกายหมิงฝูตบโต๊ะอย่างแรง

 

 

“ศึกเต๋ามารเปิดโอกาสให้เผ่าปีศาจเข้ามาตอนอ่อนแอจริงๆ ทว่าวิกฤตอสูรครั้งนี้ขนาดก็ต่างจากธรรมดา ข้าเชิญทุกท่านมา ก็เพื่อหารือแผนการต่อมา” เจ้าสำนักหรวนเอ่ย

 

 

ในวันนี้ เจินจวินระดับก่อกำเนิดไม่กี่ท่านหารืออะไรบ้างไม่อาจรู้ได้ มั่วชิงเฉินที่หลังจากกลับมาก็พักฟื้นด้วยใจสงบยิ่งไม่รู้เรื่อง นางใช้น้ำผึ้งดอกท้อผสมกับผลบัวหิมะตุ๋นน้ำแกงไว้ถ้วยหนึ่ง ถือเดินไปยังลานบ้านที่กู้หลีพักฟื้นอยู่

 

 

“อาจารย์ ชิงเฉินเข้าไปแล้วนะเจ้าคะ” มาถึงหน้าประตู มั่วชิงเฉินเรียกเสียงหนึ่ง

 

 

“เข้ามาเถอะ” เสียงอ่อนโยนของกู้หลีลอยมา

 

 

มั่วชิงเฉินจึงผลักประตูเดินเข้าไป กู้หลีกำลังยืนอยู่หน้าโต๊ะ เขียนหนังสืออย่างต่อเนื่องอยู่

 

 

มั่วชิงเฉินก็ไม่รบกวน ยืนชื่นชมเงียบๆ อยู่ข้างๆ จนกระทั่งกู้หลีจรดปลายพู่กันเขียนขีดสุดท้ายถึงโอดครวญว่า “อาจารย์ เหตุใดท่านถึงลุกขึ้นล่ะเจ้าคะ ยังจะเขียนอักษรเปลืองสมองอีก?”

 

 

กู้หลียิ้มนิ่งเรียบว่า “เขียนอักษรก็เป็นการฝึกนิสัย เปลืองสมองที่ไหนกัน อีกอย่าง อาจารย์ก็ดีขึ้นมากแล้ว”

 

 

“จริงหรือเจ้าคะ?” มั่วชิงเฉินกวาดมองรอยแผลที่คอของกู้หลีปราดหนึ่ง

 

 

ความกระอักกระอ่วนสายหนึ่งแวบผ่านใบหน้ากู้หลี

 

 

มั่วชิงเฉินก็รู้สึกว่าเช่นนี้ดูเหมือนไม่ค่อยดี จึงแกว่งกล่องอาหารในมือว่า “อาจารย์ ชิงเฉินตุ๋นน้ำแกงไว้ บำรุงโลหิตสงบจิต ท่านดื่มตอนยังร้อนๆ”

 

 

พูดถึง ‘บำรุงโลหิตสงบจิต’ นางฝืนกดรอยยิ้มที่ปรากฏลงไป

 

 

แม้จะพูดว่าสิ่งที่อาจารย์ประสบมาทำให้นางปวดใจเหลือคณา ทว่าเมื่อนึกถึงว่านักพรตเหอกวงที่เป็นดุจเซียนในสายตาคนใต้หล้าถูกกระต่ายตัวหนึ่งลักพาตัวไปเป็นเสบียงสำรอง สุดท้ายยังถูกไล่กัดเกือบตาย ช่างจี้ถูกจุดหัวเราะของคนจริงๆ

 

 

กู้หลีเพียงเห็นศิษย์กระดกมุมปากขึ้นแผ่วเบาก็รู้ว่านางคิดอะไรอยู่ ได้แต่ส่ายหน้าอย่างจำใจ กลับไม่ได้พูดอะไร รับชามน้ำแกงมาแล้วค่อยๆ ดื่มขึ้นมา

 

 

ดื่มน้ำแกงเสร็จ กู้หลีถึงเอ่ยว่า “ชิงเฉิน ยื่นมือออกมา”

 

 

“เอ่อ” มั่วชิงเฉินยื่นข้อมือออกไปอย่างว่าง่าย

 

 

ข้อมือที่เรียวเล็ก มุกจื่อหวาสงบจิตเส้นนั้นห้อยไว้ไม่ค่อยอยู่แล้ว กู้หลียื่นนิ้วมือมา มุกจื่อหวาสงบจิตที่ผูกอยู่บนข้อมือเช่นกันจึงกระทบกับของมั่วชิงเฉินทีหนึ่ง เกิดเสียงกรุ๊งกริ๊งที่ไพเราะ

 

 

นิ้วมือของกู้หลีที่แตะลงบนข้อมือมั่วชิงเฉินแข็งทื่อทันที เหลือบไปโดยไม่รู้ตัว กลับเห็นนางมองมาเช่นกัน ในตาคือรอยยิ้มนิ่งเรียบและบริสุทธิ์

 

 

ไม่รู้เพราะเหตุใด กู้หลีรู้สึกว่าในใจเหมือนมีอะไรขาดหายไป กลับไม่กล้าคิดอีก แล้วยื่นจิตตระหนักเข้าในกายมั่วชิงเฉิน

 

 

เห็นสีหน้ากู้หลียิ่งนานยิ่งเคร่งเครียด ในที่สุดมั่วชิงเฉินก็ทนไม่ไหวถามว่า “อาจารย์ ข้าเป็นอันใดหรือเจ้าคะ?”