ตอนที่ 302 คลุมเครือเหมือนไข่ไก่

พันธกานต์ปราณอัคคี

กู้หลีหดมือกลับ สายตาตกลงบนหน้ามั่วชิงเฉิน แยกจากกันเป็นเวลาหนึ่งปีกว่า สีหน้านางเทียบกับยามนั้นแล้วดูดีกว่ามาก แม้ยังคงผ่ายผอม กลับไม่ได้ผอมเหลือแต่กระดูกแล้ว อย่างน้อยคนอื่นมองมา จะไม่รู้สึกว่านางมีอะไรไม่ดี

 

 

“ชิงเฉิน ตลอดมาอาจารย์ไม่มีโอกาสถามเจ้า ตบะของเจ้า พุ่งขึ้นถึงระดับสร้างรากฐานโดยสมบูรณ์ได้เช่นไร อูเย่ว์คนนั้นใช้วิธีอะไร?” กู้หลีถามอย่างสงบนิ่งเรียบ ลึกเข้าไปในดวงตากลับมีความกังวลที่ลบไม่ออกสายหนึ่งอยู่

 

 

มั่วชิงเฉินลังเลครู่หนึ่ง ยังคงตอบอย่างสัตย์จริงว่า “อูเย่ว์อัดปราณมารใส่ร่างข้า”

 

 

“ปราณมารอัดร่าง?” สีหน้ากู้หลีเปลี่ยนทันที เขาอ่านคัมภีร์มามายมาก จะไม่เข้าใจความหมายของปราณมารอัดร่างได้เช่นไร เพียงแต่ อูเย่ว์คนนั้นเป็นผู้บำเพ็ญเพียรมาร ชิงเฉินกลับเป็นเต๋า นางทนรับปราณมารอัดร่างโดยที่ตันเถียนไม่พังทลาย ตรงกันข้ามกลับแปลงเป็นตบะของตนได้เช่นไรกันนะ?

 

 

มั่วชิงเฉินพิจารณาสีหน้าของกู้หลี เข้าใจความกังวลของเขา จึงเอ่ยเสียงเบาว่า “อาจารย์ ยายแก่บ้าคนนั้น นาง นางบอกว่า…นางบอกว่าข้าเป็นร่างฮุ่นตุ้น!”

 

 

มั่วชิงเฉินกล้าพูด อยู่ด้วยกันมานานถึงเพียงนี้ ยังเป็นครั้งแรกที่เห็นกู้หลีสีหน้าประหลาดเช่นนี้ เขาไม่พูดพร่ำทำเพลงก็จับข้อมือของนางขึ้นอีก สำรวจอย่างละเอียดขึ้นมา

 

 

มั่วชิงเฉินไม่กล้าหายใจแรง ใจเต้นดั่งฟ้าร้อง นางอยากรู้อยากเห็นเรื่องร่างฮุ่นตุ้นมานานมากแล้ว พูดออกมาอย่างสัตย์ซื่อเช่นนี้ หนึ่งคือด้วยความเชื่อมั่นที่มีต่อกู้หลี นอกจากนี้คืออยากแก้ความสงสัยให้ตนยิ่งกว่า

 

 

กู้หลีหดมือกลับ คิ้วขมวดแผ่วเบา ไม่พูดอะไรอยู่นาน

 

 

มั่วชิงเฉินกลับปลงแล้ว นางสามารถหนีเอาชีวิตรอดจากเงื้อมมือผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณโดยสมบูรณ์คนหนึ่งได้ อีกทั้งหนีออกจากตระกูลฮวาที่เสมือนรังหมาป่าอีก ชีวิตนี้ก็เหมือนเก็บกลับมาได้แล้ว ยังมีอะไรที่ยอมรับไม่ได้อีกล่ะ?

 

 

ทันใดนั้นกระดกมุมปากขึ้น ยิ้มกริ่มถามว่า “อาจารย์ ร่างฮุ่นตุ้น ร้ายกาจมากใช่หรือไม่เจ้าคะ? ความเร็วในการบำเพ็ญเพียรไร้ผู้เทียมทาน? หรือว่าสามารถดูดตบะของคนอื่นมาไว้เป็นของตนล่ะเจ้าคะ?”

 

 

สีหน้าผ่อนคลายของมั่วชิงเฉินทำให้กู้หลีวางใจลงเล็กน้อย ส่ายหน้ายิ้มว่า “เจ้าเด็กคนนี้นี่ ใต้หล้ามีเรื่องดีเช่นนี้ที่ไหนกัน?”

 

 

“เช่นนั้นอาจารย์รีบเล่าหน่อย ร่างฮุ่นตุ้นคืออะไรกันแน่เจ้าคะ?” มั่วชิงเฉินนั่งตัวตรง เก็บท่าทางล้อเล่นขึ้น

 

 

สายตากู้หลีมองออกไปนอกหน้าต่างว่า “เริ่มจากฮุ่นตุ้น หยินหยางยังไม่แยก ฟ้าดินยังไม่เปิด ร่างฮุ่นตุ้นก็มาจากยามนั้น ต่อมาอีก ถึงมีร่างหยางบริสุทธิ์ ร่างหยินบริสุทธิ์ ร่างเซิ่งหยวน ร่างพระโพธิสัตว์ ร่างศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ที่พันปีก็ยากจะได้พบ”

 

 

เห็นมั่วชิงเฉินดวงตาแวววาว เปลี่ยนน้ำเสียงว่า “ทว่า นี่ไม่ได้หมายความว่าร่างฮุ่นตุ้นก็ดีกว่าสภาพร่างกายแบบอื่น สมัยบรรพกาลร่างฮุ่นตุ้นอาจเป็นสภาพร่างกายที่ดีที่สุด ทว่าตามการเปลี่ยนแปลงของปราณวิญญาณฟ้าดิน การขาดแคลนและการทดแทนของวิชายุทธ์ บัดนี้ร่างฮุ่นตุ้นกลับอยู่อันดับท้ายในร่างศักดิ์สิทธิ์ไม่กี่ชนิดนี้แล้ว”

 

 

“เอ่อ” มั่วชิงเฉินพยักหน้า ฟังต่อ

 

 

“ข้อดีที่สุดของร่างฮุ่นตุ้น ก็คือเป็นกลางสงบ สามารถรับกลิ่นอายได้ทุกชนิด รวมทั้งปราณวิญญาณเซียนและปราณวิญญาณมาร การดูดตบะของผู้อื่นไว้ใช้เองที่เจ้าเอ่ยมาเมื่อครู่ แม้ไม่ทั้งหมด กลับก็ไม่แตกต่างกันเท่าไร ทว่า ร่างฮุ่นตุ้นคิดจะเปลี่ยนปราณดั้งเดิมอื่นเป็นทางเดียวกับที่ตนบำเพ็ญเพียร กลับมีวิชาลับโดยเฉพาะ ส่วนวิชาลับนี้ หายสาบสูญไปนานแล้ว!” กู้หลีเอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำ สีหน้าจริงจัง

 

 

มั่วชิงเฉินชะงักงันว่า “เช่นนี้อูเย่ว์ใช้วิชาลับอะไร ถึงเปลี่ยนปราณมารที่ถ่ายเข้าร่างชิงเฉินเป็นปราณวิญญาณได้?”

 

 

กู้หลีถอนใจเบา ๆ ทีหนึ่งว่า “นางใช้วิชาลับอะไรอาจารย์ไม่อาจรู้ได้ ทว่าสามารถแน่ใจได้ว่า ไม่ใช่วิชาลับดั้งเดิมที่สร้างขึ้นเพื่อร่างฮุ่นตุ้นโดยเฉพาะเด็ดขาด”

 

 

“อาจารย์ ความหมายของท่าน คือเป็นภัยต่อร่างกายข้าใช่หรือไม่?” มั่วชิงเฉินถามหยั่งเชิง

 

 

กู้หลีไม่ได้ตอบโดยตรง แบมือออกปรากฏเทียนขึ้นเล่มหนึ่ง จากนั้นดีดปลายนิ้ว ไฟจริงช่อหนึ่งก็จุดติดเทียนขึ้น

 

 

แสงเทียนโลดเต้นแผ่วบา เผาไหม้อย่างช้าๆ

 

 

จากนั้นในมือกู้หลีปรากฏของอีกสิ่งหนึ่งขึ้น ดีดไปที่เทียนด้วยความเร็วยิ่ง แล้วก็ได้ยินเสียงดังเปรี๊ยะ แสงไฟพุ่งขึ้นสูงโดยพลัน ไส้เทียนเป็นสีฟ้า ดูแล้วโชติช่วงเปล่งประกาย สว่างไสวไปหมด ทว่าเทียนกลับละลายลงด้วยความเร็วที่เห็นได้ด้วยตาเปล่า เพียงชั่วครู่ก็กลายเป็นน้ำตาเทียนกองหนึ่ง

 

 

กู้หลีมองไปที่มั่วชิงเฉินว่า “เจ้าเข้าใจหรือยัง?”

 

 

มั่วชิงเฉินสีหน้าก็สงบดี พยักหน้าว่า “เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ อาจารย์ เช่นนั้นชิงเฉินควรทำเช่นไรดี?”

 

 

แทนที่จะกังวลกับผลที่เป็นรูปร่างแล้ว ไม่สู้คิดหาทางแก้ดีกว่า

 

 

นี้ใจเต๋ามุ่งมั่น กลับไม่คาดว่ายามที่เจอเรื่องเช่นนี้ สภาพจิตใจยังดีเช่นนี้ได้

 

 

นางไม่ใช่เด็กผู้หญิงคนนั้นแล้วจริง ๆ

 

 

กู้หลีรู้สึกทอดถอนใจอย่างบอกไม่ถูกแวบหนึ่ง แล้วเอ่ยอย่างอดทนว่า “นิ่งเพื่อหล่อเลี้ยงจิตใจ ขยับเพื่อขัดเกลาปณิธาน ศึกเต๋ามารตรงหน้าเป็นสถานที่ขัดเกลาที่ดีมากสำหรับเจ้า พักฟื้นสักระยะก่อน แล้วค่อยไปหุบเขาลั่วเยี่ยนอีกทีเถอะ มีข้อหนึ่งเจ้าต้องจำไว้ ภายในสิบปี ห้ามทะลวงก่อแก่นปราณ!”

 

 

“ทราบแล้วเจ้าค่ะ อาจารย์” มั่วชิงเฉินรับคำ แล้วลังเลทีหนึ่งถามขึ้นอีกว่า “อาจารย์ วันนั้นอูเย่ว์เคยพูดว่า ตั้งแต่โบราณมาร่างฮุ่นตุ้นล้วนมีห้ารากวิญญาณ ทว่าชิงเฉินกลับมีสี่รากวิญญาณ…”

 

 

กู้หลียิ้มขึ้นมาว่า “ตั้งแต่บรรพกาลจนกระทั่งบัดนี้ ร่างฮุ่นตุ้นที่มีการบันทึกล้วนมีห้ารากวิญญาณจริงๆ ทว่าจากที่ข้าดู กลับไม่ได้หมายความว่าร่างฮุ่นตุ้นเป็นได้เพียงห้ารากวิญญาณเท่านั้น”

 

 

“หา?” มั่วชิงเฉินเบิกตาโตอย่างแปลกใจ

 

 

“อะไรคือฮุ่นตุ้น?” จู่ๆ กู้หลีก็ถามขึ้น

 

 

“ฮุ่นตุ้น…ว่ากันว่าฟ้าดินยังไม่เปิด สภาพที่คลุมเครือก้อนหนึ่งมิใช่หรือเจ้าคะ?” มั่วชิงเฉินจำได้ว่าเคยเห็นถ้อยคำคลับคล้ายคลับคลาในม้วนคัมภีร์หยกบางม้วน

 

 

กู้หลีพยักหน้าว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ร่างฮุ่นตุ้นจะแยกรากวิญญาณออกได้เช่นไรกันล่ะ?”

 

 

มั่วชิงเฉินตาเป็นประกาย ดูเหมือนนางเข้าใจขึ้นบ้างแล้ว ฮุ่นตุ้นเดิมก็คือคลุมเครือเป็นก้อน มันมีห้ารากวิญญาณได้ และก็มีสี่รากวิญญาณได้ กระทั่งมีรากวิญญาณฟ้า พูดให้ถูกต้องก็คือ ฮุ่นตุ้นคือสภาพร่างกายชนิดหนึ่ง เป็นคนละเรื่องกันกับรากวิญญาณ ร่างฮุ่นตุ้น คือการยอมรับ คือการรองรับ

 

 

ก็เทียบได้กับร่างหยางบริสุทธิ์ของเยี่ยเทียนหยวน เขาไม่มีรากวิญญาณฟ้าธาตุไฟ หากแต่มีรากวิญญาณคู่

 

 

“ชิงเฉิน หากเจ้าเข้าใจแล้วก็กลับไปเถอะ” กู้หลีพูดถึงตรงนี้ชะงักทีหนึ่ง ถึงเอ่ยต่อว่า “นักพรตลั่วหยางเพื่อช่วยเจ้า ผ่านความเป็นความตายมา บัดนี้ยังบาดเจ็บอยู่ เจ้าไม่มีอะไรทำก็ควรไปเยี่ยมเขาบ่อยๆหน่อย”

 

 

ใจมั่วชิงเฉินบีบรัดคราหนึ่ง แม้เข้าใจถึงการผลักไสของเขาที่มีต่อตนมานานแล้ว วันนั้นก็ปลงได้มากแล้ว ทว่าได้ยินกับหูว่าเขาผลักตนไปหาผู้อื่น ในใจยังคงอ้างว้างอย่างบอกไม่ถูก

 

 

ทว่าอย่างรวดเร็ว นางก็กดความรู้สึกสายนั้นลงไว้ในก้นบึ้งของหัวใจ แต่ไหนแต่ไรมานางไม่มีนิสัยพิรี้พิไร ในเมื่อเข้าใจถึงความเจ็บปวดของเขาแล้ว เช่นนั้นก็ไม่สามารถสนใจแต่ความรู้สึกของตนเอง สร้างความกังวลให้เขาได้อีก

 

 

“ชิงเฉินทราบแล้วเจ้าค่ะ ทว่าอาจารย์ ชิงเฉินยังมีอีกเรื่องหนึ่งอยากขอคำชี้แนะ” มั่วชิงเฉินยิ้มละไม มองไปที่กู้หลี

 

 

“เรื่องอันใด?”

 

 

มั่วชิงเฉินนิ่งเงียบทีหนึ่ง ทันใดนั้นชักกระบี่ชิงมู่ออกมาว่า “อาจารย์ ชิงเฉินฝึกเคล็ดวิชาพันบุปผาแปลงไม้มายี่สิบกว่าปี ไม่รู้เพราะเหตุใด มักรู้สึกว่าในเคล็ดวิชากระบี่ตน ขาดการรู้แจ้งไป”

 

 

หลายปีมานี้นอกจากบำเพ็ญเพียร เวลาส่วนใหญ่นางล้วนใช้ไปกับการฝึกเคล็ดวิชากระบี่และเคล็ดวิชาฝึกจิตอนัตตา เคล็ดวิชาฝึกจิตอนัตตาย่อมไม่จำเป็นต้องพูด แม้รุดหน้าช้า ทว่านางรู้ว่าด้วยตบะในยามนี้ สามารถสำเร็จได้เท่านี้ก็ไม่เลวแล้ว ทว่าเคล็ดวิชาพันบุปผาแปลงไม้กลับไม่เหมือนกัน

 

 

แม้นางด้วยบุญพาวาสนาส่งควบคุมจิตกระบี่ได้ ทว่าจนกระทั่งบัดนี้ แม้แต่ขั้นที่สามของเคล็ดวิชากระบี่ทะเลบุปผามายาก็ยังไม่รู้แจ้ง

 

 

ทางสวรรค์ควบคู่กับความขยันแม้เป็นประโยคที่ทุกคนต่างก็รู้ดี ทว่าในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรกลับไม่มีคนไม่รู้ ในบางแง่ความรู้แจ้งโดยพรสวรรค์แสนอัศจรรย์สายนั้นกลับเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด

 

 

“รู้แจ้ง?” กู้หลีเหลือบมองมั่วชิงเฉินปราดหนึ่ง ศิษย์คนนี้ของเขา แม้รากวิญญาณด้อยไปสักหน่อย การรู้แจ้งกลับไม่ด้อยเด็ดขาด

 

 

กู้หลีรับกระบี่ชิงมู่ในมือมั่วชิงเฉินมา ใช้นิ้วมือเช็ดทีหนึ่ง แล้วเอ่ยนิ่งเรียบว่า “ชิงเฉิน เจ้าไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียรสายกระบี่”

 

 

มั่วชิงเฉินตะลึงงัน คำพูดนี้แม้นิ่งเรียบ กลับระเบิดขึ้นที่หัวใจนางราวสายฟ้าฟาด นางเหมือนจับอะไรได้รางๆ แต่คิดอีกทีกลับรู้สึกงงงันอีก

 

 

“อาจารย์ ชิงเฉินไม่เข้าใจ” มั่วชิงเฉินส่ายหน้าอย่างตรงไปตรงมา

 

 

กู้หลีมองนางปราดหนึ่งว่า “ชิงเฉิน เช่นนั้นเหตุใดเจ้าถึงรู้สึกว่าตนเองรู้แจ้งไม่พอ?”

 

 

มั่วชิงเฉินเม้มปากว่า “ที่จริงฝึกกระบี่ในหลายปีนี้ นานๆ ทีชิงเฉินก็จะรู้สึกสับสน มักรู้สึกว่ายามที่ใช้กระบี่ชิงมู่ต้านศัตรูไม่ค่อยได้ดั่งใจ ต่อให้จิตกระบี่ปรากฏ ใจข้ากลับไม่อาจใช้กระบี่ชิงมู่นี้ได้อย่างสะใจเต็มที่ ก็เหมือนกับ เหมือนกับนิสัยข้า ไม่เหมาะจะใช้กระบี่ชิงมู่ก็ไม่ปาน หากต้องพูดอะไรอย่างเป็นรูปธรรมให้ได้ ศิษย์ก็พูดไม่ออก ทว่าไม่ว่าจะในยามฝึกฝนหรือยามสู้กับคน มักรู้สึกขาดอะไรไปสักอย่าง อาจารย์ สาเหตุเป็นเพราะคุณภาพกระบี่ชิงมู่ต่ำไปใช่หรือไม่เจ้าคะ?”

 

 

กู้หลีลุกขึ้น จู่ๆ ยื่นนิ้วชี้ไปที่ต้นเหมยนอกหน้าต่างว่า “ชิงเฉิน เจ้าว่ากิ่งเหมยนี่ ทำกระบี่ได้หรือไม่?”

 

 

มั่วชิงเฉินกะพริบตา ไม่พูดอะไร

 

 

เสียงที่สงบอ่อนโยนราวกับลอยมาจากขอบฟ้า เข้าหูไปทีละคำๆ ว่า “ชิงเฉิน อาจารย์ขอพูดอีกครั้ง เจ้าไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียรสายกระบี่ กลับไปลองคิดดูดีๆ เถอะ”

 

 

‘เจ้าไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียรสายกระบี่’ ราวกับมีพลังลี้ลับบางอย่าง ทะลวงกระหม่อมนาง คลับคล้ายคลับคลา นางเหมือนจับประเด็นอะไรได้

 

 

ความรู้สึกบางอย่างเอ่อขึ้นในใจมั่วชิงเฉิน หากนางเข้าใจคำพูดประโยคนี้ของกู้หลี เช่นนั้นพลังความสามารถในการรบของนางต้องพุ่งทะยานแน่นอน

 

 

รู้แจ้ง เรื่องเช่นนี้ต่อให้เป็นอาจารย์ ก็ไม่อาจถ่ายทอดให้ได้ นี่ก็เป็นสาเหตุที่กู้หลีไม่สามารถพูดให้กระจ่างได้

 

 

ทุกคนล้วนมีความเข้าใจต่อเต๋าของตนเอง โดยเฉพาะผู้บำเพ็ญเพียรระดับล่าง เต๋าคืออะไร พวกเขาอยู่ในขั้นตอนการคลำทาง ไล่ตามมาตลอด บำเพ็ญเพียรขัดเกลาไปทีละก้าวๆ ไปค้นหาไปพิสูจน์เต๋าในใจของตน

 

 

ทว่าหากผู้อาวุโสพูดเต๋าที่ตนเข้าใจออกมา เช่นนั้นจะต้องฝังเมล็ดเมล็ดหนึ่งลงในใจผู้บำเพ็ญเพียรระดับล่างแน่นอน เมล็ดนี้จะแตกหน่อ จะโผล่พ้นดินและในที่สุดงอกงามเป็นต้นไม้สูงเสียดฟ้า

 

 

ทว่าเมื่อต้นไม้ใหญ่ออกผล ตกลงนั่นคือของตนหรือว่าของคนอื่นล่ะ?

 

 

“อาจารย์ ชิงเฉินขอไปคิดดู” มั่วชิงเฉินกระทั่งไม่ทันได้คารวะ ก็วิ่งทะยานไปแล้ว

 

 

บนหลังเขา ดอกอิงป่าสีแดงเข้มสีขาวบานเต็มไปหมด ไม่สนใจสี่ฤดูเปลี่ยนผัน นี่ได้กลายเป็นทิวทัศน์ชั่วนิรันดร์ของเทือกเขาหมิงสยาแล้ว

 

 

มั่วชิงเฉินร่ายรำกระบี่ชิงมู่ครั้งแล้วครั้งเล่า จิตกระบี่หลั่งไหล ดอกไม้ร่วงหล่นนับไม่ถ้วนที่ปลดปล่อยความมีชีวิตชีวารางๆ ร่ายรำบินวนตามกระบี่ งามดุจแดนฝัน

 

 

“ข้าเข้าใจแล้ว!” รำท่าสุดท้ายเสร็จ กระบี่ชิงมู่หลุดออกจากมือ เสียบลงที่ลำต้นต้นอิงป่าต้นหนึ่งอย่างเงียบๆ กลีบดอกนับไม่ถ้วนร่วงลงมาดั่งเม็ดฝน

 

 

กลับได้ยินคนตบมือว่า “ยอดเพลงกระบี่”