ตอนที่ 303 จันทร์ขึ้นยอดต้นหลิว

พันธกานต์ปราณอัคคี

ยามที่มั่วชิงเฉินรำกระบี่ กำลังอยู่ในเขตแดนมหัศจรรย์ที่ก้ำกึ่งรู้แจ้ง จิตใจจมดิ่งอยู่ภายใน จนกระทั่งมีคนเอ่ยปากถึงตกใจตื่นว่ามีคนมาแล้ว รีบยกตามองไป

 

 

ไม่คิดว่าผู้ที่มาคือผู้บำเพ็ญเพียรหญิงหน้าตาหมดจดคนหนึ่ง

 

 

เห็นมั่วชิงเฉินมองมา ผู้บำเพ็ญเพียรยิ้มก่อนได้พูด เผยให้เห็นลักยิ้มเล็กๆ น่ารักคู่หนึ่งว่า “ข้าคือเหยียนซูซูแห่งพรรคอู่อี๋ สมญานามเต๋านักพรตปี้เหลย เจ้าเป็นคนพรรคเหยากวงเช่นนั้นหรือ?”

 

 

พูดพลางเป็นกันเองมาก แทบจะกระโดดโลดเต้นวิ่งมาถึงข้างกายมั่วชิงเฉิน

 

 

มั่วชิงเฉินชั่วขณะหนึ่งงงงันไปเล็กน้อย แล้วเอ่ยอย่างไม่ค่อยแน่ใจว่า “ท่านผู้อาวุโส”

 

 

ถ้านางดูไม่ผิดละก็ ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงผู้นี้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณระยะต้นชัดๆ เหตุใดการกระทำถึงได้คาดเดาไม่ถูก… เช่นนี้?

 

 

“ไม่ต้องมากพิธีหรอก เจ้ายังไม่ได้ตอบคำถามของข้า” นักพรตปี้เหลยโบกมือ ในที่สุดก็พอมีน้ำเสียงของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ ทว่าไม่นับว่าบีบคั้นคน

 

 

นักพรตปี้เหลย? มั่วชิงเฉินฝืนทนไว้ไม่ให้มุมปากกระตุก เอ่ยอย่างเกรงใจว่า “ข้าน้อยคือศิษย์พรรคเหยากวง ไม่ทราบท่านผู้อาวุโสมีธุระอันใดเจ้าคะ?”

 

 

“ไม่มีอะไร ข้าเห็นเจ้ารำกระบี่ รู้สึกว่ารำได้ดีทีเดียว ดังนั้นจึงอยากรู้อยากเห็นเล็กน้อย” นักพรตปี้เหลยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

 

 

“ท่านผู้อาวุโสชมเกินไปแล้ว ข้าน้อยได้ยินว่าพรรคอู่อี๋ถูกขนานนามว่าผู้บำเพ็ญเพียรสายกระบี่มาตลอด คิดว่าเพลงกระบี่โดดเด่นไร้ผู้เทียมทาน ข้าน้อยเพียงแค่เอามะพร้าวห้าวไปขายสวนเท่านั้น” มั่วชิงเฉินคำพูดคำจาไม่มีช่องโหว่ รักษาระยะห่างอย่างไม่ทิ้งร่องรอย

 

 

นักพรตปี้เหลยดูแล้วแม้น่าคบ การกระทำกลับคาดเดาไม่ถูกเช่นนี้ ใครจะไปรู้ว่าจะมีนิสัยแปลกประหลาดอะไรหรือไม่ นางถูกอูเย่ว์ทรมานจนกลัวแล้วนะ ไม่อยากเจอการกระทำที่ไม่ตามหลักเหตุผลทั่วไปเช่นนี้เป็นที่สุด

 

 

หากนางวางมาดของยอดคนรุ่นอาวุโส ตนยังระแวงน้อยหน่อย

 

 

นักพรตปี้เหลยดูเหมือนไม่สังเกตเห็นถึงความระแวงของมั่วชิงเฉิน เห็นลักยิ้มเล็กๆ แพลมๆ ยิ้มหวานอย่างยิ่งว่า “จะเป็นไปได้เช่นไรกัน ข้ามาจากพรรคอู่อี๋นี่แหละ กระบี่กลับรำสู้เจ้าไม่ได้ เจ้าดูข้าสิเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณแล้ว แม้แต่จิตกระบี่ยังควบคุมไม่ได้เลยนะ อาจารย์บอกว่า ต่อไปออกไปอย่าบอกว่าเป็นคนพรรคอู่อี๋ แหะๆ ข้าชอบไม่สักอย่าง ใครกำหนดไว้ล่ะว่าพรรคอู่อี๋ก็ต้องฝึกกระบี่ให้ได้”

 

 

มั่วชิงเฉินอ้าปากอย่างกระอักกระอ่วน ไม่รู้จะรับคำเช่นไรดีจริงๆ

 

 

ไม่ว่าจะคิดเช่นไร ก็ไม่ควรถกปัญหาพวกนี้อย่างกระตือรือร้นกับคนแปลกหน้าคนหนึ่งเช่นนี้

 

 

นักพรตปี้เหลยกลับดันเกิดอารมณ์คุยขึ้นมา ยื่นนิ้วมือเรียวชี้ไปที่กระบี่ชิงมู่ที่จมเข้าไปในลำต้นต้นอิงป่าว่า “ข้าเห็นเจ้ารำกระบี่ เคลื่อนไหวไหลลื่นดั่งเมฆที่ล่องลอยสายน้ำหลั่งไหลตั้งแต่ต้นจนจบ เหตุใดถึงสุดท้ายกลับซัดกระบี่ออกไป ดูเหมือน…ดูเหมือนแฝงไว้ด้วยความหมายของการละทิ้งกระบี่ไม่ใช้อยู่ภายใน?”

 

 

มั่วชิงเฉินใจสั่นสะท้าน แอบว่าไม่เสียทีที่มาจากพรรคอู่อี๋ ปากบอกว่าไม่ถนัดเพลงกระบี่ กลับสามารถมองออกถึงความคิดในใจของตนได้

 

 

“ท่านผู้อาวุโสสายตาเฉียบคม” เมื่อมั่วชิงเฉินยิ้ม ความรู้สึกห่างเหินกลับน้อยลงเล็กน้อย

 

 

นักพรตปี้เหลยเอียงศีรษะดูเหมือนกำลังครุ่นคิด จากนั้นคำพูดน่าตกใจว่า “เจ้าทำได้ถูกต้อง เมื่อครู่ข้ามองดูอยู่ข้างๆ แม้รู้สึกว่าเพลงกระบี่เจ้าสูงส่ง จิตกระบี่ไม่ขาดสาย ทว่าใจของเจ้าและกระบี่ของเจ้ากลับมีอะไรกั้นกลาง”

 

 

มั่วชิงเฉินเกิดความคิดขึ้นมา พูดความกลัดกลุ้มของตนออกมาว่า “ที่ท่านผู้อาวุโสพูดไว้ไม่ผิด ข้าน้อยถึงเวลาสุดท้ายก็ตระหนักถึงจุดนี้ เพียงแต่เคล็ดวิชาพันบุปผาแปลงไม้นี้อาจารย์เป็นผู้ถ่ายทอด ข้าน้อยฝึกฝนมายี่สิบกว่าปีแล้ว จะให้ละทิ้งไม่ใช้ทั้งแบบนี้ ยากจะตัดใจได้จริงๆ…”

 

 

นักพรตปี้เหลยหัวเราะคิกคักขึ้นมาว่า “อาจารย์บอกว่าข้าเซ่อเกินไปบ่อยๆ วันนี้นับว่าเห็นคนที่เซ่อกว่าข้าแล้ว เจ้ารู้สึกว่ากระบี่ชิงมู่ไม่เหมาะสม เช่นนั้นก็เปลี่ยนเสียก็สิ้นเรื่อง จะเปลี่ยนเคล็ดกระบี่ไปไย?”

 

 

มั่วชิงเฉินกะพริบตา ชั่วขณะหนึ่งยังคิดไม่ได้ มองดูใบหน้ายิ้มดั่งบุปผาของนักพรตปี้เหลยพลาง ความคิดก็กระจ่างแล้วกราบไหว้ลงไปว่า “ขอให้ท่านผู้อาวุโสสอนสั่งด้วย”

 

 

นักพรตปี้เหลยโบกมือว่า “เจ้ารีบขึ้นมา ข้าไม่รู้เพลงกระบี่เสียหน่อย สอนสั่งอะไร?”

 

 

มั่วชิงเฉินยืนตัวตรง อมยิ้มมองนักพรตปี้เหลย

 

 

นักพรตปี้เหลยกะพริบดวงตากลมโตฉ่ำเยิ้มทีหนึ่ง หากคนธรรมดาพบเข้า ต้องนึกว่านางเป็นเพียงสาวน้อยอายุสิบหกสิบเจ็ดเป็นแน่ “ข้าไม่อาจสั่งสอนเจ้าได้จริงๆ นะ อาจารย์เคยพูดไว้ว่า ข้าก็คือคนที่คอยทำให้พรรคอู่อี๋เสื่อมเสีย ใช้ลูกตุ้มดาวตกคู่หนึ่งเป็นกระบี่…”

 

 

มั่วชิงเฉินตัวสั่นสะท้าน ราวกับแตกฉานขึ้นมาก็ไม่ปาน ชั่วพริบตาหนึ่งนึกอะไรขึ้นมาได้

 

 

นักพรตปี้เหลยลืมตาโตอย่างแปลกใจว่า “เอ๊ะ นางหนูคนนี้เป็นอะไรไปแล้วล่ะ?”

 

 

เห็นมั่วชิงเฉินไม่ขยับเขยื้อน จึงส่ายศีรษะอย่างหมดสนุก แล้วหันหลังจากไป

 

 

ผ่านไปเนิ่นนาน อาทิตย์อัสดงแล้ว ลมเย็นในภูเขาพัดเข้าใบหน้า หนาวไปทั้งตัว มั่วชิงเฉินถึงได้สติขึ้นมา

 

 

สลัดดอกอิงที่ร่วงเต็มตัวเต็มศีรษะให้หล่นลง ความปีติที่ฉายในดวงตายากจะปิดบัง แล้วมองไปรอบๆ อีกครั้ง กลับไม่เห็นเงาของนักพรตปี้เหลยแล้ว

 

 

มั่วชิงเฉินรู้สึกซาบซึ้งต่อนักพรตปี้เหลย วันนี้หากไม่ใช่คำพูดประโยคหนึ่งของนางทำให้ตนกระจ่างแจ้ง ดีไม่ดียังต้องเดินทางอ้อมอีกหน่อยในการฝึกเคล็ดวิชาพันบุปผาแปลงไม้

 

 

เห็นฟ้ามืดแล้ว จันทราปีนขึ้นยอดไม้ มั่วชิงเฉินอัญเชิญเรือเล็กออกมา จู่ๆ มือกลับชะงักงัน

 

 

มีคนมา!

 

 

ในใจแอบระแวง เมื่อยกตามองไปกลับผ่อนคลายลง ไม่คิดว่าคนที่มาคือเยี่ยเทียนหยวน

 

 

เยี่ยเทียนหยวนเก็บสมบัติวิเศษเหินหาวรูปใบไม้ เห็นมั่วชิงเฉินยืนอยู่ใต้ต้นอิงป่าต้นหนึ่ง จึงก้าวเท้าเดินมาหานาง

 

 

ยังมีอีกาไฟกำลังชะโงกหัวเยี่ยมๆ มองๆ ตามอยู่ข้างๆ

 

 

“อาจารย์อาเยี่ย ท่าน…” มั่วชิงเฉินเอ่ยปากถาม ท่าทางเขาเช่นนี้ เห็นชัดว่ามาหาตน

 

 

เยี่ยเทียนหยวนหน้าเย็นชาดุจน้ำแข็ง มีเพียงลึกเข้าไปในดวงตามีความอบอุ่นสายหนึ่ง มาถึงตรงหน้าว่า “ศิษย์หลานมั่ว เสวียนหั่วเจินจวินเรียกหาด่วน”

 

 

มั่วชิงเฉินใจเต้นตึกตักทีหนึ่ง สีหน้ากลับยังนับว่าใจเย็น กระโดดขึ้นสมบัติวิเศษเหินหาวของเยี่ยเทียนหยวนแล้วทะยานไป

 

 

ตลอดทาง ทั้งสองคนไม่ได้พูดกันแม้แต่คำเดียว

 

 

กระโดดลงจากสมบัติวิเศษเหินหาว ทั้งสองคนเข้าโถงข้างไปด้วยกัน

 

 

เมื่อทั้งสองคนเข้าไปพร้อมกันเช่นนี้ ก็มีสายตาแปลกใจล้อเลียนไม่น้อยตกลงบนตัวพวกเขา คนพวกนี้ล้วนเป็นศิษย์เหยากวงที่ย้อนกลับมาจัดทัพที่สำนักลั่วสยา ถูกเสวียนหั่วเจินจวินเรียกตัวด่วนตอนกลางคืน เดิมทีก็กระวนกระวายใจอยู่แล้ว

 

 

มั่วชิงเฉินกลับไม่ใส่ใจพวกนี้ ตากวาดมองรอบหนึ่งไม่เห็นเงาของมั่วหลีลั่วและต้วนชิงเกอ ถึงจำได้ว่าก่อนหน้านี้ต้วนชิงเกอตามหรูอวี้เจินจวินย้อนกลับพรรคเหยากวงแล้ว มั่วหลีลั่วยังอยู่ที่หุบเขาลั่วเยี่ยนไม่ได้กลับมา

 

 

สบตากับกู้หลี กลับสังเกตเห็นความหนักใจสายหนึ่งในดวงตาที่มืดมนอย่างบอกไม่ถูกของเขา

 

 

รออีกครู่หนึ่ง ศิษย์เหยากวงที่อยู่ลั่วสยาในยามนี้มาอย่างต่อเนื่องจนครบแล้ว เสวียนหั่วเจินจวินถึงกระแอมเสียงหนึ่งว่า “ทุกคนมาถึงมาแล้ว ก็ฟังข้าพูดสักคำ”

 

 

ในโถงเงียบลงมาในทันใด อยู่ท่ามกลางการนองเลือดมาหลายปี ในด้านวินัย บัดนี้ศิษย์เหยากวงเอามาพูดรวมกับเมื่อก่อนไม่ได้แล้ว

 

 

เสวียนหั่วเจินจวินกวาดมองรอบหนึ่ง สีหน้าจริงจังขึ้นมาอย่างหายากว่า “ทุกคนอยู่หุบเขาลั่วสยาจนเบื่อแล้วสินะ?”

 

 

เห็นเสวียนหั่วเจินจวินถามด้วยท่าทางเป็นการเป็นงาน ทุกคนอดมองหน้ากันและกันไม่ได้ นี่หมายความว่าเช่นไร?

 

 

“วันนี้เรียกทุกคนมารวมกัน ก็เพื่อบอกว่า วิกฤตอสูรเริ่มขึ้นแล้ว พรุ่งนี้พวกเราก็ออกเดินทาง เปลี่ยนสถานที่แล้วค่อยสู้” เสวียนหั่วเจินจวินพูดอย่างสบายๆ ทุกคนกลับตกตะลึงพรึงเพริด

 

 

ต้องรู้ว่าที่อยู่ที่นี่อย่างน้อยเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐาน คนส่วนใหญ่ล้วนผ่านวิกฤตอสูรครั้งที่แล้วมาหมด ผู้บำเพ็ญเพียรอายุน้อยที่ไม่เคยผ่านมาก่อนก็เคยได้ยินมาก่อน

 

 

หากบอกว่าระหว่างเต๋ามาร ยามที่พบกันนานๆ ทียังใจตรงกันทำเป็นไม่เห็นกัน เช่นนั้นระหว่างคนและอสูรปีศาจ นั่นก็คือการต่อสู้ที่โชกเลือด ไม่ใช่เจ้าตาย ก็คือข้าม้วย

 

 

มั่วชิงเฉินมองกู้หลีปราดหนึ่งอย่างไม่รู้ตัว เพียงแต่เขาสีหน้าสงบ ดูร่องรอยใดๆ ไม่ออก

 

 

“เอาล่ะ กลับไปเก็บของดีๆ พรุ่งนี้รวมตัวกันที่นี่ ใครมาสายข้าไม่รอหรอกนะ” เสวียนหั่วเจินจวินพูดพลางลุกขึ้นยืน

 

 

ทุกคนกลับไม่ขยับเขยื้อน

 

 

“เป็นอันใด? ยังมีเรื่อง?” เสวียนหั่วเจินจวินโบกพัดกกขาดๆ ขึ้นมา

 

 

ทุกคนแอบน้ำตาไหลเงียบๆ ไยพวกเขาจึงมาเจอเจินจวินเช่นนี้นะ เรื่องใหญ่เช่นวิกฤตอสูรนี้ก็พูดอย่างสงบเยือกเย็นเช่นนี้ทีหนึ่ง จากนั้นก็แยกกันแล้ว? หลิวซางเจินจวิน ท่านไม่น่าทิ้งพวกเราไว้เมื่อหลายวันก่อนแล้วกลับพรรคเหยากวงเลย

 

 

นักพรตซานอินขึ้นมาก้าวหนึ่งว่า เจินจวิน ข้าน้องมีเรื่องจะถาม”

 

 

“ว่ามา” คำพูดของเสวียนหั่วเจินจวินเบียดออกมาจากรูจมูกตรงๆ ตั้งแต่เจ้าซานอินนี่ต่อกรกับนางหนูมั่ว เขาก็มองเขาเกะกะลูกตาเหลือเกิน

 

 

นักพรตซานอินเห็นชัดว่าก็รู้ตัวดี ทว่าเรื่องเกี่ยวพันถึงความเป็นความตายกลับไม่กล้าประมาท แข็งใจถามว่า “เจินจวิน ไม่ทราบว่าพรุ่งนี้เรากลับเหยากวงหรือว่าไปดินแดนทุรกันดารโดยตรง? ขนาดของวิกฤตอสูรเป็นเช่นไรอีก? ถึงเวลารบเดี่ยวหรือว่าทุกสำนักร่วมมือกัน…”

 

 

เสวียนหั่วเจินจวินขัดจังหวะการพูดของนักพรตซานอิน “พวกนี้ถึงเวลาย่อมมีการจัดการเอง บัดนี้ถามมากไปก็ไร้ประโยชน์ พวกเจ้าเพียงจำไว้ว่า วิกฤตอสูรครั้งนี้เป็นวิกฤตใหญ่ที่พันปีก็ยากจะได้พบ หากต้านทานไม่ได้ เช่นนั้นก็สิ่งมีชีวิตก็จะไหม้เป็นจุณ สำนักดับสูญ พวกเรา…ไม่ว่าใครก็หนีไม่พ้น!”

 

 

เมื่อเสวีนหั่วเจินจวินพูดออกไป ทุกคนหน้าซีดเซียวทันที

 

 

ศึกเต๋ามารนานถึงเพียงนี้แล้ว ผู้บำเพ็ญเพียรที่ร่วมรบรู้สึกเหนื่อยล้าอย่างมากตั้งนานแล้ว ต่างหวังว่าจะสิ้นสุดการรบโดยเร็วกลับคืนสู่การบำเพ็ญเพียรปกติ ใครจะคิดว่าในยามที่กำลังจะเห็นแสงรุ่งอรุณ วิกฤตอสูรก็เริ่มอีกแล้ว

 

 

เผ่าปีศาจพวกนี้ ช่างซ้ำเติมเก่งจริงๆ เลย!

 

 

“เอาล่ะ แยกกันไปให้หมดเถอะ เอ่อ ลั่วหยาง เจ้าอยู่ก่อน” เสวียนหั่วเจินจวินเอ่ย

 

 

ทุกคนแยกกันไปติดๆ กัน

 

 

มั่วชิงเฉินรอครู่หนึ่ง แล้วตามกู้หลีออกไปพร้อมกัน

 

 

ในโถง จึงเหลือเพียงเยี่ยเทียนหยวนคนเดียว

 

 

“ลั่วหยาง เจ้ามานี่” เสวียนหั่วเจินจวินโบกมือเรียก

 

 

เยี่ยเทียนหยวนเดินขึ้นไปว่า “ท่านเทียด”

 

 

เสวียนหั่วเจินจวินนิ่งเงียบครู่หนึ่ง ถึงว่า “ลั่วหยาง พรุ่งนี้เจ้าก็นำพาศิษย์ที่ได้รับบาดเจ็บกลุ่มหนึ่งกลับเหยากวงโดยตรงเถอะ”

 

 

“ท่านเทียด?” เยี่ยเทียนหยวนเงยหน้าขึ้นทันที

 

 

เสวียนหั่วเจินจวินโบกพักกกว่า “ลั่วหยาง อาการบาดเจ็บเจ้ายังไม่หายดี รับมือวิกฤตอสูรไม่ไหวโดยสิ้นเชิง ไม่สู้ย้อนกลับสำนักรักษาอาการบาดเจ็บให้หายแล้วค่อยว่ากัน”

 

 

“ทว่า…”

 

 

เสวียนหั่วเจินจวินโบกมือว่า “ก็เอาเช่นนี้แหละ ข้าเป็นเทียดของเจ้า บัดนี้ยังเป็นอาจารย์เจ้าอีก ข้าตัดสินใจ ข้ามีลางสังหรณ์ วิกฤตอสูรครั้งนี้จะไม่จบในเวลาสั้นๆ เวลาอาจยืดเยื้อ นานกว่าศึกเต๋ามารมาก ต่อไป มีโอกาสให้เจ้าได้ทำสุดกำลัง”

 

 

เยี่ยเทียนหยวนนิ่งเงียบอยู่นาน สุดท้ายถึงหลุดออกมาคำหนึ่งว่า “ขอรับ” พูดจบคารวะทีหนึ่ง แล้วหันหลังจะจากไป

 

 

“ลั่วหยาง” เสียงของเสวียนหั่วเจินจวินดังมาจากข้างหลัง “จำบทเรียนไว้ ไม่ว่าเรื่องใดๆ ต้องนกน้อยทำรังแต่พอตัว อย่าอวดเก่ง”

 

 

คำพูดนี้ก็คือว่าเขาเรื่องที่ปีนั้นไม่ใส่ใจตนเองต่อกรกับผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณโดยสมบูรณ์ สุดท้ายช่วยมั่วชิงเฉินกลับมาไม่ได้ตนเองกลับตกอยู่ในอันตราย

 

 

นิ่งเงียบไปพักอีกหนึ่ง เยี่ยเทียนหยวนไม่ได้หันกลับว่า “ท่าเทียด ลั่วเหวยไม่เคยอวดเก่ง” จากนั้นเสียงเย็นชาลงไปว่า “ทว่าหากเริ่มใหม่อีกครั้ง ลั่วหยางยังคงจะทำเช่นนั้น”

 

 

พูดจบจากไปโดยไม่หันกลับมามอง