ตอนที่ 304 นัดกันหลังอาทิตย์อัสดง

พันธกานต์ปราณอัคคี

“เจ้าเด็กโง่คนนี้นี่ ช่างโง่จริงๆ เลย” เสวียนหั่วเจินจวินส่ายศีรษะ จากนั้นเอามือลูบหน้าผากที่เป็นลื่นมันเป็นเงา “ทว่า ยามอายุน้อยใครไม่เคยทำอะไรโง่ๆ บ้างล่ะ?”

 

 

พูดพลาง ยังหัวเราะคิกคักขึ้นมาอีก

 

 

แสงจันทร์ดั่งแพรพรรณ คืนมืดสลัว บนพื้นปูไปด้วยคราบน้ำค้างแข็งชั้นหนึ่ง

 

 

เดินอยู่ระหว่างทาง กู้หลีเงียบงันอย่างผิดปกติ

 

 

มั่วชิงเฉินก็ไม่พูด ปีนั้นนางเคยได้ยินนักพรตจื่อซีพูดถึงมาก่อน คนรักของเขาก็คือเผ่าปีศาจคนหนึ่ง และเสียชีวิตในความโกลาหลแห่งวิกฤตอสูร

 

 

วิกฤตอสูรกวาดผ่านดินแดนเทียนหยวนอีกครั้ง เป็นไปไม่ได้ที่ในใจของเขาไม่ถูกกระทบ

 

 

สุดท้ายกู้หลีเอ่ยปากก่อนว่า “ชิงเฉิน”

 

 

“หืม?” ดวงตาของมั่วชิงเฉินในยามค่ำคืนดูสุกสกาวเป็นพิเศษ เจิดจรัสดั่งดวงดาวบนท้องฟ้าอย่างไรอย่างนั้น

 

 

“วิกฤตอสูรครั้งนี้ กระเ**้ยนกระหือรือยิ่งนัก ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณและผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานล้วนจัดแจงไว้แล้ว อาจารย์อาจไม่ได้อยู่ข้างกายเจ้า เจ้าต้องระวังตัวให้มาก” กู้หลีกำชับอย่างจริงจัง

 

 

“ชิงเฉินทราบแล้ว อาจารย์…วิกฤตอสูรตกลงน่ากลัวปานใดกันแน่?”

 

 

กู้หลีเม้มมุมปากแน่นขึ้นช้าๆ สายตากลับมองออกไปไกลว่า “วิกฤตอสูรใหญ่ที่พันปีก็ยากจะเกิดสักครั้งข้าก็เพียงแต่เคยได้ฟังมาก่อน ว่ากันว่าปีนั้นเดิมทีมีห้าสำนักสิบนิกาย ภายใต้การโจมตีของวิกฤตอสูร หนึ่งสำนักสองนิกายถูกล้างสำนัก สี่สำนักแปดนิกายที่เหลืออยู่ ต่างเปิดค่ายกลใหญ่ผนึกภูเขาหมดถึงโชคดีรอดมาได้ สำนักเล็กๆ และตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรที่ถูกกำจัดในยามนั้น ยิ่งมากจนนับไม่ถ้วน ทว่า นี่เป็นเรื่องเมื่อสองพันปีที่แล้วนะ”

 

 

“ชิงเฉิน เจ้ากลัวหรือไม่?” เห็นมั่วชิงเฉินนิ่งเงียบไม่พูด กู้หลีถามขึ้นเบาๆ

 

 

มั่วชิงเฉินไม่รู้ควรตอบเช่นไร ถามใจตัวเอง กลัวหรือไม่?

 

 

นางต้องกลัวแน่นอนอยู่แล้ว นางกลัววิกฤตอสูรครั้งนี้ทำให้สำนักที่เลี้ยงดูนาง ฟูมฟักนางประสบเคราะห์ กลัวสหายรู้ใจของนางดับสูญ กลัวชีวิตการบำเพ็ญเพียรที่สงบสุขแต่เดิมต้องพินาศลงในวันเดียว…

 

 

สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรทุกคนแล้ว ต่อหน้าภัยพิบัติเช่นนี้จะไม่กลัวได้เช่นไร?

 

 

“อาจารย์ พูดตรงๆ ชิงเฉินกลัวอยู่บ้าง ชิงเฉินยังทำถึงขั้นละทิ้งความรู้สึกทุกอย่างไม่ได้ ทว่าชิงเฉินรู้ว่า ภัยพิบัติที่หากหลบอย่างไรก็หลบไม่พ้น เช่นนั้นต่อให้ในใจกลัวถึงเพียงไหนก็ต้องไปเผชิญ ไปสู้ให้สุดความสามารถสักตั้ง กลัวหรือไม่ ล้วนไม่สำคัญอะไร” มั่วชิงเฉินเอ่ยอย่างสงบ

 

 

ในตากู้หลีฉายแววปลาบปลื้ม ผู้บำเพ็ญเพียรไม่ได้หมายความว่าต้องทำลายความรู้สึกและอารมณ์ทั้งหมด หากแต่คือการสามารถเผชิญกับความรู้สึกที่แท้จริงของมันและควบคุมมัน

 

 

ความหวาดกลัวสามารถทำให้จิตใจของคนบางส่วนพังทลาย กลับก็สามารถทำให้อุดมการณ์ในการสู้ของคนบางส่วนพุ่งขึ้นสูง

 

 

ดังนั้นกลัวหรือไม่มิใช่จุดสำคัญ จุดสำคัญคือสภาพจิตใจหลังจากที่มีความรู้สึกเช่นนี้ ในจุดนี้ ศิษย์ของตนทำให้ดีกว่าตนเองในปีนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย

 

 

ยามนั้น เพราะนาง…ตนจิตใจว้าวุ่นไปจริงๆ

 

 

“ชิงเฉิน อาจารย์จะกลับแล้ว เจ้าก็กลับเถอะ หากเจอการต่อสู้ที่ความสามารถแตกต่างกันเกินไป เช่นนั้นการรักษาชีวิตตนไว้ได้ก็คือชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด อย่าฝืนกำลัง” กู้หลีกำชับอีกประโยคหนึ่ง ถึงหันหลังจากไป

 

 

ต่อให้เป็นห่วงเพียงใด ทนดูไม่ได้เพียงไหน ขวากหนามที่พบบนถนนแห่งการบำเพ็ญเพียรอย่างไรเสียก็ต้องให้นางเดินไปเอง เป็นไปไม่ได้ที่ตนจะคอยประคองได้ตลอด ยิ่งกว่านั้นเขาก็รู้ ศิษย์ของเขาก็ไม่ยินดีให้ตนพยุง สิ่งที่นางอยากได้ยิ่งกว่า คือการเดินเคียงบ่าเคียงไหล่กัน

 

 

“อาจารย์” มั่วชิงเฉินเดินขึ้นไปก้าวหนึ่ง หยิบขวดน้ำเต้าสีทองออกมาสองใบ “นี่คือสุราวานรที่ชิงเฉินได้มา ท่านจะแอบดื่มไม่ได้นะ รอวิกฤตอสูรสงบแล้ว ท่านต้องทำกับแกล้มอย่างดีให้ชิงเฉินโต๊ะหนึ่ง เราศิษย์อาจารย์ค่อยๆ ดื่ม”

 

 

กู้หลีหลุบตามองขวดน้ำเต้าในมือ ในตาเต็มไปด้วยรอยยิ้มว่า “ได้”

 

 

มองดูเงาหลังที่จากไปไกลของกู้หลี มั่วชิงเฉินหลุบตาลง หันหลังเดินไปที่ที่พำนักของตน

 

 

ผลักประตูออก ก็ได้ยินอีกาไฟต่อว่าอยู่ในถุงอสูรวิญญาณว่า “เฮ้อ ข้าว่าไยเจ้าถึงมอบสุราวานรให้ผู้อื่นจนหมดนะ เกินไปแล้วนะ” พูดถึงตรงนี้ยิ่งน้อยใจ “แกว๊กๆ ข้าปวดใจจะตายอยู่แล้ว!”

 

 

มั่วชิงเฉินทั้งโมโหทั้งน่าขันเรียกอีกาไฟออกมา ยิ้มเยาะว่า “อู๋เย่ว์เอ๋ยไหนๆ เจ้าก็ขวดเดียวล้มอยู่แล้ว ดื่มมากไปก็เปลือง ปวดใจอะไร?”

 

 

อีกาไฟควันพุ่งออกหู เอาปีกเท้าเอว โวยวายเหมือนหญิงปากร้ายว่า “ขวดเดียวล้มแล้วเป็นเช่นไร ขวดเดียวล้มก็ไม่มีสิทธิ์ดื่มสุราแล้วหรือ? แกว๊กๆ เจ้านายใจร้ายเหลือเกิน ถึงฝั่งแล้วถีบหัวเรือส่ง เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพลชัดๆ…”

 

 

มั่วชิงเฉินสีหน้าจำใจ นี่มันเรียนกับใครมาล่ะนี่

 

 

อีกาไฟยังคงไม่ยอมว่า “ยามนั้นหากไม่เพราะข้าเสี่ยงชีวิตสู้เป็นสู้ตายลากนักพรตลั่วหยางกลับมา เจ้าจะไปพบอาจารย์อาเยี่ยเจ้าที่ไหน ฮึ!”

 

 

มั่วชิงเฉินชะงักว่า “อู๋เย่ว์ ข้ากำลังจะถามเจ้าเรื่องที่เกิดขึ้นวันนั้นพอดี”

 

 

อีกาไฟค้อนตาคว่ำว่า “นี่ยังต้องถามอีกหรือ วันนั้นข้าไปแย่งตัวเจ้าสาวพร้อมนักพรตลั่วหยางน่ะสิ สุดท้ายแย่งตัวเจ้าสาวไม่ได้ เป็นตายร้ายดีเขาก็ไม่ยอมไป ฆ่าคนไปไม่น้อยเชียวนะ คนเขาทนดูไม่ได้ ก็เลย…”

 

 

“ก็เลยอะไร?” มั่วชิงเฉินอยากรู้อยากเห็นขึ้นมา หรือว่าอีกาไฟยังได้เป็นผู้กอบกู้โลกครั้งหนึ่งด้วย

 

 

อีกาไฟก้มหน้าลงอย่างเขินอายว่า “ก็เลยพ่นไฟเผา เขาจะได้ไม่ต้องฆ่าทีละคนคนทั้งเสียเวลาทั้งเหนื่อย”

 

 

มั่วชิงเฉินเกือบกระอักเลือด วุ่นวายมาตั้งนานที่แท้เพราะมันทนดูเยี่ยเทียนหยวนเหนื่อยไม่ได้!

 

 

“เป็นอันใดล่ะ เจ้านาย คนเขาทำเพื่อเจ้าตั้งมากมายเพียงนี้ เจ้าก็ไม่คิดจะแสดงอะไรหน่อยหรือ?” เห็นมั่วชิงเฉินไม่มีปฏิกิริยา อีกาไฟใช้ปีกผลักนางทีหนึ่ง “เจ้านาย~~ เอาสุราเลิศรสพวกนั้นของเจ้าออกมาสักสิบไหแปดไหสิ อย่าใจแคบเช่นนี้ สุราพวกนั้นสำคัญสู้อาจารย์อาเยี่ยของเจ้าได้หรือ?”

 

 

มั่วชิงเฉินกระตุกมุมปากอย่างแรงทีหนึ่ง จะปล่อยให้เจ้านี่พูดเหลวไหลต่อไปไม่ได้แล้ว จึงสะบัดมือในมือปรากฏกล่องหยกขึ้นใบหนึ่ง

 

 

“นี่คืออันใด?” อีกาไฟทำตาเหลือก ท่าทางไม่แยแส

 

 

“เจ้าลองดูสิ” มั่วชิงเฉินโยนกล่องหยกข้ามไป

 

 

อีกาไฟเปิดกล่องหยกออกอย่างไม่เต็มใจ ทันใดนั้นก็กรีดร้องขึ้นว่า “แกว๊กๆ มุกปีศาจ หนึ่งเม็ด สองเม็ด…มุกปีศาจสองเม็ด เอามาจากไหน?”

 

 

มั่วชิงเฉินค้อนตาคว่ำว่า “ไร้สาระ แน่นอนต้องฆ่าอสูรปีศาจได้มาน่ะสิ คงไม่ใช่หล่นลงมาจากบนฟ้าหรอกกระมัง?”

 

 

“นั่นก็ไม่แน่ ไม่แน่วันไหนมุกปีศาจก็หล่นลงมาจากฟ้าเม็ดหนึ่งแล้ว” อีกาไฟกอดกล่องหยกพลาง เอ่ยอย่างดีอกดีใจ

 

 

เพิ่งสิ้นเสียง ก็มีของสิ่งหนึ่งทะลุหน้าต่างเข้ามา วาดลำแสงขึ้นกลางอากาศสายหนึ่ง

 

 

หนึ่งคนหนึ่งอีกาถอยหลังก้าวหนึ่ง เพ่งมองดู เห็นเพียงมุกปีศาจสีชมพูเม็ดหนึ่งนอนนิ่งอยู่บนพื้น ยังมีควันคุกรุ่นอยู่อย่างคาดไม่ถึง

 

 

มั่วชิงเฉินตัวแข็งเป็นหินทันที มองอีกาไฟด้วยความอึ้ง

 

 

อีกาไฟเขยิบเข้าไป ใช้ปีกลองจิ้มมุกปีศาจนั้นดู แล้วจู่ๆ ก็ร้องไห้แกว๊กๆ ขึ้นมา

 

 

“อู๋เย่ว์ เจ้าคงไม่ได้ดีใจจนโง่แล้วหรอกกระมัง?” มั่วชิงเฉินถามด้วยความสงสัย

 

 

แล้วก็ได้ยินอีกาไฟเอ่ยสะอึกสะอื้นว่า “รู้แต่แรก ข้าก็น่าจะบอกว่าบนฟ้ามีอีกาหล่อเหลาไร้เทียมทานตกลงมาตัวหนึ่งแล้ว!”

 

 

มั่วชิงเฉินกระโดดถีบทีหนึ่งว่า “เลิกเหลวไหลได้แล้ว รีบกินมุกปีศาจเสีย พยายามเลื่อนขั้นให้ได้ในเร็ววัน มิเช่นนั้นในความโกลาหลแห่งวิกฤตอสูรจะรักษาชีวิตไว้ได้หรือไม่ยังไม่แน่เลย!”

 

 

“เอ่อ” อีกาไฟอุ้มมุกปีศาจสามเม็ด มุดเข้าถุงอสูรวิญญาณอย่างหมดอาลัยตายอยาก

 

 

ลึกเข้าไปในเทือกเขาหมิงสยา ผู้บำเพ็ญเพียรสองคนหนึ่งชายหนึ่งหญิงมองกระต่ายหอมอิงแดงที่ล้มอยู่บนพื้นอย่างงงๆ

 

 

“พี่ใหญ่ ท่านบอกว่ากระต่ายหอมอิงแดงที่กินดอกอิงป่าเป็นอาหารนิสัยเชื่องตามธรรมชาติ แม้อยู่ขั้นห้า ใช้แผนการเล็กน้อยก็รับมือได้มิใช่หรือ นี่ หรือว่าตัวนี้จะอยู่ขั้นสี่?” หญิงสาวกระทืบเท้า

 

 

ผู้ชายขมวดคิ้วขึ้นว่า “ไม่ใช่สิ นี่เป็นกระต่ายหอมอิงแดงขั้นห้าชัดๆ”

 

 

“เช่นนั้นมุกปีศาจล่ะ?” หญิงสาวเขย่าแขนผู้ชาย

 

 

ผู้ชายกระอักกระอ่วนขึ้นมาทันที ก้มตัวรื้อหาอยู่ครึ่งค่อนวันอีก อย่างไรก็หามุกปีศาจของกระต่ายหอมอิงแดงไม่พบ

 

 

“นี่ผีหลอกแล้วจริงๆ!” ผู้ชายเอ่ยอย่างไม่อยากเชื่อ

 

 

หญิงสาวกระทืบเท้าอย่างแรงว่า “พี่ใหญ่ ระยะนี้ท่านเป็นอะไรไปน่ะ ปล่อยให้คนรังแกน้องสาวท่านอยู่ก่อน ปล่อยอสูรเขาเดียวที่ได้ถึงมือไป บัดนี้ดึกดื่นน้ำค้างแรง คนเขาเฝ้าอยู่นี่กับท่านจะจับกระต่ายหอมอิงแดง สุดท้ายล่ะ ยังเห็นตัวขั้นสี่เป็นขั้นห้า ปล่อยให้คนเขาดีใจเก้อ!” พูดจบผู้บำเพ็ญเพียรหญิงหันหลังแล้วก็วิ่งจากไป

 

 

“น้องเล็ก” ผู้ชายรีบไล่ตามไป

 

 

ทางด้านนี้ มั่วชิงเฉินคิดๆ ดูแล้ว เรียกเขาน้อยออกมาอีก

 

 

ไม่ใช่นางลำเอียง เขาน้อยเป็นอสูรปีศาจขั้นห้าแล้ว อีกทั้งอายุยังน้อย ชั่วขณะหนึ่งยังยากที่จะเลื่อนขั้นได้ ไม่เหมือนอู๋เย่ว์ที่อยู่ยอดขั้นสี่แล้ว มีความช่วยเหลือจากมุกปีศาจสามเม็ดนี้ ไม่แน่ก็ก้าวกระโดดกลายเป็นอสูรวิญญาณขั้นห้าได้แล้ว

 

 

ต้องรู้ว่าอสูรปีศาจขั้นห้าในกายก็จะก่อมุกปีศาจขึ้น พลังความสามารถจะรุดหน้าอย่างรวดเร็ว

 

 

“เจ้านาย…” เขาน้อยส่ายหัวอันใหญ่โตพลาง จะมุดเข้าอ้อมกอดมั่วชิงเฉิน

 

 

มั่วชิงเฉินมุมปากกระตุก รีบขวางไว้

 

 

นางจะมีอสูรวิญญาณที่ปกติสักหน่อยไม่ได้หรืออย่างไร!

 

 

“เจ้านาย ท่านไม่ชอบเขาน้อยหรือ?” เขาน้อยลืมตาโตรื้นน้ำตาคู่นั้นพลาง เอ่ยอย่างน้อยใจ

 

 

“เปล่า…” มั่วชิงเฉินน้ำตาไหลเงียบๆ ต่อให้ชอบเพียงใดก็มุดเข้าอกไม่ได้นี่นา

 

 

เขาน้อยตาเป็นประกาย หัวอันใหญ่โตแถมาอีกแล้ว

 

 

มั่วชิงเฉินสะบัดมือของสิ่งหนึ่งปรากฏขึ้นมาว่า “เขาน้อย พวกนี้ให้เจ้ากิน”

 

 

เขาน้อยใช้ปากคาบมา จากนั้นเก็บเข้าช่องว่างเก็บของที่เป็นของเฉพาะของอสูรปีศาจว่า “เจ้านาย นี่คืออะไรน่ะ?”

 

 

“นี่คือโอสถไขกระดูกเขียว หากเจ้าชอบละก็ วันหลังยังมีอีกมาก” มั่วชิงเฉินตบหัวของเขาน้อยว่า “เขาน้อยเด็กดี กลับไปก่อนเถอะ ข้ายังต้องเก็บของสักหน่อย พรุ่งนี้พวกเราก็จะออกเดินทางกันอีกแล้ว”

 

 

“อืม” เขาน้อยรับคำแล้วมุดเข้าถุงอสูรวิญญาณอย่างว่าง่าย

 

 

มั่วชิงเฉินยิ้ม โอสถไขกระดูกเขียวเป็นโอสถที่ใช้สำหรับเพิ่มตบะให้อสูรวิญญาณโดยเฉพาะ อสูรปีศาจบำเพ็ญเพียรช้า ขืนอาศัยตนเอง คิดจะเลื่อนขั้นไม่รู้ยังต้องรอถึงวันไหนเดือนไหนปีไหน

 

 

มีโอสถไขกระดูกเขียวนี้แล้ว ก็เหมือนกับผู้บำเพ็ญเพียรยามบำเพ็ญเพียรมีโอสถรวมวิญญาณแล้ว

 

 

“ใคร” มั่วชิงเฉินหุบยิ้ม มองไปที่ประตู

 

 

“ศิษย์หลานมั่ว ข้าเอง” เสียงของเยี่ยเทียนหยวนลอยมา

 

 

มั่วชิงเฉินชะงัก ลังเลครู่หนึ่งถึงว่า “เข้ามา”

 

 

นอกประตูนิ่งงันไปครู่หนึ่ง เสียงลอยมาว่า “ไม่ดีกว่า หากศิษย์หลานมั่วสะดวกละก็ ออกมาครู่หนึ่งได้หรือไม่?”

 

 

มั่วชิงเฉินผลักประตูเดินออกไป

 

 

กลางค่ำกลางคืนน้ำค้างแรง ชุดเขียวของเยี่ยเทียนหยวนพลิ้วไหวตามลม แสงจันทร์รินไหลผ่านไป ตาที่มองมั่วชิงเฉินสว่างไสวดุจดวงดาว

 

 

“อาจารย์อาเยี่ยมีธุระอันใด?” มั่วชิงเฉินรู้สึกแปลกใจ เดินขึ้นหน้าไป

 

 

เยี่ยเทียนหยวนมองมั่วชิงเฉินเงียบๆ ปราดหนึ่ง เสียงเย็นกระจ่างว่า “พรุ่งนี้ข้าก็จะกลับเหยากวงแล้ว ศิษย์หลานมั่ว ในวิกฤตอสูร เจ้ารักษาตัวด้วย”

 

 

พูดจบก็ไม่รอมั่วชิงเฉินตอบ หันหลังเดินจากไปทั้งเช่นนี้แล้ว เพียงพริบตาก็หายไปในคืนอันมืดมิด

 

 

มั่วชิงเฉินอ้าปากแล้วอ้าปากอีก สุดท้ายถอนใจเบาๆ เสียงหนึ่ง แล้วหมุนตัวกลับห้อง

 

 

ใครจะรู้ว่าเพิ่งนั่งลงไม่นาน ขมวดคิ้ว ไม่คิดว่าจะมีคนมาอีกแล้ว!