“พี่ใหญ่อาอวี่!”

ใบหน้าฉินอินเต็มไปด้วยรอยยิ้มขณะที่ผ้าคลุมขาวปลิวไสวไปตามสายลม มีโบรูปผีเสื้อสีม่วงดอกจื่อยินประดับอยู่บนเส้นผมอย่างสวยงาม กลุ่มองครักษ์มังกรยืนอารักขาอยู่ด้านหลังซึ่งรวมไปถึงฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน ดูเหมือนว่าผู้บัญชาการองครักษ์มังกรฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนจะปฏิบัติหน้าที่อยู่ เมื่อฉินอินสังเกตเห็นบาดแผลบนไหล่หลินมู่อวี่ก็รู้สึกกังวลทันที นางเดินมาสัมผัสผ้าพันแผลอย่างแผ่วเบา “ท่านบาดเจ็บหรือ?”

“อืม…ข้าบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยขอรับ” หลินมู่อวี่เผยยิ้มจางๆ และกล่าวอย่างเคารพ “เสี่ยวอินเหตุใดจึงอยู่ที่นี่?”

“ข้าได้ยินมาว่าท่านกลับเข้ามาที่ตำหนักเจ๋อเทียนเพื่อรายงานตัว ข้าจึงมาพบท่าน”

มือเล็กสีขาวดุจดั่งหิมะของฉินอินลูบบนบาดแผลพร้อมปลดปล่อยพลัง จากนั้นปราณยุทธ์ก็แทรกซึมเข้าสู่บาดแผลอย่างเชื่องช้า “บาดแผลของท่านลึกมาก เช่นนั้นยังบอกว่าบาดเจ็บเล็กน้อยอีก…สิ่งใดทำให้ท่านบาดเจ็บกัน?”

หลินมู่อวี่เผยยิ้มกระอักกระอ่วน “ไม่มีสิ่งใดทำข้าหรอกขอรับ ข้าเป็นองครักษ์รักษาพระองค์ และเป็นผู้ฝึกวิทยายุทธ์ จึงเป็นเรื่องปกติที่จะได้รับบาดเจ็บ”

ฉินอินรู้ว่าหลินมู่อวี่ไม่ต้องการบอก นางจึงหันไปมองพวกเว่ยโฉว “เจ้ามีนามว่าอะไร?”

“กระหม่อมมีนามว่าเว่ยโฉวพ่ะย่ะค่ะ” เว่ยโฉวรู้สึกประหม่ามาก ในที่สุดก็มีโอกาสได้สนทนากับองค์รัชทายาทและหญิงงามอันดับหนึ่งของจักรวรรดิ เช่นนั้นจะไม่ให้เขาประหม่าและตื่นเต้นได้เยี่ยงไร…

ฉินอินเอ่ยถาม “เว่ยโฉว เหตุใดพี่ใหญ่อาอวี่ของข้าจึงได้รับบาดเจ็บ?”

เว่ยโฉวตะลึง หลินมู่อวี่ส่งสายตาเป็นนัยมิให้พูดสิ่งใด เว่ยโฉวจึงตอบว่า “ทูลฝ่าบาท…ท่านหลินมู่อวี่ได้รับบาดเจ็บเมื่อคราที่ล่ามังกรนภาพ่ะย่ะค่ะ ไม่เพียงเท่านั้น เรายังสูญเสียองครักษ์รักษาพระองค์นามว่าฮันเช่าอีกด้วยพ่ะย่ะค่ะ…”

“เช่นนั้นหรือ…” ริมฝีปากฉินอินสั่นเล็กน้อยและดวงตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด “นี่ก็ปลายปีแล้ว ป่าล่ามังกรถูกปิดตายด้วยหิมะ รังอินทรีมิควรถูกส่งไปลาดตระเวนอีก ผู้ใดเป็นคนออกคำสั่งนี้หรือ?”

เว่ยโฉวตกตะลึง “กระหม่อมมิกล้าพูด…”

ทันใดนั้นเฉอชงเสนาธิการแห่งตำหนักเจ๋อเทียนเหงื่อแตกพลั่ก รีบเข้ามาคุกเข่าประสานมือ “ฝ่าบาท…เป็นคำสั่งของกระหม่อมเอง…อาวุโสผู้นี้สมควรตาย! ขอประทานอภัยฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ!”

“เสนาธิการเฉอชง?”

ฉินอินเลิกพระขนง “ท่านได้ออกคำสั่งใดแก่รังอินทรี?”

“ก่อนเหมันตฤดูจะสิ้นสุด พวกเขาต้องค้นหาศิลาวิญญาณอรุณอายุกว่าหกพันปีพ่ะย่ะค่ะ…”

“นี่คือสาเหตุที่ทำให้ท่านหลินมู่อวี่ต้องบาดเจ็บอย่างนั้นหรือ?” ฉินอินทรงกริ้วเล็กน้อย “เฉอชง ท่านเป็นเสนาธิการแห่งตำหนักเจ๋อเทียน มิเข้าใจหรือว่าชีวิตขององครักษ์อวี้หลินนั้นสำคัญเพียงใด? เสด็จพ่อเคยตรัสแล้วว่าไม่สามารถส่งองครักษ์อวี้หลินไปตามหาศิลาวิญญาณที่มีอายุมากกว่าหกพันปีได้ มิเช่นนั้นจะเท่ากับส่งพวกเขาไปตาย!”

ร่างกายเฉอชงสั่นเทิ้มขณะที่กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ฝ่าบาท ผู้อาวุโสทราบดี ทว่า…องค์จักรพรรดิทรงเชิญนักตีเหล็กชื่อดังอวี่จื้อหยานมาหลอมอาวุธศักดิ์สิทธิ์ธาตุแสงให้แก่ฝ่าบาท ด้วยเหตุนี้กระหม่อมจึงต้องออกคำสั่งกับรังอินทรี กระหม่อมขอประทานอภัยเป็นอย่างสูงที่กระทำผิดไปพ่ะย่ะค่ะ”

ฉินอินย่นจมูกอย่างไม่พอใจ ก่อนจะกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา “จะไม่มีครั้งต่อไปอีก อย่างน้อย…ท่านไม่สามารถสร้างปัญหาให้แก่หลินมู่อวี่ได้อีก มิเช่นนั้นท่านจะพ้นจากการเป็นเสนาธิการแห่งตำหนักเจ๋อเทียน”

“ขอบพระทัยฝ่าบาท!”

ขณะเดียวกันอวี่จื้อหยานผู้มีใบหน้าคมคายก็เดินผ่านมา เขาประสานมือโค้งคำนับ “ฝ่าบาท กระหม่อมมีนามว่าอวี่จื้อหยาน บุตรคนโตตระกูลขุนนางช่างตีเหล็กอวี่จื้อแห่งมณฑลเทียนชู่ ครานี้องค์จักรพรรดิทรงเชิญกระหม่อมเข้าเมืองหลวงเพื่อหลอมกระบี่นิลขั้นสี่ขึ้นไปถวายแก่ฝ่าบาท หากสามารถประทับรอยยิ้มบนพระพักตร์ฝ่าบาทได้ แม้จักต้องตายเป็นหมื่นครั้งข้าก็ยอมพ่ะย่ะค่ะ!”

ฉินอินได้รับการขนานนามว่าเป็นหญิงสาวผู้เลอโฉมที่สุดในจักรวรรดิตั้งแต่ย่างเข้าอายุสิบหก ทั่วทั้งปฐพีต่างก็รู้ถึงตำนานความงดงามของนาง ดังนั้นทายาทตระกูลขุนนางมณฑลต่างๆ จึงอดไม่ได้ที่จะชื่นชมรัชทายาทแห่งจักรวรรดิ แม้ว่าตระกูลอวี่จื้อจะมีชื่อเสียงและอำนาจในมณฑลเทียนชู่ ทว่าอวี่จื้อหยานจำต้องพึ่งพาความสามารถในการหลอมอาวุธเพื่อให้ได้เข้าใกล้ฉินอิน

เมื่อเผชิญหน้ากับอวี่จื้อหยานที่เคารพ ฉินอินจึงเผยท่าทีสง่างามเฉกเช่นองค์หญิงใหญ่ นางทักทายเยี่ยงหญิงสาวชนชั้นสูงก่อนตรัสว่า “เช่นนั้นท่านอวี่จื้อหยานคงต้องลำบาก!”

อวี่จื้อหยานเผยยิ้มจางๆ “ฝ่าบาทมิจำเป็นต้องระบายความโกรธต่อท่านเฉอชงพ่ะย่ะค่ะ เนื่องจากเขาออกคำสั่งนี้เพื่ออาวุธของฝ่าบาท อีกทั้ง…องครักษ์รักษาพระองค์สามารถมอบชีวิตแด่ราชวงศ์ แม้จะต้องพบกับความตายเพื่ออาวุธฝ่าบาท ก็เป็นเกียรติสำหรับทหารเหล่านั้น กระหม่อมพูดถูกใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”

ดวงตาฉินอินฉายแววโกรธเกรี้ยว ทว่าใบหน้ายังคงประดับด้วยรอยยิ้ม “คำพูดท่านอวี่จื้อหยานมิได้ไร้เหตุผล ข้าเข้าใจแล้ว…วางใจเถิด ข้าจะไม่สอบสวนการใช้อำนาจในทางที่ผิดของเสนาธิการเฉอชง”

ตระกูลอวี่จื้อเป็นตระกูลใหญ่ของมณฑลเทียนชู่ซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านเหล็ก การค้า และแม้กระทั่งจัดหาอาวุธให้แก่กองทัพหลวงประจำมณฑลเทียนชู่โดยตรง พวกเขามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับกองทัพจักรวรรดิ นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ฉินอินไม่สามารถจัดการกับตระกูลอวี่จื้อด้วยข้อหาเล็กน้อยเช่นนี้ นางจึงเปลี่ยนน้ำเสียงที่คุย

อวี่จื้อหยานประสานมือคำนับอย่างเคารพ “ฝ่าบาท กระหม่อมได้หลอมนิลพิศวงอายุหมื่นปีไว้แล้ว ขาดเพียงศิลาวิญญาณ และก็ได้มันมาพอดี ดังนั้นกระหม่อมจะหลอมกระบี่คืนนี้พ่ะย่ะค่ะ หากฝ่าบาทมิว่าอะไร กรุณาทรงพระอักษร ‘ฉินอิน’ แล้วกระหม่อมจะสลักลงบนด้ามกระบี่ ด้วยบารมีอันสูงส่งของฝ่าบาท มันจะถูกส่งต่อไปชั่วกาลนานพ่ะย่ะค่ะ”

หลินมู่อวี่ขมวดคิ้วและแอบคิดว่าอวี่จื้อหยานผู้นี้ช่างมีวาทศิลป์ในการประจบ ด้วยความสุภาพและทักษะที่มี คงทำให้หญิงสาวคล้อยตามไม่ยาก?

เว่ยโฉวหัวเราะเยือกเย็นและกระซิบ “ไอ้เจ้านี่ ช่างรู้วิธีประจบผู้อื่นเสียจริง…”

หลินมู่อวี่ตกใจ เวรเอ๊ย! เว่ยโฉว! พูดตรงเกินไปแล้ว เสียงกระซิบของเจ้าดังราวกับเครื่องยนต์ของเครื่องบิน มันดังเสียจนเป็นไปไม่ได้ที่อวี่จื้อหยานจะไม่ได้ยิน หลังจากนี้ต้องมีปัญหาตามมาแน่!

ตามดังคาด…อวี่จื้อหยานเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งและหันไปทางพวกเว่ยโฉว ”ข้าน้อยอาศัยอยู่ที่เมืองเงาเทวาแห่งมณฑลเทียนชู่มาโดยตลอด จึงไม่ทราบมาก่อนว่าทหารอวี้หลินในเมืองหลันเยี่ยนนั้นหยาบคายถึงเพียงนี้ ผู้คนต่างรับรู้ถึงพระเมตตาและบารมีขององค์หญิงอิน ตราบใดที่ยังมีคนหนุ่ม ก็ไม่แปลกที่จะมีผู้ที่ต้องการชื่นชมองค์หญิง ข้าเพียงแสดงออกมาอย่างซื่อตรง แล้วเหตุใดจึงกลายเป็นการะประจบสอพลอเมื่อมาจากปากของเจ้า? ผู้บัญชาการหลินมู่อวี่มิได้สั่งสอนผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของท่านเลยหรือ?”

หลินมู่อวี่ประสานมือกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าจะสั่งสอนพวกเขาอย่างแน่นอนเมื่อกลับไป ขออภัยที่สร้างปัญหาแก่ท่านอวี่จื้อขอรับ!”

หลินมู่อวี่มีท่าทางราวกับอันธพาล จึงทำให้อวี่จื้อหยานไม่กล้าตำหนิต่อ

ทว่าอวี่จื้อหยานเป็นเด็กหนุ่มที่หาใครเทียบได้ไม่ในเมืองเทียนชู่ แล้วจะให้ยอมรับคำสบประมาทเช่นนี้ได้เยี่ยงไร เขาจึงพูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “ข้าเคยคิดว่าทหารรักษาพระองค์จะเป็นดั่งวีรบุรุษ ไม่คาดคิดเลยว่าพวกเขาจะเป็นเพียงฝูงหมาล่าเนื้อเท่านั้น!”

“เจ้าพูดอะไร!? ไอ้สารเลว!” ในที่สุดเซี้ยโหวซางก็ควบคุมอารมณ์โกรธไม่ได้

ทว่าหลินมู่อวี่เพียงยิ้มและเอ่ยถาม “เหตุใดท่านอวี่จื้อหยานจึงพูดเช่นนั้น…เหตุใดเหล่าทหารรักษาพระองค์จึงกลายเป็นฝูงหมาล่าเนื้อไปได้ขอรับ?”

“แล้วพวกเขามิใช่หรือ?”

อวี่จื้อหยานตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา “มีองครักษ์รักษาพระองค์คอยอารักขาฝ่าบาทอยู่แล้ว ดังนั้นพวกทหารอวี้หลินจึงถูกกำจัดอย่างง่ายดาย องครักษ์อินทรีมีหน้าที่เพียงล่าสัตว์วิญญาณให้แก่ราชวงศ์ สิ่งที่เจ้าทำ…บางทีแม้แต่หมาล่าเนื้อและนกอินทรีก็สามารถทำได้ หากเจ้ามีทักษะจริง…เกรงว่าองค์หญิงคงมิต้องตกอยู่ในอันตรายที่ตำหนักกวางโศกา”

ใบหน้าฉินอินเต็มไปด้วยความโกรธ “ท่านอวี่จื้อ พอได้แล้ว!”

หลินมู่อวี่ไม่ทนอีกต่อไป จึงเดินไปหยุดตรงหน้าฉินอินและมองอวี่จื้อหยาน “เหตุการณ์ ณ ตำหนักวังโศกา เจ้ารู้หรือไม่ว่ามีทหารอวี้หลินเสียชีวิตกี่นาย? อวี่จื้อหยานเจ้าเป็นคนเช่นไรกัน? ภูมิใจในตัวเองเพียงเพราะหลอมอาวุธไม่กี่ชิ้นรึ? มิใช่ว่าตระกูลอวี่จื้อเป็นตระกูลขุนนางช่างตีเหล็กหรือ? เช่นนั้นเจ้ากล้ามาแข่งกับข้าหรือไม่?”

“แข่งอะไร?” อวี่จื้อหยานหัวเราะ “แข่งหลอมอาวุธหรือ? คนป่าเถื่อนเช่นเจ้าจะเข้าใจช่วงเวลาสำคัญในการควบคุมไฟและความเข้มข้นของเหล็กรึ?”

หลินมู่อวี่หัวเราะออกมาเบาๆ “เจ้าและข้าจะหลอมอาวุธแด่องค์หญิงในค่ำคืนนี้พร้อมสลักชื่อลงบนด้าม จากนั้นนำไปตำหนักเจ๋อเทียนวันรุ่งขึ้นเพื่อเปรียบเทียบ เจ้ากล้าหรือไม่?”

“เหตุใดข้าจะไม่กล้า? แล้วเดิมพันด้วยอะไร?” อวี่จื้อหยานหัวเราะเยาะ

“การเดินมายังเมืองหลันเยี่ยนครานี้…ข้าเดิมพันกับเงินทั้งหมดที่เจ้านำมาด้วย!”

“เจ้า…” อวี่จื้อหยานกัดฟัน “ข้ามิได้นำเงินมาด้วยมากมาย ทว่าข้านำธนบัตรมาซึ่งมีค่าเท่ากับสองหมื่นเหรียญทอง เจ้ากล้าพนันหรือไม่?”

“เหตุใดจะไม่กล้า?” หลินมู่อวี่มั่นใจยิ่งกว่าเดิม “เราจะขอความกรุณาให้องค์หญิงเป็นผู้ดูแลการเดิมพันครานี้”

“ได้สิ…” ฉินอินมองไปยังหลินมู่อวี่ด้วยความสงสัย เธอไม่รู้ว่าเลยว่าหลินมู่อวี่รู้วิธีหลอมอาวุธด้วย และคิดว่าอาวุธที่หลินมู่อวี่ใช้ล้วนซื้อมาด้วยเงินที่เขาปรุงโอสถ

แท้จริงแล้วหลินมู่อวี่มิได้ต้องการแสดงให้ใครเห็นเลย เขาต้องการจะปกปิดเรื่องนี้ไว้ ทว่าอวี่จื้อหยานอวดดีเกินไป หากไม่ปรามลง เหล่าองครักษ์อวี้หลินทั้งหมดคงโดนดูหมิ่นเป็นแน่

จากนั้นฉินอินเดินออกจากห้องโถงพร้อมทุกคน นางพลันขมวดคิ้ว “พี่ใหญ่อาอวี่ ท่านต้องการเดิมพันกับอวี่จื้อหยานจริงหรือ? ล่ำลือกันว่านอกจากช่างตีเหล็กเก่าแก่ในมณฑลเทียนชู่และมณฑลหลิงหนาน ก็มีไม่กี่คนที่สามารถหลอมอาวุธได้คมกว่าเขา!”

“วางใจเถิด…”

หลินมู่อวี่มองคนรับใช้ “ช่วยนำปากกาเหล็กและกระดาษมาให้องค์หญิงทรงพระอักษรที”

“เจ้าค่ะ!”

ไม่นานก็นำหมึกและกระดาษมา ทว่าไม่มีที่สำหรับวางกระดาษในสวนอันกว้างใหญ่ของตำหนักเจ๋อเทียนเลย การเขียนบนพื้นคงเป็นการหมิ่นเกียรติองค์หญิงเกินไป ขณะที่ฉินอินมองหาสถานที่สำหรับเขียน หลินมู่อวี่พลันคุกเข่าข้างหนึ่งลงก่อนกล่าวว่า “เสี่ยวอิน เขียนบนหลังข้าสิ”

“ข้าทำได้หรือ?” ฉินอินทรงพระสรวล

“เหตุใดจึงไม่ได้?”

“เช่นนั้นก็ตกลง…”

กระดาษถูกวางลงบนแผ่นหลังหลินมู่อวี่โดยมีชุดเกราะรองรับ ฉินอินจุ่มปากกาเหล็กลงในหมึกแล้วม้วนแขนเสื้อขึ้น บนใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มแสนสุขขณะที่เขียนลงบนกระดาษอย่างรวดเร็ว

หลินมู่อวี่ลุกขึ้นพร้อมรับกระดาษมาเป่าจนหมึกแห้ง เขาอดไม่ได้ที่จะแอบชม ลายมือของฉินอินนั้นงดงามและเต็มไปด้วยรัศมีแห่งราชวงศ์ ในแง่ของศิลปะการคัดลายมือ หลินมู่อวี่คงไม่สามารถหยุดชื่นชมนางไปทั้งชีวิต

“เอาล่ะ ข้าจะมาพบเสี่ยวอินวันรุ่งขึ้น”

“อืม เช่นนั้นมาเจอข้าก่อนการประลองยุทธ์”

“ตกลง”

……………………