“ฟุบ…ฟุบ…”
เถาวัลย์น้ำเต้าทองพุ่งทะลุพื้นมัดอสูรเทวาทันใด! ด้วยหนามแหลมที่ทะลวงผิวหนังทำให้มันหลุดจากสถานะล่องหน
“ฟิ้ว!”
ลูกศรอาบยาพิษของเว่ยโฉวฝ่าลมหิมะพุ่งเข้าใส่ตาข้างที่เหลือของอสูรเทวาจนเลือดพุ่งกระฉูด ดวงตาทั้งสองข้างถูกยิงบอด มันเหวี่ยงตัวไปมาและคำรามด้วยความโกรธแค้น แม้กระทั่งสูญเสียการมองเห็นไปแล้วยังไม่สามารถทำให้ความกระหายเลือดของมันลดลงได้ ช่างเป็นอสูรที่ดุร้ายเสียจริง!
หลินมู่อวี่กระโจนเข้าไปด้วยฝีเท้าดาวตกพร้อมกระบี่ในมือ ก่อนจะใช้หมัดซ้ายที่เคลือบด้วยพลังฌานเจ็ดประทีป ซัดเข้าที่ใบหน้าของอสูรเทวาอย่างแรง!
“เปรี้ยง!”
พลังชกอันมหาศาลผลักอสูรร้ายจนกระเด็น ด้วยสัญชาตญาณความป่าเถื่อนมันพยายามกัดโต้ตอบทว่าหลินมู่อวี่หลบได้ทัน เขี้ยวคมงับอากาศอย่างแรง พลังกรามและความเร็วของมันช่างน่ากลัวยิ่ง แต่เมื่อเทียบกับฝีเท้าดาวตกแล้วยังช้ากว่านัก
“โฮก…”
อสูรเทวาสะบัดหัวไปมา การโจมตีเริ่มส่งผลต่อร่างกาย เนื่องจากมันเหลือพลังกายไม่มากทั้งพลังวิญญาณก็อาจใช้ได้อีกเพียงหนึ่งในสิบเท่านั้น
เมื่อเทียบกับหลินมู่อวี่ที่ยังเหลือปราณยุทธ์ถึงหกในสิบอสูรเทวะย่อมเสียเปรียบกว่ามาก สำหรับหลินมู่อวี่แล้วเขานับว่าโชคยังดีที่น้ำยามอมเมาได้ผล มิเช่นนั้นคงไม่สามารถกดดันอีกฝ่ายได้ถึงเพียงนี้ ต่อให้อสูรร้ายจะใช้พลังทั้งหมดที่มีเข้าจู่โจมก็มิอาจชนะหลินมู่อวี่ที่ใช้ยาพิษได้!
“ฉับ!”
กระบี่วิญญาณมังกรที่ห่อหุ้มด้วยเปลวเพลิงฟันเข้ากลางลำคอของอสูรเทวา! เลือดสดๆ สาดกระเซ็นไปทั่วพื้น อสูรเทวาที่ถูกยาพิษไม่มีพลังมากพอจากสร้างเกราะขึ้นมาป้องกัน ดังนั้นเพียงการโจมตีเดียวก็สร้างแผลลึกกว่ายี่สิบเมตรจนเห็นกระดูก!
“โฮก!”
อสูรเทวาร้องคำรามเหวี่ยงหัวไปมาพร้อมกับสะบัดคมหางใส่หลินมู่อวี่ ทว่ากลับหลับหลีกมันได้อย่างง่ายดายเพราะมันเคลื่อนที่ช้าลงมาก
หลินมู่อวี่กระโจนเข้าไปและฟันซ้ำที่แผลเดิมอีกครั้ง!
“โฮก…”
อสูรเทวาคร่ำครวญออกมาอย่างน่าสมเพช กระดูกลำคอถูกสะบั้นจนแหลกด้วยกระบี่วิญญาณมังกรอันแหลมคมที่ห่อหุ้มด้วยปราณยุทธ์ของหลินมู่อวี่
“โฮก…”
อสูรร้ายใกล้ตายพยายามส่งเสียงร้อง ทันใดนั้น…มันก็ผงกหัวขึ้นและปล่อยคลื่นแสงออกมา!
หลินมู่อวี่เมื่อเห็นดังนั้นจึงรีบสร้างกำแพงน้ำเต้าขึ้นมาป้องกันตนเอง กำแพงสีทองปะทะกับคลื่นแสงอันมหาศาล เว่ยโฉวและคนอื่นๆ ช่วยอะไรไม่ได้นอกจากต้องรีบถอยออกไปให้ไวที่สุด
“ฟึบ!”
หลินมู่อวี่กระโดดขึ้นจากพื้นและม้วนตัวกลางอากาศ เขาผสานพลังทั้งหมดเข้ากับกระบี่และโจมตีอีกครั้ง!
“ชิ้ง…”
เสียงกรีดร้องเหล็กแหลมคมชัดกว่าทุกครั้ง ด้วยการพลังทั้งหมดส่งผลให้กระบี่วิญญาณมังกรเปล่งแสงประกาย ก่อนจะฟันฉันเข้าที่หัวของอสูรเทวา! “ฝุบ!” หัวของอสูรร้ายกลิ้งลงบนพื้นขาวทั้งที่ร่างของมันยังวาดกรงเล็บและสะบัดหางไปทั่ว ใช้เวลาราวหนึ่งนาทีกว่าร่างของมันจะแน่นิ่งไป
“พระเจ้า…”
เว่ยโฮวและองครักษ์คนอื่นต่างพากันตกตะลึง แม้จะพบเจอกับสัตว์วิญญาณมานับไม่ถ้วนแต่อสูรตนนี้มีพลังชีวิตมากอย่างเหลือเชื่อ
“จบสิ้นเสียที…”
หลินมู่อวี่ทิ้งตัวลงนั่งกับพื้น จับหัวอสูรเทวาไว้ในมือก่อนจะเอ่ยขึ้น “อสูรตนนี้ทำร้ายมังกรนภาแม่ลูกจนบาดเจ็บ และเมื่อมันสบโอกาสก็เข้าโจมตีพวกเราต่อ ตั้งแต่ที่ติดตามพวกข้ามาจากป่าแห่งภูตพรายจนถึงเมืองหลันเยี่ยนนี้ เจ้าคงไม่คิดว่าต้องมาพบชะตากรรมโหดร้ายเช่นนี้สิท่า?”
เว่ยโฉวเดินมาแตะมือบนไหล่หลินมู่อวี่ ก่อนจะพูดพลางหัวเราะ “เป็นเพราะผู้บัญชาการตอนนี้เราถึงไม่ต้องกลัวอสูรเทวาที่ไหนจะมาฆ่าเราอีก!”
ช่างยินดียิ่งที่เอาชีวิตรอดมาได้
หลินมู่อวี่ยิ้มด้วยสีหน้าเจ็บปวดเนื่องจากเว่ยโฉวกดโดนแผลตนโดยไม่รู้ตัว
“ขออภัย! ข้าลืมว่าท่านบาดเจ็บอยู่ ข้าน้อยสมควรตาย!” เว่ยโฉวผละมือมาคำนับโดยเร็ว
หลินมู่อวี่ฝืนยิ้ม “เงยหน้าขึ้นเถิด…ข้าไม่เป็นไร พวกเจ้าคงเหนื่อยกันมาก ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จัดการอสูรตนนี้ลงได้ ถึงกระนั้นเมื่อไปถึงเมืองหลันเยี่ยนถึงอย่าได้พูดถึงเรื่องนี้ให้ใครฟัง และแสร้งทำเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นเสีย บอกเพียงแค่ฮันเช่าตายระหว่างต่อสู้กับมังกรนภาก็พอ…”
“เหตุใดถึงต้องทำเช่นนั้นขอรับ?” เซี่ยโหวซางเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ “อสูรเทวานั้นนับว่าเป็นฝันร้ายของเหล่าผู้ฝึกยุทธ์ สำหรับท่านที่สังหารมันได้ด้วยพละกำลังและความหลักแหลม ไม่มีผู้ใดในเมืองแห่งนี้จะทัดเทียม ท่านจะปกปิดเรื่องนี้ไว้ด้วยเหตุผลอันใดหรือขอรับ?”
หลินมู่อวี่ยิ้มพลางส่ายหัว “เพราะไม่มีผู้สามารถสังหารมันได้นั่นแหละข้าถึงต้องปิดเงียบไว้ หากจวนเสินโหวและพวกสารวัตรทหารรู้เรื่องเข้า ข้ามั่นใจว่าพวกมันต้องส่งคนมาสอบสวนและขโมยศิลาวิญญาณจากข้าเป็นแน่ ดังนั้นจึงดีที่สุดแล้วที่จะไปป่าวประกาศ”
เว่ยโฉวคำนับและกล่าว “ท่านช่างปราดเปรื่องยิ่ง ข้าน้อยเห็นด้วยขอรับ!”
เซี่ยโหวซางที่ยังไม่ค่อยเข้าใจทว่าก็คำนับแก่หลินมู่อวี่ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ข้า เซี่ยโหวซางผู้ด้วยปัญญา แม้ข้าจะยังไม่ค่อยเข้าใจแต่รับรองได้เลยว่าข้าจะปิดเรื่องนี้เป็นความลับอย่างดีขอรับ!”
“อืม!”
หลินมู่อวี่ลุกขึ้นก่อนจะใช้กระบี่วิญญาณมังกรผ่าหัวอสูรเทวาออก ควานหาศิลาวิญญาณอรุณและเก็บใส่ในถุงสรรพสิ่ง ศิลาวิญญาณอายุหนึ่งหมื่นสามพันสี่ร้อยปีนับว่าหาได้ยากยิ่งไม่ว่าจะในแง่อายุหรือคุณสมบัติของมัน หลินมู่อวี่คิดไว้แล้วว่าจะใช้มันทำสิ่งใด เขาจะหลอมมีดเสียงปีศาจด้วยศิลาอสูรเทวา…
มีดเสียงปีศาจเป็นอาวุธที่เฟิงอี้เฉิงซ่อนไว้ นอกจากความคมแล้วยังห่างชั้นจากอาวุธศักดิ์สิทธิ์มากนัก แม้จะสังหารคนในสนามรบได้มากมาย ทว่าเมื่อต้องเจอกับปรมาจารย์ยุทธ์มีดนี้ช่างไร้ประโยชน์ เพราะแม้แต่หัวของอสูรเทวายังตัดไม่ได้แสดงว่ามันยังคมไม่พอ
เว่ยโฉวใช้ดาบของตนหมายจะแล่หนังอสูรเทวาทว่าไม่สามารถทำได้ “ท่านขอรับ หนังของอสูรเทวานั้นมีค่ายิ่ง มันสามารถนำไปสร้างเป็นเกราะหนังได้ และดาบของข้าคมไม่พอจะแล่มัน ข้าขอยืมกระบี่วิญญาณมังกรขอท่านได้หรือไม่ขอรับ?
หลินมู่อวี่ยื่นกระบี่วิญญาณมังกรให้แก่เว่ยโฉว “ไม่ต้องรีบ เราจะพักที่นี่อีกคืนและออกเดินทางแต่เช้าเพื่อให้ถึงเมืองหลันเยี่ยนในตอนบ่าย”
“ขอรับ!”
ใช้เวลาไม่นานเว่ยโฉวก็เลาะหนังอสูรออกจนสิ้น และด้วยความพิเศษของอสูรเขาจึงไม่ลืมที่จะหั่นเอาเนื้อของมันใส่ย่ามไปด้วย รวมไปถึงหัวใจ ตับ และอวัยวะส่วนอื่นๆ แยกไว้ในอีกกระสอบ สำหรับส่วนหัวเซี่ยโหวซางผ่าเอาสมองมันออกมา ก่อนจะหัวเราะและสงสัยว่าเขาจะฉลาดขึ้นสักเพียงใดหากได้กินสมองอสูรเทวา หลินมู่อวี่ได้แต่ยิ้ม…คนพวกนี้กินได้ทุกอย่างที่ขวางหน้าจริงๆ หากอยู่ในโลกของเขาคงเป็นลูกหลานของแบร์กริลเสียกระมัง
หลังจากสะสางอสูรเทวาเรียบร้อย ทุกคนดูผ่อนคลายขึ้นมาก เนื่องจากสถานที่แห่งนี้อยู่ใกล้เมืองหลันเยี่ยนสัตว์วิญญาณโดยรอบจึงมีเพียงพวกที่อายุไม่เกินพันปีเท่านั้น ต่อให้ฝูงหมาป่าวายุปรากฏตัวเซี่ยโหวซางกับเว่ยโฉวก็จัดการได้สบาย คืนนี้หลินมู่อวี่จึงจะได้พักอย่างสงบเสียที กระทั่งเช้าวันถัดมาก็พบว่าท้องฟ้าเริ่มปิดและมีหิมะลงอีกครั้ง
หลินมู่อวี่สังเกตว่ามีเต็นท์ทำมือคลุมอยู่เหนือหัวตน ทำมาจากผ้าคลุมของพวกองครักษ์เพื่อสร้างเป็นเต็นท์บังลมให้หลินมู่อวี่ แม้จะไม่ได้ช่วยให้หายหนาวแต่ก็ช่วยบังหิมะที่ปลิวเข้ามาได้ หลินมู่อวี่เหนื่อยล้ามากซึ่งเว่ยโฉวและเซ๊่ยโหวซางรู้เรื่องนี้ดี จึงดูแลหัวหน้าของตนด้วยความห่วงใยและซาบซึ้งที่ได้รับการช่วยชีวิตไว้
อาหารมื้อเช้าอันเลิศรสคือสตูเนื้อสูงเทวา อสูรร้ายกาจที่อยู่ด้านบนของห่วงโซ่อาหาร วันนี้ต้องกลายมาเป็นอาหารเสียเอง…น่าสมเพชนัก
หลังจากสวาปามอาหารอันโอชะแล้วก็ตามด้วยเหล้าอุ่นๆ เพื่อกระตุ้นร่างกายก่อนออกเดินทาง
พวกหลินมู่อวี่เร่งเดินทางเต็มกำลัง กระทั่งกลับถึงเมืองหลันเยี่ยนตอนบ่ายอย่างที่คาดไว้
หลินมู่อวี่ตรงเข้าตำหนักเจ๋อเทียนเพื่อส่งภารกิจขณะที่เว่ยโฉวและคนอื่นๆ ตามหลังไปเพื่อรายงานเกี่ยวกับการตายของฮันเช่า องครักษ์เข้ารายงานแก่องค์จักรพรรดิทีละคน เนื่องจากการตายระหว่างหน้าที่ในเป็นเรื่องสำคัญยิ่งจึงต้องถูกสอบสวนโดยสารวัตรทหารพร้อมกับพยานในที่เกิดเหตุ
กองทัพม้าเข้ามาหยุดอยู่ตรงโถงด้านข้างตำหนักเจ๋อเทียนที่เฉอชงกำลังเพลิดเพลินกับไวน์ชั้นดีอยู่ หลินมู่อวี่ประสานมือคำนับอยู่ด้านนอก “ท่านเฉอชง หน่วยองครักษ์อินทรีขอส่งภารกิจ เราหาศิลาวิญญาณอรุณอายุหกพันปีมาให้ได้แล้วขอรับ”
“อะไรกัน เหตุใดจึงรวดเร็วเช่นนี้?”
เฉอชงลุกขึ้นปาดคราบไวน์ที่ปาก ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ท่านหลินมู่อวี่เข้ามาได้!”
หลินมู่อวี่ถือห่อผ้าสีดำที่รองศิลาวิญญาณอันเปล่งประกายเข้าไป “สำหรับหนังและส่วนอื่นๆ ข้าจะจัดเตรียมไว้ให้เมื่อกลับถึงรังอินทรี ตอนนี้ข้าเพียงแวะเอาสิ่งนี้มาให้ขอรับ”
“เยี่ยมมาก คงเหนื่อยแย่เลยสิท่านผู้บัญชาการ!”
เฉอชงยิ้มกริ่มและหันไปคุยกับกลุ่มคนที่กำลังดื่มไวน์กันอยู่ด้านหลังตน “ท่านอวี่จื้อหยาน เราพบศิลาวิญญาณแล้ว ในที่สุดท่านก็จะได้หลอมอาวุธศักดิ์สิทธิ์ให้องค์หญิงอินเสียที!”
หนึ่งในกลุ่มนั้นมีชายอายุราวสามสิบท่าทางมีพิรุธลุกขึ้นมา ก่อนจะคว้าเอาศิลาในมือหลินมู่อวี่ไปดูและเอ่ยขึ้น “ศิลาวิญญาณอรุณอายุหกพันห้าร้อยปี…ด้วยสมบัติล้ำค่านี้ ข้าจะหลอมอาวุธที่ทำให้ช่างหลอมทั้งเมืองต้องอับอาย และเมื่อองค์หญิงพอพระทัยข้าก็จะได้รับการยกย่อง!”
หลินมู่อวี่ยืนขึ้นพร้อมกับไหล่ที่เต็มไปด้วยผ้าพันแผล
เว่ยโฉวขมวดคิ้วก่อนจะหันมากระซิบกับหลินมู่อวี่ “อวี่จื้อหยานผู้นี้ไม่ได้ปรายตามองท่านเลยสักนิด ช่างไร้มารยาทเสียจริง!”
หลินมู่อวี่กล่าวตอบ “ช่างเถิด เดี๋ยวเราก็กลับแล้ว”
“ขอรับ…”
ทว่าทันใดนั้นเสียงของขันทีด้านนอกก็ดังขึ้น “องค์หญิงอินเสด็จ!”
หลินมู่อวี่ยิ้ม “เสี่ยวอินช่างหูตาไวเสียจริง…”
เว่ยโฉวเห็นด้วย “ข้าก็ว่าเช่นนั้นขอรับ แต่คงไม่แปลกเพราะท่านออกจากเมืองไปตั้งห้าวัน…”
………………